?พระผู้ทรงเป็นเลิศตรัสว่า สรวงสวรรค์แห่งภูมิปัญญาทางธรรมสว่างไสวขึ้นจากบ่อ กำเนิดแสงสองประการ คือ การปรึกษาหารือและความเห็นอกเห็นใจ จงหันหน้าเข้า ปรึกษาหารือกันในทุกเรื่อง เพราะการปรึกษาหารือคือตะเกียงชี้นำส่องทางและกุญแจ ที่นำไปสู่ความเข้าใจ?
?ก่อนหน้านี้ไม่นาน พระวจีอันสูงส่งเป็นที่สุดนี้ได้รับการเปิดเผยออกมาจากด้ามปากกาอัน รุ่งโรจน์ในพระคัมภีร์สีแดงชาดว่า สรวงสวรรค์แห่งภูมิปัญญาทางธรรมสว่างขึ้นจากดวง ประทีปสองดวง ได้แก่ จากการปรึกษาหารือและความเห็นอกเห็นใจ ขอให้พระผู้เป็นเจ้า ทรงนำพาให้ทุกคนปฏิบัติตามคำสอนอันศักดิ์สิทธิ์และทรงคุณค่านี้?
?การปรึกษาหารือนำไปสู่ความตระหนักที่กว้างไกลยิ่งขึ้นและเปลี่ยนการคาดเดา ให้เป็นความมั่นใจ คือแสงที่ส่องนำทางในโลกอันมืดมิด ในทุกสรรพสิ่งย่อมมีสภาวะ ของความสมบูรณ์แบบและการเจริญเติบโตเต็มวัย การเติบโตเต็มที่ของพรสวรรค์แห่ง การรู้จริงปรากฏชัดขึ้นด้วยการปรึกษาหารือ?
?ในทุกสิ่งจำเป็นต้องปรึกษาหารือ เจ้าควรเน้นเรื่องนี้อย่างหนักแน่น เพื่อว่าทุกคนจะได้ใช้การปรึกษาหารือ จุดมุ่งหมายของสิ่งที่เปิดเผยจากปากกาของพระผู้ทรงความสูงส่งคือเพื่อว่ามิตรสหายจะใช้การปรึกษาหารือเต็มที่ เพราะการปรึกษาหารือคือเหตุของความมีสติและตื่นตัว และเป็นแหล่งกำเนิดคุณประโยชน์และความผาสุก?
?จงกล่าวว่า ไม่มีมนุษย์คนใดจะก้าวขึ้นสู่สถานะที่แท้จริงของเขาได้ ยกเว้นเสียแต่ด้วย ความเที่ยงธรรมของเขา ไม่มีพลังอันใดที่จะคงอยู่ ยกเว้นเสียแต่ด้วยความสามัคคี ไม่มีสวัสดิภาพและความผาสุกใดที่จะเป็นจริงขึ้นมาได้ ยกเว้นเสียแต่โดยการปรึกษาหารือ?
?เมื่อมาร่วมชุมนุมกัน พวกเขาต้องตั้งจิตสู่เบื้องบน และขอความช่วยเหลือจากอาณาจักรแห่งความรุ่งโรจน์ ?จากนั้นพวกเขาต้องดำเนินการประชุมด้วยความอุทิศตน มารยาท เกียรติ ความเอาใจใส่ และความพอประมาณในการแสดงทรรศนะของตน ในทุกเรื่องพวกเขาต้องแสวงหาความจริง มิใช่ยืนกรานในความคิดของตน เพราะความดื้อดึงขืนอยู่ในทรรศนะของตนจะนำไปสู่ความร้าวฉานและการวิวาทกันในที่สุด และความจริงจะยังคงซ่อนเร้นอยู่ ?สมาชิกผู้ทรงเกียรติทั้งหลายต้องแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและห้ามมิให้ผู้ใดดูแคลนความคิดเห็นของผู้อื่น ไม่เพียงเท่านั้น เขาต้องแสดงสัจจะด้วยความพอควร และหากมีความคิดเห็นขัดแย้งกันต้องถือตามเสียงส่วนใหญ่ และทุกคนต้องเชื่อและยอมฟังตามเสียงส่วนใหญ่ เช่นกันห้ามมิให้ผู้ใดคัดค้านหรือตำหนิการตัดสินใจที่ลงมติไปแล้วไม่ว่าในหรือนอกที่ประชุม แม้ว่าการตัดสินใจนั้นไม่ถูก เพราะการวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวจะขัดขวางการปฏิบัติตามการตัดสินใจ กล่าวโดยย่อ สิ่งใดก็ตามที่ดำเนินไปด้วยความปรองดองและความรักและเจตนาที่บริสุทธิ์ ผลที่ได้คือแสงสว่าง และหากร่องรอยของความหมางเมินแม้เพียงน้อยที่สุดเข้ามาปกคลุม ผลที่ได้คือความมืดมิดในความมืดมน?.หากพวกเขาพยายามบรรลุเงื่อนไขเหล่านี้กรุณาธิคุณแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์จะประสิทธิ์ประสาทมาให้แก่พวกเขา และธรรมสภานั้นจะกลายเป็นศูนย์กลางของพระพรจากสวรรค์ กองทัพของอำนาจสวรรค์จะลงมาช่วยเหลือ และพวกเขาจะได้รับพลังใหม่ที่หลั่งไหลมาจากพระวิญญาณเพิ่มขึ้นทุกวัน?
