?หากเจ้าพิจารณาดูโลกนี้และตระหนักว่าสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวโยงกับโลกนั้นชั่วแล่นเพียงไร เจ้าย่อมเลือกที่จะไม่เดินบนหนทางใดนอกจากหนทางแห่งการรับใช้ศาสนาของพระผู้เป็นนายของเจ้า ไม่มีใครมีอำนาจที่จะหยุดยั้งเจ้าไม่ให้สรรเสริญพระองค์ แม้ว่ามวลมนุษย์จะลุกขึ้นต่อต้านเจ้า?

?โลกียมิตรแสวงหาประโยชน์ของตนเองจึงทำเป็นว่ารักกันและกัน ส่วนพระผู้เป็นมิตรแท้รักเจ้าเพื่อประโยชน์ของเจ้า แท้จริงแล้วพระองค์ทนทุกข์ทรมานนานัปการเพื่อนำทางให้เจ้า?

?ความรักซึ่งมีอยู่ระหว่างหัวใจของศาสนิกชนที่พร้อมเพรียงโดยอุดมคติของความสามัคคีแห่งจิตวิญญาณ ความรักอันนี้บรรลุได้โดยความรอบรู้ของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อว่ามนุษย์จะสามารถเห็นความรักแห่งสวรรค์ สะท้อนเข้ามาในหัวใจ แต่ละฝ่ายเห็นในความงามของพระผู้เป็นเจ้า สะท้อนเข้ามาในจิตของอีกฝ่ายหนึ่ง และก็พบจุดแห่งความคล้ายคลึงกันนี้เป็นสิ่งที่ดึงดูดซึ่งกันและกันในความรัก ความรักนี้จะทำให้มนุษย์เป็นคลื่นแห่งทะเลเดียวกัน ความรักนี้จะทำให้มนุษย์เป็นดวงดาวของสวรรค์เดียวกัน และเป็นผลของต้นไม้ต้นเดียว ความรักอันนี้จะทำให้เกิดความสามัคคีที่แท้จริงขึ้นและเป็นรากฐานของความสามัคคีที่แท้จริงด้วย

?แต่บางครั้งความรักที่มีอยู่ระหว่างมิตรไม่ใช่เป็นรัก(แท้)? เพราะว่ามันเปลี่ยนแปลงได้ นี่เป็นเพียงความเสน่หา เช่น ถ้าลมพัด ต้นไม้ที่สูงชะลูด ก็โอนเอน ถ้าลมพัดมาจากตะวันออก ต้นไม้ก็เอนไปทางตะวันตกแต่ถ้าลมพัดกลับมาทางตะวันตกต้นไม้ก็เอนไปทางตะวันออก ความรักชนิดนี้ เกิดขึ้นจากสภาพที่เป็นการบังเอิญของชีวิต มันไม่ใช่ความรัก มันเป็นเพียงการคบหากันเท่านั้นและมันเปลี่ยนแปลงได้

?วันนี้ท่านอาจจะเห็นคนสองคนดูเหมือนว่าเป็นมิตรใกล้ชิดสนิทกันจริง แต่พรุ่งนี้อาจจะเปลี่ยนก็ได้ เมื่อวานนี้เขาพร้อมที่จะตายเพื่อกันและกัน วันนี้เขารังเกียจกันและกันในสังคมเสียแล้ว นี่ไม่ใช่ความรัก มันเป็นการพ่ายแพ้ต่อสิ่งที่เป็นการบังเอิญที่เกิดขึ้นในชีวิต เมื่อสภาพที่ทำให้ความรักนี้ผ่านไปความรักนั้นก็ผ่านไปเหมือนกัน นี่มันไม่ใช่รักที่แท้จริง?

