วิสัยทัศน์สำหรับอนาคต

วิสัยทัศน์สำหรับอนาคต

สำหรับบาไฮศาสนิกชน ?หลักธรรมคำสอนต่างๆ และวิสัยทัศน์ที่พระบาฮาอุลลาห์ให้ไว้ ?คือพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าสำหรับมนุษยชาติในยุคนี้ และการเปิดเผยพระธรรมของพระองค์มาพร้อมกับ ?อานุภาพสวรรค์ที่จะบันดาลให้หลักธรรมคำสอนและวิสัยทัศน์เหล่านั้นบังเกิดขึ้นจริง ซึ่งอานุภาพธรรมนี้กำลังผลักดันมนุษยชาติทั้งภายในและภายนอกชุมชนบาไฮให้ไปตามที่พระผู้เป็นเจ้าลิขิตไว้ ??ภายในชุมชนบาไฮหลักธรรมคำสอนเหล่านี้คือแสงธรรมนำทางและแรงบันดาลใจในการดำเนินกิจการต่างๆ อย่างมีจิตสำนึกเพื่อไปสู่เป้าหมายตามวิสัยทัศน์ ส่วนภายนอกประชาคมบาไฮหรือโลกภายนอกแม้ว่าอาจจะไม่ทราบ ?ไม่ยอมรับ หรือไม่ให้ความสำคัญกับหลักธรรมคำสอนของพระบาฮาอุลลาห์ ก็กำลังถูกผลักดันให้ไปตามทิศทางที่พระผู้เป็นเจ้าลิขิตไว้อย่างไม่รู้ตัวและฝืนไม่ได้ โดยอาจจะต้องผ่านประสบการณ์ที่เจ็บปวดและทุกข์ทรมานก่อนที่จะเห็นคุณค่าของศาสนาของพระองค์ ?จึงจะไปถึงจุดหมายได้

ดังนั้นการดำเนินชีวิตและกิจการต่างๆ ในโลกยุคใหม่ที่ขัดหรือไม่สอดคล้องกับหลักธรรมคำสอนของบาไฮ ?ย่อมพบกับความยุ่งยากและวิกฤติการณ์ที่กินลึกเข้าไปทุกขณะอย่างหลีกเลี่ยงไมได้ ตราบใดที่มนุษยชาติยังไม่หันมารับการเยียวยาจากพระบาฮาอุลลาห์ผู้ทรงเป็นนายแพทย์สวรรค์ ?และได้แต่พึ่งพาการรักษาของแพทย์ผู้ไร้วิชาทั้งหลายที่สั่งการรักษาที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง ?ความเจ็บป่วยของโลกจะยิ่งทรุดหนัก ???ปัญหาและวิกฤติการณ์ต่างๆ จะลุกลามและบานปลายยิ่งขึ้นจนนำไปสู่ความหายนะในรูปแบบต่างๆ ?เช่นความหายนะทางการเมืองหรือทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในระบบการเมืองหรือระบบเศรษฐกิจที่ขัดกับหลักธรรมคำสอนของบาไฮ ?พระบาฮาอุลลาห์ทรงลิขิตไว้ด้วยความเวทนาต่อชะตากรรมของมนุษยชาติในปัจจุบันว่า

เราเห็นได้ว่า ?มวลมนุษยชาติถูกห้อมล้อมด้วยความทุกข์ยากมหันต์สุดคณนาอย่างไร ?เราเห็นมนุษยชาติระโหยอยู่บนเตียง เจ็บป่วย ปวดร้าวและสิ้นหวัง ?บรรดาผู้ที่หลงตัวเองได้เข้ามาขวางกั้นระหว่างมนุษยชาติกับนายแพทย์สวรรค์ผู้ไม่มีผิดพลาด ?จงเป็นพยานว่าพวกเขานำพามนุษย์ทั้งมวลรวมทั้งตัวเองเข้ามาติดร่างแหของกลวิธีที่ตนคิดขึ้นมาอย่างไร ?พวกเขาไม่สามารถค้นพบสาเหตุของโรคและไม่มีความรู้เกี่ยวกับการเยียวยา พวกเขาเห็นคนซื่อตรงเป็นคนคด เห็นมิตรเป็นศัตรู

Gleanings from the Writings of Baha?u?llah p.213 พระบาฮาอุลลาห์ ?