?คนเราควรชั่งน้ำหนักความเห็นของเขาอย่างแจ่มกระจ่างเยือกเย็นและสุขุมอย่างยิ่งยวด ก่อนแสดงความเห็นเขาควรพิจารณาความเห็นที่ผู้อื่นได้แสดงออกมาอย่างละเอียด หากพบว่าความเห็นดังกล่าวถูกต้องและมีคุณค่ากว่าความเห็นของตน เขาควรยอมรับความเห็นนั้นโดยทันทีและไม่ยึดติดกับความเห็นเดิมของตน ด้วยวิธีการอันประเสริฐนี้ เขามุ่งที่จะเข้าถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและความจริง การคัดค้านและความแตก แยกเป็นสิ่งที่เลวร้าย ?? ด้วยเหตุนี้การปรึกษาหารือที่แท้จริงก็คือการชุมนุมของจิต วิญญาณในทัศนคติและบรรยากาศของความรัก สมาชิกต้องรักใคร่ปรองดองสมานฉันท์ ต่อกันเพื่อที่ผลลัพธ์อันดีจะบังเกิดขึ้น ?ความรักใคร่สมานฉันท์คือพื้นฐาน?
?การปรึกษาหารือด้วยจิตวิญญาณที่น่าจดจำเป็นที่สุดก็คือการชุมนุมของอัครสาวกของ พระเยซูคริสต์บนภูเขาหลังจากที่พระคริสต์สิ้นพระชนม์ พวกเขาพูดว่า ?พระเยซูเจ้าถูก ตรึงกางเขนจนสิ้นพระชนม์ บัดนี้เราไม่อาจเข้าเฝ้าขอคำปรึกษาจากพระองค์ในโลกนี้ได้ อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้พวกเราจำต้องแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์ เราต้องแสดงความ กตัญญกตเวทีต่อพระองค์ เพราะพระคริสต์ทรงปลุกให้เราฟื้นคืนชีพ พระองค์ทรงสอนให้ เรารู้กระจ่าง ทรงบันดาลชีวิตที่เป็นอมตะให้แก่พวกเรา เราจะแสดงความจงรักภักดีต่อ พระองค์ได้อย่างไร? ?พวกเขาปรึกษาหารือกัน สาวกคนหนึ่งกล่าวว่า ?พวกเราต้องตัดขาด จากพันธนาการในโลกนี้ มิเช่นนั้นเราก็ไม่สัตย์ซื่อต่อพระองค์? สาวกทั้งหลายกล่าวสนับ สนุน สาวกอีกผู้หนึ่งกล่าวต่อไปว่า ?พวกเราต้องเลือกระหว่างความรับผิดชอบต่อครอบ ครัว ความซื่อสัตย์ต่อภรรยาและลูกกับการรับใช้พระผู้เป็นเจ้าโดยไม่มีพันธนาการอื่นใด มาขัดขวาง เราไม่อาจดูแลรับผิดชอบครอบครัวและป่าวประกาศอาณาจักรของพระผู้เป็น เจ้าให้ขจรไปทุกที่ได้พร้อมๆ กัน? ดังนั้นขอให้คนที่ยังไม่แต่งงานจงอยู่เป็นโสด ส่วนผู้ที่ แต่งงานมีครอบครัวจงจัดการตระเตรียมดูแลครอบครัวให้มีกินมีอยู่ แล้วจึงออกเดินทาง เพื่อเผยแพร่คำสั่งสอนของพระคริสต์? ?ไม่มีผู้ใดคัดค้าน ทุกคนต่างเห็นชอบและกล่าว สนับสนุน สาวกคนที่สามกล่าวว่า ?การที่จะสร้างความดีในอาณาจักรของพระองค์ เราจำต้องอุทิศตนยิ่งขึ้นไปอีก ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปพวกเราควรละความสะดวกสบาย ทางกาย ยอมรับความยากเข็นนานาประการ ลืมความปรารถนาส่วนตัวและมุ่งเผยแพร่ พระศาสนา? ทุกคนต่างยอมรับและเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ ท้ายสุดสาวกคนที่สี่กล่าวว่า ?ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญต่อศาสนา และความสามัคคีของพวกเรา ในนามของพระเยซู พวกเราต้องถูกทำร้ายร่างกาย ถูกจองจำ ถูกขับไล่เนรเทศ ศัตรูของเราอาจจะฆ่าเราเสีย ขอให้พวกเรารับรู้ข้อเท็จจริงประการนี้ ขอให้พวกเราจงตั้งปณิธานไว้ว่า แม้ว่าเราจะถูก ทำร้าย ถูกขับไล่ ถูกสบถ ถูกถุยน้ำลายใส่ และถูกนำไปฆ่า พวกเราจะน้อมรับสิ่งเหล่านี้ อย่างยินดี พวกเราจะอาทรรักผู้ที่เกลียดชังทำร้ายเรา? สาวกทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน ว่า ?เราจะปฏิบัติตามนี้ นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง? สาวกทั้งหลายลงจากยอดเขาและกระจายไปทุก ทิศทางเพื่อปฏิบัติภารกิจของสรวงสวรรค์
?นี่คือการปรึกษาหารือที่แท้จริง นี่คือการปรึกษาหารือของจิตวิญญาณ ไม่ใช่แค่การ ออกความเห็นส่วนตัวในการปราศรัยและการถกเถียงในรัฐสภา?
?ในศาสนาบาไฮการปรึกษาหารือมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ในที่นี้หมายถึงการ ชุมนุมของจิตวิญญาณ ไม่ใช่แค่การออกความเห็นส่วนตัวเท่านั้น ?ณ ที่ประเทศ ฝรั่งเศสเราได้มีโอกาสเห็นการประชุมของสมาชิกรัฐสภา แต่เป็นประสบการณ์ที่ไม่น่า ประทับใจ กระบวนการนิติบัญญัติควรมีวัตถุประสงค์เพื่อหาข้อเท็จจริงในประเด็นที่ ได้รับการหยิบยกขึ้นมา มิใช่เป็นสนามรบของการคัดค้านและแสดงความเห็นส่วนตัว การเป็นปฏิปักษ์ต่อกันและความขัดแย้งเป็นสิ่งที่น่าสลดใจและบ่อนทำลายความจริง ในที่ประชุมรัฐสภาที่ว่านี้การทุ่มเถียงและการประชดประชันที่ไร้สาระเกิดขึ้นบ่อย ผลลัพธ์ก็คือความสับสนอลหม่านเสียเป็นส่วนใหญ่ ถึงขนาดที่เกิดการเผชิญหน้าทาง ร่างกายระหว่างสมาชิกสองคน นี่ไม่ใช่การปรึกษาหารือ แต่เป็นละครตลก?