?มิตรสหายแห่งพระผู้เป็นเจ้าต้องดึงดูดและหลงรักในกันและกัน พร้อมอยู่เสมอและเต็มใจเสมอที่จะเสียสละชีวิตของตนให้แก่กันและกันได้ หากจิตวิญญาณดวงหนึ่งดวงใดในหมู่ศาสนิกชนพบปะกับอีกดวงหนึ่ง การพบปะกันนั้นจะต้องเป็นเหมือนดังผู้ที่กระหายน้ำจนปากแห้งผากได้ไปถึงยังบ่อน้ำพุของน้ำแห่งชีวิต หรือคนรักได้พบผู้เป็นที่รักอย่างแท้จริงของเขา เพราะว่าหนึ่งในเหตุผลอันยิ่งใหญ่ที่สุดประการหนึ่งที่อยู่เบื้องหลัง เกี่ยวกับการปรากฏขึ้นของพระผู้แสดงธรรมผู้ทรงความศักดิ์สิทธิ์คือสิ่งนี้: จิตวิญญาณจะมารู้จักกันและกันและรู้สึกสนิทสนมต่อกัน พลังของความรักของพระผู้เป็นเจ้าจะทำให้พวกเขาเป็นคลื่นในทะเลเดียวกัน ดอกไม้ในสวนกุหลาบเดียวกัน และดวงดาราแห่งสวรรค์เดียวกัน นี่คือเหตุผลเบื้องหลังการปรากฏขึ้นของพระผู้แสดงธรรมผู้ทรงความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดได้เปิดเผยตนเองขึ้นในหัวใจของศาสนิกชนทั้งหลายแล้ว โลกแห่งธรรมชาติก็จะเปลี่ยนแปลงไป ความมืดมนของสิ่งที่ถูกสร้างสรรค์ทั้งหลายจะหายไป และโลกจะได้รับการส่องสว่างแห่งสวรรค์ จากนั้นทั้งโลกจะกลายเป็นสรวงสวรรค์แห่งอับฮา ศาสนิกชนทุกคนของพระผู้เป็นเจ้าจะกลายเป็นดั่งต้นไม้ซึ่งได้รับพรที่ให้ผลอันดีเยี่ยม?

?ดวงอาทิตย์ได้ให้ชีวิตแก่ร่างกายของสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ หากไม่มีความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์ ความเจริญเติบโตก็จะหมดไป การพัฒนาการก็จะชะงักลง แล้วก็เน่าเปื่อยและในที่สุดก็ตาย ทำนองเดียวกันกับจิตวิญญาณของมนุษย์ ก็ต้องการดวงอาทิตย์แห่งสัจธรรม ที่จะฉายรัศมีลงมาให้แก่วิญญาณ เพื่อวิพัฒนาการ เพื่อความรู้ และเป็นกำลังใจแก่มนุษย์นั่นคือ เมื่อดวงอาทิตย์มีความหมายต่อร่างกายของเราเมื่อนั้น ดวงอาทิตย์แห่งสัจธรรมก็มีความหมายต่อจิตวิญญาณของมนุษย์เช่นกัน?

?ในยามค่ำคืนที่มืดมิดและสิ้นหวัง ดวงตาข้าพเจ้าเฝ้าคอยรุ่งเช้าแห่งกรุณาธิคุณอันไม่รู้สิ้นของพระองค์ด้วยความหวัง และในยามรุ่งอรุณ วิญญาณที่อ่อนล้าของข้าพเจ้ากลับสดชื่นและแข็งขันด้วยการระลึกถึงความงามและความสมบูรณ์เลิศของพระองค์??

?จงยกหัวใจของท่านขึ้นเหนือความเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้และมองด้วยตาแห่งความศรัทธาไปยังอนาคต ในปัจจุบันเมล็ดพันธุ์ได้เพาะหว่านเมล็ดพืชได้ตกลงบนพื้นแผ่นดิน จะมองเห็นได้เมื่อวันเวลาเหล่านั้นมาถึง เมื่อเมล็ดเหล่านั้นจะงอกเป็นต้นที่สูงสง่า กิ่งก้านก็จะออกผล จงชื่นชมยินดี ที่รุ่งอรุณได้มาเยือนอีกวาระหนึ่ง พยายามที่จะรับรู้ถึงอำนาจของสิ่งนี้ เพราะว่าเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์จริงๆ?

?วันอันสดใสกำลังย่างใกล้เข้ามาแล้ว? แกนกลางของมนุษย์ชาติใหม่กำลังก่อตัวขึ้น? ผู้เบิกทางแก่อุดมการณ์ใหม่ๆ แห่งความยุติธรรมแก่นานาชาติกำลังปรากฏตัว พฤกษาแห่งความหวังจะเขียวชอุ่ม? และทองแดงแห่งการถูกเย้ยหยันจะแปรเปลี่ยนเป็นทองคำแห่งเกียรติยศและการสรรเสริญ ทะเลทรายอันแห้งแล้งแห่งความขลาดเขลาจะเปลี่ยนเป็นอุทยานอันอุดมด้วยความรอบรู้ เมฆที่คลุ้มคลั่งจะสลายตัวไปและดวงดาราแห่งความศรัทธาและจิตกุศลจะกลับมากระพริบแสงในฟากฟ้าอันชัดแจ้งด้วยความตระหนักรู้อีก?