นี้คือเหตุผลหนึ่งที่ธรรมลิขิตบาไฮบัญญัติให้บาไฮศาสนิกชนมีหน้าที่เผยแพร่ศาสนา ?เพื่อให้ชาว โลกยอมรับว่าพระบาฮาอุลลาห์คือพระศาสดาองค์ล่าสุดที่เสด็จมาสำหรับในยุคนี้ ?เพื่อว่ามวลมนุษย์จะได้ปรับตัวให้สอดคล้องกับโองการสวรรค์ ปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของพระองค์ ?ดำเนินชีวิตและกิจการต่างๆ ตามแนวทางและหลักการที่พระผู้เป็นเจ้าให้ไว้สำหรับมนุษยชาติในยุคใหม่นี้ ?ซึ่งจะนำไปสู่สันติสุขของตนเองและสังคม ความเจริญรุ่งเรืองและสันติภาพของโลก มิฉะนั้นแล้วปัญหาและวิกฤติการณ์ต่างๆ ที่เป็นผลมาจากการกระทำที่ขัดกับหลักธรรมคำสอนของพระองค์จะหาทางออกไม่ได้ ?และมีแต่จะเลวร้ายยิ่งขึ้น ซึ่งจะยับยั้งหรือผ่อนหนักเป็นเบาได้มากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นกับว่าประชาชนจำนวนมากเท่าไรยอมรับพระบาฮาอุลลาห์ได้เร็วเพียงไร มนุษยชาติยอมรับพระบาฮาอุลลาห์ยิ่งช้า ความทุกข์ทรมานและความหายนะก็จะยิ่งลุกลามและรุนแรงมากขึ้น ?จึงเข้าใจได้ไม่ยากว่าเหตุใดธรรมลิขิตบาไฮจึงระบุไว้ว่า การสอนศาสนาคือการกระทำที่มีกุศลสูงสุด

ความเสมอภาคระหว่างบุรุษและสตรี

ในยุคโบราณและยุคกลาง ?สตรีขึ้นอยู่กับบุรุษโดยสมบูรณ์ ?สาเหตุที่สตรีถูกประเมินว่าด้อยกว่าบุรุษเป็นเพราะสตรีไม่ได้รับการศึกษา ?ชีวิตและสมองของสตรีถูกจำกัดอยู่ที่บ้าน สิ่งนี้พอเห็นได้จากจดหมายบางฉบับของเซ๊นต์ปอล ??ในศตวรรษต่อๆ มา ขอบเขตและโอกาสในชีวิตของสตรีเปิดกว้างขึ้นและเพิ่มขึ้น สติปัญญาของสตรีเปิดออกและพัฒนา ?การหยั่งรู้ของสตรีตื่นตัวและลึกซึ้งกว่าเดิม คำถามเกี่ยวกับสตรีคือ ทำไมสตรีควรถูกปล่อยไว้ไม่ให้พัฒนาสติปัญญา? ?วิทยาศาสตร์เป็นที่น่าสรรเสริญไม่ว่าจะค้นคว้าโดยสติปัญญาของบุรุษหรือสตรี ดังนั้นสตรีจึงก้าวหน้าไปทีละน้อยซึ่งค่อยๆ พิสูจน์ถึงความสามารถที่เสมอกับบุรุษ ?ไม่ว่าในด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ความสามารถในทางการเมือง และในกิจกรรมต่างๆ ข้อสรุปนั้นชัดเจนว่า สตรีถูกแซงเพราะว่าไม่ได้รับการศึกษาและสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านการศึกษา ?หากได้รับโอกาสทางการศึกษาและหลักสูตรการศึกษาเดียวกัน สตรีย่อมพัฒนาความสามารถได้เหมือนกัน ?????????????????????????????????????????????????

The Promulgation of Universal Peace p.281 พระอับดุลบาฮา ????????