?จงระวัง จงระวัง เกรงว่ากลิ่นเหม็นเน่าของพรรคการเมืองของประชาชนในดินแดน ตะวันตกและวิธีการที่เป็นภัยอันตราย เช่น กลอุบายต่างๆ เล่ห์เหลี่ยมทางการเมือง การชักจูงกล่อมเกลาความคิดเห็นประชาชน ความประพฤติที่แม้แต่ในนามก็เป็นที่น่า รังเกียจจะเคลือบคลานเข้าสู่ชุมชนบาไฮ จะส่งอิทธิพลต่อเพื่อนสมาชิกและบ่อนทำลาย จิตวิญญาณให้สิ้นลง?
?คุณสมบัติจำเป็นสำหรับผู้ที่จะปรึกษาหารือกันคือเจตนาอันบริสุทธิ์ จิตใจอันผ่องใส ตัดความผูกพันจากทุกสิ่งทุกอย่างนอกจากประผู้เป็นเจ้า ใฝ่หาสุคนธรสสวรรค์ ถ่อมตนต่อบรรดาผู้เป็นที่รักของพระองค์ อดทนต่อความยากลำบาก และรับใช้ ณ ธรณีอันประเสริฐของพระองค์ …?
?พวกเขาควรเข้าดำเนินงานของตนเองด้วยความถ่อมตนอย่างที่สุด ด้วยความอุตสาหะ ความใจกว้าง ความสำนึกในความยุติธรรมและหน้าที่ ความตรงไปตรงมา ความพอประมาณ การอุทิศตนอย่างแท้จริงต่อสวัสดิภาพและประโยชน์ของมิตรสหาย ศาสนาและมนุษยชาติ เพื่อให้ได้มาจากบรรดาผู้ที่พวกเขารับใช้ ไม่เพียงแต่ความเชื่อมั่น การสนับสนุนอย่างแท้จริง และความนับถือเท่านั้น แต่ยังได้รับการยกย่องและความรัก ใคร่อย่างแท้จริงอีกด้วย ในทุกเวลาพวกเขาต้องหลีกเลี่ยงความถือตัว ?บรรยากาศ ที่มีความลับลมคมใน และดำรงตนให้เป็นอิสระจากทรรศนคติการวางตนข่มท่าน และกำจัดอคติและความหลงใหลทุกรูปแบบออกไปจากการพิจารณาของพวกเขา?
?เงื่อนไขแรกคือ ความรักใคร่และความปรองดองกันอย่างแท้จริงในหมู่สมาชิกธรรมสภา พวกเขาต้องปลอดจากความหมางเมินโดยสิ้นเชิง และต้องแสดงออกซึ่งเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้า เพราะพวกเขาคือคลื่นในทะเลเดียวกัน คือหยดน้ำในชโลธรเดียวกัน คือดวงดาราในนภาเดียวกัน คือรัศมีของอาทิตย์ดวงเดียวกัน คือพฤกษาในสวนเดียวกัน คือดอกไม้ในอุทยานเดียวกัน หากไร้ซึ่งความเห็นพ้องต้องกันและความสามัคคีที่แท้จริงแล้ว การชุมนุมนั้นจะสลายตัวและธรรมสภานั้นจะกลายเป็นความว่างเปล่า?
?การประชุมที่จัดขึ้นด้วยวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความสามัคคีและความกลมเกลียวจะส่งผลให้คนแปลกหน้ากลายมาเป็นมิตร ศัตรูเปลี่ยนมาเป็นสหาย พระอับดุลบาฮาจะส่งหัวใจและวิญญาณมาร่วมการประชุมนั้น?
?หน้าที่ประการแรกของสมาชิกทั้งหลายคือการสร้างความกลมเกลียวสามัคคีระหว่างหมู่สมาชิกด้วยกันเองเพื่อให้การประชุมสัมฤทธิ์ผล หากไม่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หรือคณะกรรมการนั้นเป็นต้นเหตุของความแตกแยกเสียเอง แน่นอนว่าการไม่มีคณะ กรรมการดังกล่าวจะดีเสียกว่า…
?ดังนั้น เมื่อความเป็นหนึ่งเดียวกันของสมาชิกที่ประชุมบังเกิดขึ้นแล้ว หน้าที่ ประการที่สองก็คือการอ่านคำภาวนาและตั้งจิตอธิษฐาน เข้าสู่ภาวะรำลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า และมีสติเพื่อที่พวกเขาจะปฏิบัติต่อเพื่อนสมาชิกดังเช่นอยู่หน้าพระพักตร์ของพระผู้ เป็นเจ้า?
?หากว่าคนไม่กี่คนร่วมชุมนุมกันอย่างเปี่ยมไปด้วยความรัก ด้วยความบริสุทธิ์ใจ และความผ่องแผ้วเป็นที่สุด ด้วยใจที่เป็นอิสระจากโลกนี้ รับรู้ถึงความรู้สึกของ อาณาจักรสวรรค์และพลังดึงดูดอันแรงกล้าของพระผู้เป็นเจ้า และคบหาสมาคมกัน อย่างสุขสันต์ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว การชุมนุมนั้นจะส่งผลไปทั่วทั้งโลก มิตรภาพของพวกเขา คำพูดที่ออกมาจากปากเขา สิ่งที่พวกเขาลงมือปฏิบัติ จะนำพาให้พระพรจากสรวงสวรรค์หลั่งลงมา และให้พวกเขาได้ลองลิ้มรส ความเปี่ยมสุขอันเป็นอมตะ บรรดาดวงวิญญาณบนสวรรค์จะปกป้องพวกเขา และเหล่าเทพแห่งสวรรค์ของอับภาจะลงมาช่วยเหลือพวกเขาอย่างไม่สิ้นสุด?