?. . . ในขณะที่เรื่องทางโลกแห่งวัตถุที่แย่อยู่แล้วกลับยิ่งเลวร้ายลง พลังในทางตรงกันข้ามกลับทำให้ความมั่นใจ การมองโลกในแง่ดี ความรักและความหวัง ของบรรดาศาสนิกชนสาดแสงอย่างเจิดจ้าออกมาตลอด นำทางให้ประชาชนไปสู่หนทางแห่งสัจธรรมซึ่งเป็นวิถีที่วางไว้โดยพระผู้เป็นเจ้า และนับว่าเป็นหนทางเดียวที่สามารถนำพาพวกเขาไปสู่ผลของคำสัญญาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต?

?ขอให้ระลึกไว้เสมอว่าชัยชนะที่เราได้รับนั้นมาจากการถูกทดสอบและการถูกทรมาน เราเปลี่ยนวิกฤติเป็นความก้าวหน้าด้วยการฉวยโอกาสที่มีอยู่เพื่อการแสดงศักยภาพในการอยู่รอดและการก้าวไปข้างหน้า ของพลังแห่งหลักการของเราอันนำมาซึ่งชัยชนะ? แรงกระเพื่อมของศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าที่ปรากฏภายนอกนั้นมาจากวิกฤติและชัยชนะที่เกิดขึ้นสลับกันเสมอมา และทั้งหมดนี้พิสูจน์ให้เห็นหลักสำคัญของความเจริญก้าวหน้า?

?ยุคนี้ประตูเปิดกว้างกว่าทั้งสวรรค์และแผ่นดิน พระเนตรอันเปี่ยมไปด้วยความเมตตาของพระองค์ผู้ทรงเป็นความปรารถนาของโลกทั้งหลายหันมาสู่มนุษย์ทั้งมวล การกระทำไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตามเมื่อมองในกระจกแห่งความรอบรู้ของพระผู้เป็นเจ้ากลับมีความยิ่งใหญ่กว่าขุนเขา ทุกหยาดหยดที่อุทิศให้ในหนทางของพระองค์นั้นเปรียบประดุจดังทะเลในกระจกนั้น? ทั้งนี้เพราะนี่คือยุคซึ่งพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงความเที่ยงแท้ ขอความสรรเสริญจงมีแด่พระองค์ ได้ทรงประกาศในพระคัมภีร์ทุกเล่มตลอดจนต่อพระศาสดาและพระผู้ส่งสาส์นทุกองค์ของพระองค์?

?ดูกร ผู้เป็นบาทของวิหารแห่งนี้ ! ที่จริงแล้วเราได้สร้างเจ้าด้วยเหล็ก? จงยืนอย่างมั่นคงแน่วแน่ในศาสนาของพระผู้เป็นนายเพื่อจะทำให้เท้าของทุกดวงวิญญาณที่ถูกตัดขาดไปให้มั่นคงแข็งแรงในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้ทรงมหิทธานุภาพ พระผู้ทรงสัพพัญญู จงระวัง มิฉะนั้นพายุแห่งความเป็นศัตรูและความเกลียดชัง หรือการทำลายล้างของผู้กระทำการอย่างปราศจากศีลธรรมจะทำให้เจ้าซวดเซ จงแน่วแน่ในศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าและอย่าได้ลังเลใจ ที่จริงแล้ว โดยพระนามซึ่งเป็นที่มาแห่งความมั่นคงแน่นอนและด้วยพระกรุณาธิคุณของแต่ละพระนามอันเลอเลิศของเราที่เปิดเผยต่อทุกคนที่อยู่บนสวรรค์และโลก เราจึงมีโองการเรียกเจ้า ในไม่ช้า โดยผ่านทางเจ้า เราจะทำให้บังเกิดมีบาทาที่มั่นคงแน่วแน่ซึ่งจะเดินอย่างไม่โอนเอนในหนทางของเราแม้ว่าจะถูกโจมตีโดยหมู่ชนอันน่าสพรึงกลัวเท่าผนึกพลังกับชนรุ่นก่อนและหลัง?