ราวสิบปีหลังจากที่พระอับดุลบาฮาแสดงปาฐกถาข้างบนนี้ที่อเมริกา ?อเมริกาได้ยกระดับสตรีขึ้นมาให้เสมอภาคกับบุรุษอย่างเป็นรูปธรรม นั่นคือแก้ไขกฎหมายให้สตรีมีที่นั่งในรัฐสภาได้ ?และนับเป็นชาติแรกที่ทำเช่นนี้ ซึ่งต่อมาชาติอื่นๆ ก็ทยอยกันปฏิบัติตาม นี้คือหลักฐานหนึ่งที่แสดงถึงอานุภาพของการเปิดเผยพระธรรมของพระบาฮาอุลลาห์ ?ที่ผลักดันโลกไปในทิศทางที่หลักธรรมของพระองค์ลิขิตไว้อย่างฝืนไม่ได้ แม้แต่โลกมุสลิมที่ฝังรากลึกอยู่ในธรรมเนียมประเพณีที่ตรงกันข้ามกับหลักธรรมข้อนี้ที่ตนต่อต้านหรือไม่ยอมรับมาตั้งแต่ต้น ?ก็ไม่สามารถต้านอานุภาพธรรมของพระบาฮาอุลลาห์หรือฝืนสัจธรรมของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปได้ จึงเริ่มมีการให้สตรีในประเทศมุสลิมบางประเทศมีที่นั่งในรัฐสภาด้วยเช่นกัน เช่นในประเทศคูเวต ถึงแม้ว่าจะมาทีหลังกว่าอีกหลายๆ ประเทศที่ไม่ใช่ประเทศมุสลิม ?ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการเคลื่อนไหวมากขึ้นเรื่อยๆ ในสังคมมุสลิม เพื่อยกระดับสตรีมุสลิมให้มีสถานภาพสูงขึ้นมาเสมอกับบุรุษมากขึ้น แม้ว่ายังมีหนทางอีกยาวไกล ธรรมลิขิตบาไฮได้แถลงเกี่ยวกับสัจธรรมของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ไว้ว่า

โลกในอดีตถูกปกครองด้วยกำลัง ?บุรุษได้มีอำนาจเหนือสตรีเพราะบุรุษมีความรุนแรงก้าวร้าวกว่าทั้งร่างกายและจิตใจ ?แต่สมดุลได้เปลี่ยนไปแล้ว การใช้กำลังมีอำนาจลดลง ความฉับไวทางปัญญา จิตสัมผัส คุณธรรมแห่งความรักและการรับใช้ ?ซึ่งเป็นจุดแข็งของสตรี กำลังขึ้นมามีบทบาทเหนือกว่า ดังนั้นยุคใหม่จะเป็นยุคที่มีลักษณะของบุรุษน้อยลง และซึมซาบอุดมคติของสตรีมากขึ้น ?กล่าวให้ถูกต้องกว่านั้นคือ จะเป็นยุคที่อารยธรรมจะมีลักษณะของบุรุษและสตรีสมดุลกันอย่างเหมาะสม

Women, Compilation 1986 p.11-2 ??พระอับดุลบาฮา

ด้วยยอมรับพระบาฮาอุลลาห์และหลักธรรมคำสอนของพระองค์ก่อนใคร ?บาไฮจึงเป็นชุมชนแรกที่ปฏิบัติตามหลักธรรมนี้ และต่อมาโดยการผลักดันของอานุภาพธรรมของพระองค์ ?ชุมชนและสังคมอื่นๆ ได้ทยอยกันยอมรับและสนับสนุนหลักธรรมข้อนี้มากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าพวกเขาอาจจะยังไม่ทราบหรือไม่ได้ยอมรับพระศาสดาผู้เป็นต้นกำเนิดของหลักธรรมนี้ก็ตาม ?ความสำคัญของหลักธรรมข้อนี้มีได้มีนัยแค่เพียงครอบครัวหรือสังคมเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่จะทำให้สันติภาพของโลกบังเกิดขึ้นได้ พระอับดุลบาฮาได้เปิดทิวทัศน์ใหม่ของความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า

จงพิจารณาดูบุตรชายที่ได้รับการเลี้ยงดูและอบรมมายี่สิบปีโดยมารดาที่ทุ่มเท ?มารดาไม่ได้นอนกี่คืน กังวลและกระสับกระส่ายกี่วัน! หลังจากเลี้ยงดูเขาผ่านอันตรายและความยุ่งยากมาจนโต ?เป็นความปวดร้าวเพียงใดที่จะสละเขาไปในสนามรบ! ดังนั้นมารดาจะไม่ยอมให้ทำสงคราม เวลานั้นจะมาถึง คือเวลาที่สตรีจะมีส่วนร่วมเต็มที่และเสมอภาคในกิจการต่างๆ ของโลก ?จะเข้าสู่สมรภูมิของกฎหมายและการเมืองอย่างมั่นใจและสามารถ เมื่อนั้นสงครามจะยุติ เพราะสตรีจะเป็นอุปสรรคกีดขวางสงคราม นี้คือความจริงที่ไม่มีข้อสงสัย

The Promulgation of Universal Peace p.134-5 พระอับดุลบาฮา ??????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????