??เมื่อทหารในกองทัพและสมาชิกหมู่พันธมิตรสมัครสมานสามัคคีกันและกลมเกลียวกัน ชัยชนะที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนก็จะปรากฏขึ้น แต่หากพวกเขามารวมตัวกันในวันหนึ่ง และแยกย้ายกระจัดกระจายไปในวันอื่นก็จะไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ใดๆ ทั้งสิ้น?
?ด้วยเหตุนี้ เมื่อเจ้าตระเตรียมกองทัพแห่งสวรรค์เพื่อเป็นแหล่งพำนักแห่งชีวิต เจ้า จำต้องนัดพบปะอย่างต่อเนื่อง ติดต่อสื่อสารทางจิตวิญญาณ หนักแน่นในมติการตัดสิน มั่นคงในวัตถุประสงค์ ลงมือปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอและเพียรพยายามเพื่อที่เจ้าจะ ประสบชัยชนะแห่งสรวงสวรรค์?
“เราภาวนาและอ้อนวอน ณ ธรณีประตูของพระผู้เป็นเจ้าให้พระองค์ประทานความมั่นคง หนักแน่นให้แก่เจ้า ให้เจ้าชี้นำทางแก่ราษฎรในภูมิภาคนั้น?
?ขอภาวนาให้พระเมตตาของพระบาฮาอุลลาห์ พระผู้ทรงไว้ด้วยความงดงามอันไม่มีที่เปรียบจงโอบล้อมเจ้า ขอให้แสงจากพระอาทิตย์แห่งสัจธรรมส่องสว่างนำทางเจ้า ขอให้พวกเจ้าสามัคคีกลมเกลียวและเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น ขอให้พวกเจ้ารับใช้พระศาสนาด้วยพลังที่สมานเป็นหนึ่งเดียว เราส่งมอบข่าวดีแก่เจ้าว่าการรับรองของพระผู้เป็นเจ้าจะประทานลงมาแก่เจ้า?
?ความปรารถนาอันสูงสุดของผู้ที่รับใช้พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายก็คือ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของทุกคน ความสอดคล้องกันของศาสนิกชน และการสื่อสารทางจิตวิญญาณของหัวใจ เพื่อที่พวกเขาจะส่องประกายดั่งดวงดาวในโลกอันมืดมิดนี้ สอนชุมชนทั้งหลายให้เข้าถึงหลักของความรักสมัครสมาน เอื้ออาทร และเมตตากรุณาต่อทุกคน เห็นอกเห็นใจ และเผื่อแผ่ เป็นดั่งน้ำเย็นใสสะอาดแก่ผู้ที่กระหาย เป็นโต๊ะอาหารทิพย์แก่ผู้ที่โหยหิว ให้โอสถวิเศษเพื่อการรักษาแก่ผู้ป่วย และเป็นต้นเหตุของความปิติยินดีอันไม่มีที่สิ้นสุดแก่ผู้ที่ถูกข่มเหงกดขี่?
?ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า! โปรดดลให้วิญญาณของเรายึดบทกลอนแห่งเอกภาพของพระองค์เป็นที่พึ่ง ให้หัวใจของเราเบิกบานด้วยพระกรุณาธิคุณของพระองค์ที่หลั่งไหลลงมา เพื่อว่าเราจะสมัครสมานสามัคคีประดุจเป็นคลื่นในทะเลเดียวกัน กลมกลืนเข้าด้วยกันประดุจรังสีของรัศมีอันเจิดจ้าของพระองค์ เพื่อว่าความคิด ความเห็น ความรู้สึกของเราจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน และแสดงพลังสามัคคีให้ปรากฏทั่วโลก?
?โอ้ เจ้าผู้เป็นที่รักของพระผู้เป็นเจ้า วันนี้คือเวลาแห่งความสมัครสมานสามัคคี วันที่ มนุษยชาติทั้งมวลจะมาร่วมชุมนุมกัน ?แท้จริงแล้วพระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดปรานบรรดา ผู้ที่ทำศึกเพื่อพระศาสนาอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ราวกับเป็นแนวกำแพงที่แข็งแกร่ง? จงสังเกตว่าพระองค์ทรงดำรัสว่า ?เคียงบ่าเคียงไหล่? หมายความว่า แนบแน่นเบียดชิดกัน เชื่อมเข้าด้วยกัน ต่างคนต่างช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกัน การทำศึกตามที่ลิขิตไว้ใน พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาอันยิ่งใหญ่ไม่มีใดเปรียบนี้ไม่ได้หมายความถึงการต่อสู้ ด้วยดาบและหอก ด้วยทวนและเกาทัณฑ์อันแหลมคม ?หากแต่เป็นการต่อสู้ด้วยเจตนา รมณ์อันบริสุทธ์ ด้วยเป้าหมายอันสุจริต ด้วยคำปรึกษาที่เป็นประโยชน์และมีประสิทธิผล ด้วยคุณสมบัติอันน่ายกย่องบูชา ด้วยการประพฤติปฏิบัติที่พระผู้เป็นเจ้าทรงชื่นชอบ และ ด้วยคุณลักษณะแห่งสรวงสวรรค์ ศึกครานี้หมายถึงการให้การศึกษาแก่มนุษยชาติทั้งปวง การชี้นำทางให้แก่คนทั้งหลาย การแพร่กระจายทิพยรสของความศรัทธา การเผยแพร่ข้อ พิสูจน์ของพระผู้เป็นเจ้า การแสดงข้ออธิบายที่ครบความน่ายกย่องบูชา การบำเพ็ญตน เพื่อการกุศล?