?วันหนึ่งบุรุษที่โดดเด่นคนหนึ่งชื่อ ซียิด ยาห์ยา ซึ่งมีนามสกุลว่า วาฮิด ได้อยู่ที่นั่นด้วย จากหลังม่านทาเฮเรย์ฟังชายคนนี้พูด ขณะที่เกิดเหตุการณ์นี้เรายังเด็กอยู่และนั่งบนตักของเธอ วาฮิดพูดอย่างคล่องแคล่วและด้วยความกระตือรือร้นเกี่ยวกับสัญญาณและถ้อยพระวจนะ ชี้พยานหลักฐานให้เห็นการเข้ามาของพระผู้แสดงธรรมของพระผู้เป็นเจ้าองค์ใหม่ ทันใดนั้น ทาเฮเรย์ก็ขึ้นเสียงพูดแทรกเขาอย่างหนักแน่นว่า ? ดูกร ยาห์ยา!? ถ้าท่านเป็นคนที่รู้แจ้งเห็นจริง ขอให้การกระทำ มิใช่คำพูด เป็นเครื่องแสดงออกซึ่งความศรัทธาของท่าน ขอให้ยุติการอ้างซ้ำแล้วซ้ำอีกเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีมาแต่อดีต เพราะยุคแห่งการรับใช้ การกระทำที่หนักแน่นมาถึงแล้ว บัดนี้เป็นเวลาที่จะแสดงออกซึ่งสัญลักษณ์ที่แท้จริงของพระผู้เป็นเจ้า จงฉีกม่านแห่งความเพ้อฝันอันไร้สาระ จงส่งเสริมพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าและพลีตนในหนทางของพระองค์ ขอให้การกระทำ มิใช่คำพูดเป็นเครื่องประดับของเรา?

?ด้วยอำนาจแห่งพระวจนะที่พระองค์ทรงดำรัส ทำให้มนุษย์ชาติทั้งมวลสามารถเรืองรองด้วยแสงแห่งความสามัคคี? และการรำลึกถึงพระนามของพระองค์สามารถทำให้เพลิงลุกในหัวใจของมนุษย์ทั้งมวล และเผาไหม้ม่านที่เข้ามาแทรกระหว่างพวกเขากับความรุ่งโรจน์ของพระองค์? การกระทำอันทรงคุณธรรมประการเดียวได้รับการประสิทธิ์ประสาทให้สามารถยกระดับผงฝุ่นผ่านไปสู่สวรรค์ของสวรรค์ทั้งหลาย กุศลกรรมนั้นสามารถตัดพันธนาการทุกอย่างให้ขาดสะบั้น ทั้งยังมีอำนาจในการฟื้นพลังที่หมดฤทธิ์และอันตรธานหายไปแล้วให้กลับคืนมา?

?เราไม่สามารถรับแสงอาทิตย์ที่ทอดลงบนพื้นผิวกระจกเงาที่ราบเรียบได้อย่างเต็มที่ แต่เมื่อแสงอาทิตย์ทอดลงบนกระจกเงาที่เป็นเล็นส์เว้า หรือเล็นส์นูน ความร้อนก็จะถูกรวมไว้ ณ จุดๆ เดียวทำให้จุดนั้นไหม้ด้วยความร้อนจัดที่สุด ด้วยประการฉะนี้จึงจำเป็นที่บุคคลจะสำรวมความคิดให้อยู่ในจุดเดียวจึงจะเกิดผล?

?พระองค์คือพระผู้ทรงบันดาลให้ธง ?พระองค์เป็นที่น่าสรรเสริญในผลงานของพระองค์? ได้ชูขึ้น และ มาตราฐาน ?โองการของพระองค์เป็นที่เชื่อฟัง? ได้คลี่ออก ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ขอทรงบันดาลให้คนรับใช้ตระหนักในฐานะนี้ของพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้รู้ว่าความล้ำเลิศของทุกสรรพสิ่งขึ้นกับบัญชาและวจนะของพระองค์ และทุกความดีของทุกการกระทำขึ้นกับการอนุญาตและความยินดีของพระประสงค์ของพระองค์ และจะยอมรับว่าบังเหียนของการกระทำของมนุษย์อยู่ในเงื้อมมือแห่งการยอมรับและบัญญัติของพระองค์?