เวลาว่างเว้นไปราวเจ็ดสิบปีหลังจากที่พระอับดุลบาฮาได้แสดงปาฐกถาข้างบนนี้เกี่ยวกับบทบาทที่สำคัญของสตรีในการสถาปนาสันติภาพ ?สงครามก็ยังปะทุขึ้นทั่วโลกรุนแรงกว่าเดิม สภายุติธรรมสากลซึ่งเป็นสถาบันสูงสุดของศาสนาบาไฮจึงถือเป็นโอกาสเหมาะในปีสันติภาพสากล ?ค.ศ. 1986 ที่จะนำคำสอนนี้มาแถลงต่อชาวโลกอีกครั้งในสาร ?สัญญาแห่งสันติภาพ? ซึ่งกล่าวไว้ว่า

การปลดแอกสตรี ?การให้ความเสมอภาคโดยสมบูรณ์ระหว่างเพศ ?แม้จะได้รับการยอมรับไม่มากนักว่าเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นต่อสันติภาพ ?แต่ก็เป็นหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญที่สุด การปฏิเสธความเสมอภาคนี้เป็นการกระทำที่ไม่ยุติธรรมต่อครึ่งหนึ่งของประชากรโลก ?อีกทั้งยังส่งเสริมเจตคติและนิสัยที่เป็นภัยให้แก่บุรุษ ซึ่งติดตัวมาจากครอบครัวไปสู่ที่ทำงาน ไปสู่ชีวิตทางการเมือง ?และในที่สุดไปสู่ความสัมพันธ์ระหว่างชาติ ไม่มีเหตุผลทางศีลธรรม ทางปฏิบัติ หรือทางชีววิทยาสำหรับการปฏิเสธความเสมอภาคนี้ ?ต่อเมื่อสตรีได้รับการต้อนรับให้เป็นหุ้นส่วนโดยบริบูรณ์ในทุกวงความพยายามของมนุษย์เท่านั้น บรรยากาศทางศีลธรรมและจิตใจจึงจะเกิดขึ้น ?ซึ่งสันติภาพนานาชาติจะก่อตัวได้

The Promise of World Peace p.13 สภายุติธรรมสากล

นัยหนึ่งที่พอจะเห็นได้จากปาฐกถาของพระอับดุลบาฮาและคำแถลงของสภายุติธรรมสากลข้างบนนี้คือ ?เราคงได้เห็นสตรีขึ้นมามีบทบาทในภารกิจสำคัญต่างๆ อย่างเสมอภาคกับบุรุษมากขึ้น รวมทั้งการเกื้อหนุนสันติภาพ ?และบทบาทของสตรีจะเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่จะทำให้สันติภาพของโลกบังเกิดขึ้นได้ ในทางกลับกันชาติที่ยังยึดถือธรรมเนียมประเพณีหลงยุคที่ยังให้สตรีอยู่ภายใต้บุรุษ ?จะเป็นชาติที่เป็นอุปสรรคต่อการสถาปนาสันติภาพของโลกมากที่สุด

ภาษาสากล

ตั้งแต่เริ่มต้นของกาลเวลา ?แสงแห่งเอกภาพได้สาดรัศมีมายังโลก ?และวิธีการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับการส่งเสริมเอกภาพนี้คือ ?การให้ประชาชนบนโลกเข้าใจข้อเขียนและคำพูดของกันและกัน

Tablets of Baha?u?llah p.127 พระบาฮาอุลลาห์

เมื่อโลกหดตัวเข้ามาโดยเทคโนโลยีการสื่อสารคมนาคม ?ประชาชนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ สนใจเรียนภาษาต่างประเทศเพื่อจะสื่อสารกับคนต่างชาติต่างภาษา ?และเลือกที่จะเรียนภาษาต่างกันด้วยเหตุผลทางอาชีพ ทางการศึกษา ฯลฯ อย่างไรก็ตามการจะเรียนภาษาต่างประเทศให้ชำนาญพอที่จะสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ?ต้องใช้เวลานานและต้องพยายามอย่างมาก หากใครคนหนึ่งใช้เวลาทั้งชีวิตเรียนภาษาต่างๆ สมมุติว่าเก่งมากเรียนได้ถึง10 ภาษา เขาก็ยังพูดหรือสื่อสารกับคนอีกจำนวนมากในโลกไม่ได้ ?เพราะภาษาในโลกมีกว่า 800 ภาษา คนทั่วโลกจะสื่อสารกันได้ง่ายกว่าหากมีภาษาสากลภาษาเดียว ถึงแม้องค์การสหประชาชาติจะใช้ห้าภาษาเป็นภาษาหลัก แต่มนุษยชาติก็ยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะใช้ภาษาใดเป็นภาษาสากล ?เพราะแต่ละชาติก็อยากให้ภาษาของตนเป็นภาษาสากล พระบาฮาอุลลาห์ทรงบัญญัติไว้ในคีตาบีอัคดัสและธรรมลิขิตอื่นเกี่ยวกับภาษาสากลว่า