?เมื่อใดก็ตามที่บรรดาวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ที่ดื่มด่ำในพลังของสวรรค์ผงาดขึ้นด้วยคุณ ลักษณะอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง เคลื่อนทัพอย่างพร้อมเพรียงทุกแถวทุกขบวน แต่ละคนจะทวี กำลังเป็นดั่งพันคน และคลื่นที่ถาโถมขึ้นในมหาสมุทรอันเกรียงไกรนี้จะเป็นดั่งกองพัน ของเทพยดา ช่างเป็นสิ่งที่น่าปลาบปลื้มยินดียิ่งนักเมื่อวิญญาณทั้งหลายมารวมอยู่ด้วยกัน ดังเช่นกระแสน้ำ แม่น้ำ ลำธาร ลำห้วย และหยดน้ำแต่ละหยดเมื่อมารวมเข้าด้วยกัน ก็จะเกิดเป็นมหาสมุทรใหญ่ ถึงขนาดที่พลังความสามัคคีที่แฝงอยู่จะแสดงออกมา แนวทางการปฏิบัติต่างๆ กฎเกณฑ์ ขนบธรรมเนียม การแบ่งแยกในหมู่คนตามความ เชื่อที่ไร้เหตุผลจะถูกลบล้างและเลือนหายไป ดั่งเช่นหยดน้ำแต่ละหยดที่ถูกกลืนเข้าไป ในท้องทะเลแห่งเอกภาพที่พุ่งถาโถมพัดเป็นระลอก และ ม้วนตัวเป็นคลื่น?
?ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า! พวกเราคือคนรับใช้ของพระองค์ อุทิศตนตั้งจิตสู่พระพักตร์อันพิสุทธิ์ของพระองค์ ?ตัดความผูกพันจากทุกสิ่งนอกจาก พระองค์ในยุคอันรุ่งโรจน์นี้? พวกเราชุมนุมกันในธรรมสภานี้เพื่อรวมทรรศนะและ ความคิดให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยจุดประสงค์กลมเกลียวกันที่เชิดชูพระวจนะของ พระองค์ท่ามกลางมนุษยชาติ?
?สาวกที่เป็นที่รักของพระผู้เป็นเจ้าทุกคนจำต้องสมัครสมานเป็นหนึ่งเดียว ร่วมชุมนุมอยู่ใต้อารักขาของธงผืนเดียวกัน สนับสนุนความเห็นที่เป็นเอกฉันท์ เดินตามทางสายเดียวกัน เชิดชูเป้าหมายเดียวกัน?
?จงใช้การปรึกษาหารือเข้าจัดการแก้ไขทุกเรื่องทั้งใหญ่และเล็ก อย่าเพิ่งลงมือทำกิจสำคัญใดๆ จนกว่าจะได้มีการปรึกษาหารืออย่างถี่ถ้วนแล้ว จงใส่ใจต่อทุกข์สุขซึ่งกันและกัน ต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกันในแผนการและโครงการต่างๆ?
?การปรึกษาหารือเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง และเป็นเครื่องมือที่ทรงอำนาจที่สุดที่ชักนำไปสู่ความสงบและความสุขของประชาชน ตัวอย่างเช่น เมื่อบาไฮคนหนึ่งไม่แน่ใจเกี่ยวกับกิจการของเขา หรือเมื่อเขาพยายามจะดำเนินโครงการหรือการค้า มิตรสหายควรชุมนุมกันหาหนทางแก้ปัญหาสำหรับเขา และเขาควรปฏิบัติตามนั้น?
?เกี่ยวกับคำถามที่ว่าพ่อปรึกษาหารือกับลูกหรือลูกปรึกษาหารือกับพ่อในเรื่องค้าขายและการพานิชย์ การปรึกษาหารือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบพื้นฐานของกฎของพระผู้เป็นเจ้า การปรึกษาหารือดังกล่าวเป็นที่ยอมรับแน่นอนไม่ว่าระหว่างพ่อกับลูกหรือกับคนอื่น ไม่มีสิ่งใดดีกว่านี้ มนุษย์ต้องปรึกษาหารือกันในทุกสิ่ง เพราะการปรึกษาหารือจะทำให้เขาลงลึกไปในแต่ละปัญหา และช่วยให้เขาพบการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง?
??. การปรึกษาหารือเป็นที่ยอมรับต่อเบื้องหน้าของพระผู้ทรงมหิทธานุภาพและบัญญัติไว้สำหรับบาไฮ เพื่อว่าพวกเขาจะปรึกษากันเกี่ยวกับเรื่องสามัญและเรื่องส่วนตัว รวมทั้งกิจการทั่วไป
ตัวอย่างเช่น เมื่อคนหนึ่งมีโครงการที่ต้องทำให้สำเร็จหากเขาปรึกษากับพี่น้อง สิ่งที่เห็นพ้องกันจะได้รับการไต่สวนและคลี่คลาย และความจริงจะเปิดเผยออกมา ทำนองเดียวกันในระดับสูงกว่านั้น หากประชาชนในหมู่บ้านปรึกษากันเกี่ยวกับกิจการต่างๆ ของพวกเขา การแก้ปัญหาที่ถูกต้องจะเปิดเผยออกมา ทำนองคล้ายกัน สมาชิกของแต่ละวิชาชีพเช่นอุตสาหกรรมควรปรึกษาหารือ ผู้ที่อยู่ในวงพาณิชย์ควรปรึกษาหารือเกี่ยวกับธุรกิจ กล่าวโดยย่อการปรึกษาหารือเป็นที่ปรารถนาและยอมรับสำหรับทุกสิ่งและทุกประเด็น?
?ความเป็นจริงหรือสัจธรรมนั้นเป็นหนึ่งเดียว ? หากพวกเขาแสวงหาความจริง พวกเขาก็จะเห็นพ้องต้องกันและสมัครสมานเข้าด้วยกัน เพราะสัจธรรมเป็นหนึ่งเดียวไม่อาจแบ่งแยกได้ ไม่อาจมีซ้ำได้ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ไม่มีสิ่งใดจะสำคัญต่อมนุษยชาติยิ่งไป กว่าการแสวงหาความจริง?