?ด้วยประการฉะนี้ จึงจำเป็นที่มวลมนุษย์ชาติจะต้องอุปถัมภ์ค้ำจุนซึ่งกันและกันอย่างขันแข็ง มุ่งมั่นเสาะแสวงหาชีวิตอันเป็นนิรันดร และด้วยเหตุผลประการเดียวกันนี้อีกเช่นกันที่บรรดาผู้เป็นที่รักของพระผู้เป็นเจ้าในโลกอันผันแปรนี้ต้องกลายเป็นความเมตตา เป็นพระพรที่ถูกส่งลงมาจากอาณาจักรแห่งรูปธรรมและนามธรรม?

?มนุษย์แต่ละคนที่เป็นสิ่งสร้างสรรค์คือคนรับใช้ของพระผู้เป็นเจ้า ทั้งหมดถูกสร้างและถูกเลี้ยงดูจากอำนาจแห่งการอนุเคราะห์ของพระผู้เป็นเจ้า และในพระราชวินิจฉัยของพระองค์ทั้งหมดได้รับความรักอย่างเท่าเทียมกันในฐานะของผู้รับใช้? พระองค์ทรงมีพระคุณและทรงพระเมตตาต่อทุกคน ดังนั้น จึงไม่ควรมีใครยกตนเหนือกว่าผู้อื่น และไม่ควรมีใครแสดงความหยิ่งทะนงและความสูงส่งกว่าผู้อื่น ไม่ควรมีใครมองคนอื่นอย่างดูหมิ่นเหยียดหยาม และไม่ควรมีใครกีดกันหรือกดขี่ข่มเหงเพื่อนที่ถูกสร้างสรรค์มาด้วยกัน?

?ความหมางเมินห่างเหินและความแปลกแยกนำไปสู่ความวุ่นวายและการทำลายล้าง? ความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด และความรู้สึกสนิทสนมกลมเกลียวทำให้สิ่งที่มีชีวิตเช่นพืช สัตว์และมนุษย์มีชีวิตอยู่ได้ ในขณะที่ความแตกแยกและความบาดหมางนำไปสู่การแตกสลายและความย่อยยับดับสูญ?

?หากความรักของพระผู้เป็นเจ้ามิได้ดำรงอยู่ การแบ่งแยกและความแตกสามัคคีย่อมไม่ถูกเปลี่ยนเป็นภราดรภาพ หากความรักของพระผู้เป็นเจ้ามิได้ดำรงอยู่ ความไม่แยแสย่อมไม่ลงเอยที่ความสามัคคี หากความรักของพระผู้เป็นเจ้ามิได้ดำรงอยู่ คนแปลกหน้าย่อมไม่กลับกลายเป็นเพื่อน ความรักของอาณาจักรมนุษย์ได้ฉายแสงมาจากความรักของพระผู้เป็นเจ้าและปรากฏขึ้นโดยความอารีและความกรุณาของพระองค์?

?ขอความสรรเสริญจงมีแด่พระผู้เป็นเจ้า ที่ทรงให้พระพรหลั่งไหลลงมาอย่างไม่รู้จบสิ้น? ท่วงทำนองหลักการอันสูงส่งนั้นทรงประสิทธิภาพยิ่งนัก สรวงสวรรค์อันยิ่งใหญ่ที่สุดกำลังฉายแสงอย่างรุ่งโรจน์สุดสมบูรณ์ที่สุด เหล่าเทพยดาที่ชุมนุมกันในสรวงสวรรค์ชั้นสูงสุดกำลังบุกด้วยพลังที่ไม่อาจเอาชนะได้ด้วยชิวหาที่แหลมคมดังดาบ ด้วยหัวใจที่เจิดจรัสกว่าแสงไฟฟ้า ความเอื้อเฟื้อของเพื่อนๆ นั้นเกินกว่าความเผื่อแผ่ของชนรุ่นก่อนและรุ่นหลัง จิตวิญญาณนั้นถูกดึงดูดใจ และลุกไหม้ด้วยเพลิงแห่งความรักต่อพระผู้เป็นเจ้า?