?อีกไม่ช้าไม่นาน โดยผ่านทางเจ้า เราจะสรรค์สร้างมนุษย์ผู้มีสายตาอัน แหลมคมแก่กล้าขึ้น ผู้ที่สามารถใคร่ครวญเข้าถึงสัญญาณนานับประการของพระผู้สร้างของเขา และหันหลังให้กับทุกสิ่งที่ผู้คนในโลกยึดติดอยู่ ด้วยการปรากฏตัวของเจ้า เราจะมอบพลังแห่งการมองเห็นให้แก่ผู้ที่เราปรารถนา และลงโทษผู้ที่เมินหน้าไม่รับพรอันประเสริฐนี้ แท้จริงแล้วพวกเขาหลงดื่มจากถ้วยที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อผิดๆ อย่างไม่รู้ตัว?
?แท้จริงแล้วนี่คือความงามอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทำนายไว้ในคัมภีร์ของธรรมทูตทั้งหลาย ซึ่งพระผู้ทรงความงามนี้จะแยกให้เห็นสัจธรรมและความหลงผิด และจะทดสอบคุณค่าของบัญชาทุกข้อ?
?เพราะวันนี้คือราชาของวันเวลาทั้งหลาย ทุกสิ่งทุกประการที่ได้รับการเปิดเผยขึ้นจากบ่อเกิดของการเปิดเผยธรรมสวรรค์ล้วนเป็นสัจธรรมและแก่นแท้ของหลักธรรมทั้งปวง?
?บัดนี้ความเป็นจริงได้ปรากฏขึ้นและความเป็นเท็จได้เตลิดหายไป บัดนี้รุ่งอรุณของวันใหม่ได้มาถึงพร้อมกับการเฉลิมฉลอง ด้วยเหตุนี้วิญญาณของมนุษย์จึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ดวงจิตของเขาได้รับการชำระ หัวใจของเขาเบิกบาน ความคิดของเขาบริสุทธิ์ ความคิดอันเร้นลับกลับสมบูรณ์ มโนธรรมของเขาสะอาดไร้มลทิน ตัวตนที่แท้จริงของเขาศักดิ์สิทธิ์ขึ้น ??
?ดูกร บุตรแห่งมนุษย์ ต่อให้เจ้าเหินไปทั่วอวกาศที่ไพศาลอย่างรวดเร็ว และเดินทางไปสุดขอบฟ้า เจ้าก็หาความสงบไม่ได้ นอกเสียจากจะยอมจำนนต่อบัญชาของเราและถ่อมตัวต่อหน้าเรา?
?ระหว่างการเยี่ยมเยือนกรุงลอนดอนและปารีสเมื่อปีที่แล้ว เราได้สนทนากับนักสสารนิยม ในยุโรปที่ยึดมั่นในปรากฏการณ์ทางวัตถุ ข้อสรุปทุกประการของพวกเขาตั้งอยู่บนพื้น ฐานที่ว่าการรับรู้ ถึงปรากฏการณ์ทั้งหลายเป็นไปตามกฎที่ตายตัวไม่เปลี่ยนแปลง กฎที่สามารถคำนวณการรับรู้ของประสาทสัมผัสออกมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน เป็นต้นว่า ตามองเห็นเก้าอี้ ดังนั้นการดำรงอยู่ของเก้าอี้เป็นสิ่งที่ชัดแจ้งไม่มีข้อกังขา ตามองขึ้น ไปบนท้องฟ้าและเห็นดวงอาทิตย์ เรามองเห็นดอกไม้บนโต๊ะนี้ เราได้สูดดมกลิ่นหอมของ มัน เราได้ยินเสียงข้างนอก นักคิดที่เชื่อในปรากฏการณ์ทางวัตถุกล่าวว่านี่คือกฎ ที่คำนวณได้ของการรับรู้และตีความอันเป็นกระบวนการที่ไม่มีข้อสงสัย เนื่องด้วยจักรวาล คอยให้เราเข้าไปสัมผัสรับรู้ ข้อพิสูจน์นั้นชัดเจนในตัวของ มันเองว่าความรู้ของเราต่อจักรวาลย่อมต้องผ่านประสาทสัมผัส กล่าวได้ว่า นักคิดเชิงวัตถุประกาศว่าบรรทัดฐานของความรู้ของมนุษย์คือประสาทสัมผัส ในบรรดาชาวกรีกและโรมันบรรทัดฐานของความรู้คือเหตุผล นั่นคือสิ่งใดก็ตาม ที่พิสูจน์และยอมรับได้ด้วยหลักของเหตุผลย่อมต้องเป็นความจริง บรรทัดฐานประเภท ที่สามคือแนวคิดของนักเทววิทยาที่ว่า ขนบธรรมเนียมหรือคำสอนของพระศาสดาและการ ตีความของคำสอนเหล่านี้ถือเป็นพื้นฐานของความรู้ของมนุษย์ ยังมีอีกหนึ่งบรรทัด ฐานคือประเภทที่สี่ซึ่งนักบวชของศาสนาต่างๆ และเหล่าอภิปรัชญาเชื่อถือ ?พวกเขากล่าว ว่าต้นกำเนิดและช่องทางที่มนุษย์จะเจาะผ่านปริศนาต่างๆ ได้ก็ด้วยแรงบันดาลใจ สรุปสั้นๆ ได้ว่ามีสี่บรรทัดฐานที่มนุษย์เชื่อว่านำสู่ความจริง หนึ่งคือประสาทสัมผัส สอง: เหตุผล สาม: คตินิยม สี่: แรงบันดาลใจ?
?เมื่อเราพิจารณาถึงบรรทัดฐานประเภทที่สาม นั่นคือ ขนบธรรมเนียมประเพณีที่นักบวชผู้ สอนศาสนาถือเป็นหนทางและมาตรฐานของความรู้ เราจะพบว่ามันเชื่อถือไม่ได้เช่นกันและ ไม่สมควรที่จะได้รับความไว้วางใจ ทั้งนี้เนื่องเพราะธรรมเนียมทางศาสนาเป็นรายงาน การจดบันทึกถึงความเข้าใจและการตีความคัมภีร์ทางศาสนา ต้องถามว่าความเข้าใจและ การตีความพระคัมภีร์ได้มาอย่างไร ก็ด้วยการวินิจฉัยตามเหตุผลของมนุษย์ เวลาเราอ่าน พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ กลไกการทำความเข้าใจที่เราใช้สร้างข้อสรุปก็คือเหตุผล เหตุผลก็คือ สติปัญญา หากเราไม่ได้รับประสิทธิ์ประสาทด้วยเหตุผลอันสมบูรณ์ เราจะเข้าใจถึงพระวจี ของพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร ดังนั้นเหตุผลของมนุษย์โดยธรรมชาติของมันจึงจำกัด และมีข้อผิดพลาดดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้ว มันไม่อาจจะครอบคลุมความเป็นจริง หรือพระวจนะที่ไร้ข้อจำกัดได้ เมื่อที่มาของธรรมเนียมและการตีความ คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์คือเหตุผลของมนุษย์ และเหตุผลของ มนุษย์มีข้อบกพร่อง เราจะพึ่งพาข้อสรุปของมันเพื่อเข้าถึงความรู้ความเข้าใจอันถ่องแท้ได้อย่างไร?
?บรรทัดฐานประเภทที่สี่เราเรียกว่าแรงบันดาลใจที่เชื่อว่าสามารถนำไปสู่ความรู้จริงได้ แรงบันดาลใจคืออะไร มันคือสิ่งที่ถาโถมเข้ามาในใจมนุษย์ หากแต่ความคิดอันชั่วช้า สามานย์เข้าข่ายนี้หรือไม่ เพราะมันก็เป็นความรู้สึกท่วมท้นเช่นเดียวกัน เราจะแยกแยะ สองสิ่งนี้ได้อย่างไร เกิดคำถามขึ้นว่า ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ว่าเรากำลังทำตามแรงบัน- ดาลใจของพระผู้เป็นเจ้าหรือทำตามกิเลสหยาบช้าในจิตมนุษย์?
?กล่าวโดยสรุปได้ว่า ในโลกแห่งปรากฏการณ์ทางวัตถุของมนุษย์นี้มีเพียงหนทาง ทั้งสี่ที่เป็นมาตรฐานหรือช่องทางของความรู้ และทุกทางต่างมีข้อจำกัดและเชื่อถือไม่ได้ ยังมีหนทางอื่นอีกไหม เราจะเข้าถึงความเป็นจริงขององค์ความรู้ได้อย่างไร ก็ด้วย ลมหายใจและแรงกระตุ้นของวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นแสงสว่างและสัจธรรมในตัวมัน เอง วิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ส่งให้สติปัญญาของมนุษย์ฟื้นฟูแกร่งกล้าขึ้นในการหา ข้อสรุปที่เป็นจริงและองค์ความรู้ที่สมบูรณ์ นี่เป็นข้อโต้แย้งว่ามาตรฐานการเข้าถึง องค์ความรู้ทั้งหลายล้วนมีข้อบกพร่องผิดพลาด มีแต่มาตรฐานความรู้ของสวรรค์ เท่านั้นที่ไม่มีข้อผิดพลาด ด้วยเหตุนี้จึงไม่ถูกต้องที่จะกล่าวว่า ?ข้าพเจ้ารู้จากการรับรู้ ผ่านประสาทสัมผัส? หรือ ?ข้าพเจ้ารู้เพราะได้ผ่านการไตร่ตรองด้วยเหตุผล? หรือ ?ข้าพเจ้ารู้เพราะมันเป็นไปตามธรรมเนียมการตีความพระคัมภีร์? หรือ ?ข้าพเจ้ารู้ เพราะข้าพเจ้าได้รับแรงบันดาลใจ? บรรทัดฐานการตัดสินของมนุษย์ล้วนมีขีด จำกัดมีข้อผิดพลาด?
?ไม่มีมนุษย์คนใดไปถึงชายฝั่งมหาสมุทรแห่งความเข้าใจที่แท้จริง เว้นแต่ว่าเขาจะปล่อยวางจากทุกสิ่งที่อยู่ในสวรรค์และบนโลก ดูกร พวกเจ้าประชาชนทั้งหลายของโลก จงชำระวิญญาณของเจ้าให้บริสุทธิ์? เพื่อว่าเจ้าจะบรรลุถึงสถานะที่พระผู้เป็นเจ้าลิขิตไว้สำหรับเจ้า ?และดังนี้เข้าไปในวิหารที่ก่อขึ้นมาบนฟากฟ้าแห่งคัมภีร์บายันตามการอนุญาตของพระผู้เป็นเจ้า
สาระของวจนะเหล่านี้คือ : บรรดาผู้ที่ย่างเท้าบนหนทางแห่งความศรัทธา ?บรรดาผู้ที่กระหายอมฤตแห่งความมั่นใจ? ต้องชำระทุกสิ่งทางโลกให้หมดไปจากตน ?นั่นคือ ชำระวาจาที่เหลวไหลออกไปจากหูของตน ชำระจินตนาการที่ไร้สาระออกไปจากจิตใจของตน ?ชำระเสน่หาทางโลกออกไปหัวใจของตน? ชำระสิ่งที่จะต้องมอดม้วยออกไปจากดวงตาของตน พวกเขาควรวางใจในพระผู้เป็นเจ้า ?และไปตามหนทางของพระองค์ด้วยความยึดมั่นในพระองค์ เมื่อนั้นพวกเขาจะคู่ควรกับความรุ่งโรจน์โชติช่วงของดวงอาทิตย์แห่งความรู้และความเข้าใจของพระผู้เป็นเจ้า?.?
?ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พวกเราคือวิญญาณต่ำต้อยที่อยู่ ณ ธรณีประตูของพระองค์ ผู้ยากไร้ เบื้องหน้าท้องพระโรงของพระองค์ เราอ้อนวอนขอพระมหากรุณาธิคุณและความเกื้อหนุน จากพระองค์ หันหน้าไปสู่อาณาจักรที่เป็นหนึ่งเดียวของพระองค์ เฝ้ารอรับความอารีจากของประทานของพระองค์?
?ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า! พวกเราคือคนรับใช้ของพระองค์ อุทิศตนตั้งจิตสู่พระพักตร์อันพิสุทธิ์ของพระองค์ ?ตัดความผูกพันจากทุกสิ่งนอกจากพระองค์ในยุคอันรุ่งโรจน์นี้? พวกเราชุมนุมกันในธรรมสภานี้เพื่อรวมทรรศนะและความคิดให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยจุดประสงค์กลมเกลียวกันที่จะเชิดชูพระวจนะของพระองค์ท่ามกลางมนุษยชาติ?
?ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า! โปรดดลให้วิญญาณของเรายึดบทกลอนแห่งเอกภาพของพระองค์เป็นที่พึ่ง ให้หัวใจของเราเบิกบานด้วยพระกรุณาธิคุณของพระองค์ที่หลั่งไหลลงมา เพื่อว่าเราจะสมัครสมานสามัคคีประดุจเป็นคลื่นในทะเลเดียวกัน กลมกลืนเข้าด้วยกันประดุจรังสีของรัศมีอันเจิดจ้าของพระองค์ เพื่อว่าความคิด ความเห็น ความรู้สึกของเราจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน และแสดงพลังสามัคคีให้ปรากฏทั่วโลก?
?ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า จากสรวงสวรรค์แห่งเอกภาพของพระองค์ที่ซ่อน เร้นจากสายตาของเรา ขอทรงทอดพระเนตรลงมายังพวกเราที่เข้าชุมนุมกันในที่นี้ เรา ต่างเชื่อมั่นในพระองค์ มั่นใจในสัญญลักษณ์ที่บ่งชี้ถึงพระองค์ มั่นคงในพระปฏิญญาและข้อ พิสูจน์อันชัดแจ้งของพระองค์ ชื่นชมบูชาพระองค์ โชติช่วงจากไฟความรักของพระองค์และ จริงใจรับใช้ศาสนาของพระองค์?
?ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า แท้จริงแล้วเหล่าข้ารับใช้เหล่านี้ต่างหันหน้ามาสู่พระองค์ อ้อนวอนต่ออาณาจักรแห่งความปรานีของพระองค์ แท้จริงแล้วพวกเขาต่างหลงใหลในความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์และโชติช่วงขึ้นจากไฟ ความรักของพระองค์ ต่างเฝ้ารอคอยการรับรองจากอาณาจักรอันวิสุทธิ์ของพระองค์ และหวังเข้าสู่สรวงสวรรค์ของพระองค์ แท้จริงแล้วพวกเขาต่างเฝ้ารอรับพระมหากรุณาธิคุณที่หลั่งประทานลงมา ต่างปรารถนาที่จะรับการชี้นำจากพระสุริยะแห่งสัจธรรม?
?ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงปรานี! ข้าแต่พระผู้ทรงอำนาจและทรงอานุภาพ! ข้าแต่พระบิดาผู้เมตตาที่สุด! คนรับใช้เหล่านี้ชุมนุมกันและตั้งจิตสู่พระองค์ วิงวอนต่อธรณีประตูของพระองค์ ปรารถนาพระพรอันไม่รู้สิ้นจากความแน่นอนอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พวกเขาไม่มีจุดประสงค์อื่นใดนอกจากจะได้เป็นที่ยินดีของพระองค์ ไม่มีเจตนาอื่นใดนอกจากจะรับใช้มนุษยชาติ?
?ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า! โปรดทำให้ที่ชุมนุมนี้สดใส ให้ทุกคนมีใจปรานี โปรดประทานพรของพระวิญญาณบริสุทธิ์และประสาทพวกเขาด้วยอานุภาพสวรรค์ โปรดอวยพรพวกเขาให้มีใจเป็นธรรม และให้น้ำใสใจจริงที่มีอยู่ทวีขึ้น เพื่อว่าพวกเขาจะหันมายังอาณาจักรของพระองค์ด้วยความถ่อมตนและสำนึกผิดด้วยความเสียใจ และทำธุระรับใช้มนุษยชาติ ขอให้แต่ละคนกลายเป็นเทียนที่สว่างไสว เป็นดาราที่สุดใส เป็นสีสนที่วิจิตร และขจรกลิ่นที่ชวนระลึกถึงสุคนธรสในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า?
?ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงบริบาล! ที่ชุมนุมนี้ประกอบด้วยสหายที่ใฝ่หาความงามของพระองค์ และลุกด้วยไฟแห่งความรักของพระองค์ โปรดบันดาลให้ดวงวิญญาณที่ชุมนุมกันนี้กลายเป็นเทพยดา โปรดฟื้นชีวิตของพวกเขาด้วยลมหายใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ โปรดให้พวกเขามีคารมคมคายและหัวใจที่เด็ดเดี่ยว โปรดประทานอานุภาพสวรรค์และให้พวกเขามีใจปรานี โปรดดลให้พวกเขาเป็นผู้เผยแพร่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมนุษยชาติ เป็นเหตุแห่งความรักและปรองดองของมวลมนุษย์ เพื่อว่าอคติที่เป็นภัยมืดจะถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างจากธรรมาทิตย์ โลกที่เซื่องซึมนี้จะสดใส อาณาจักรวัตถุนี้จะดูดซึมรังสีของอาณาจักรธรรม สีที่ต่างกันเหล่านี้จะกลมกลืนเป็นสีเดียวกัน และทำนองเพลงสวรรค์จะก้องขึ้นไปถึงอาณาจักรแห่งความวิสุทธิ์ของพระองค์?