หนึ่งในปัจจัยต่างๆ ที่หนุนนำไปสู่เอกภาพและความลงรอย ?และจะทำให้ทั่วพิภพได้รับการพิจารณาว่าเป็นประเทศเดียว คือ ?การลดภาษาต่างๆ ให้เหลือภาษาเดียว และทำนองเดียวกันอักษรต่างๆ ที่ใช้กันอยู่ในโลกควรให้เหลือเพียงอักษรเดียว ?เป็นหน้าที่ของทุกชาติที่จะแต่งตั้งผู้มีปัญญาและแก่วิชาให้เรียกการชุมนุม ปรึกษาหารือกันแล้วเลือกภาษาจากภาษาหลากหลายที่มีอยู่ ?หรือประดิษฐ์ภาษาใหม่ เพื่อจะนำมาสอนเด็กในทุกโรงเรียนในโลก

วันนั้นกำลังใกล้เข้ามา ?คือวันที่ประชาชนทั้งหมดในโลกจะใช้ภาษาสากลเดียวกัน ?และใช้อักษรเดียวกัน เมื่อสิ่งนี้สัมฤทธิ์ผล ไม่ว่ามนุษย์จะเดินทางไปเมืองไหน ?จะเป็นเหมือนว่าเขากำลังเข้าไปในบ้านเกิดของตนเอง

Tablets of Baha?u?llah p.165-6 พระบาฮาอุลลาห์

ต่อมาพระอับดุลบาฮาอธิบายเพิ่มเติมไว้ในสุนทรพจน์ ณ กรุงปารีสอีกครั้งหนึ่งเกี่ยวกับบทบัญญัติข้อนี้ว่า

ก้าวที่สำคัญก้าวหนึ่งไปสู่สันติภาพสากลคือการสถาปนาภาษาสากล ?พระบาฮาอุลลาห์ทรงบัญชาว่า บรรดาผู้รับใช้มนุษยชาติควรประชุมกัน ?แล้วเลือกภาษาที่มีอยู่หรือประดิษฐ์ภาษาใหม่ สิ่งนี้เปิดเผยอยู่ในคีตาบีอัคดัส…….ปัญหาความหลากหลายของภาษานั้นยุ่งยากมาก ?โลกเรามีกว่า 800 ภาษา และไม่มีใครสามารถเรียนรู้ได้หมด

มนุษย์เชื้อชาติต่างๆ ไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเหมือนแต่ก่อน ?ปัจจุบันนี้เพื่อที่จะมีสัมพันธภาพอันใกล้ชิดกับทุกประเทศ ?จำเป็นที่จะต้องพูดภาษาของประเทศอื่นได้ ภาษาสากลจะทำให้เป็นไปได้ที่จะสื่อสารกับทุกชาติ ?ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องรู้สองภาษาเท่านั้นคือภาษาแม่และภาษาสากล ภาษาสากลจะช่วยให้มนุษย์สื่อสารกับทุกคนในโลกได้! ?ภาษาที่สามจะไม่ค่อยจำเป็น การพูดกับเชื้อชาติหรือประเทศใดโดยไม่ต้องอาศัยล่ามนั้นมีประโยชน์และผ่อนคลายเพียงไร!

จนกว่าจะมีการใช้ภาษาสากล ?โลกจะยังจำเป็นต้องใช้วิธีการสื่อสารนี้…….ความแตกต่างของภาษาพูดคือเหตุสำคัญอันหนึ่งของการไม่ชอบและไม่เชื่อใจกันระหว่างชาติทั้งหลาย ?ซึ่งทำให้แต่ละชาติแยกกันเพราะไม่เข้าใจภาษาของกันและกันมากกว่าเหตุผลอื่นใด หากทุกคนสามารถพูดภาษาเดียวกัน ย่อมง่ายกว่าเพียงใดที่จะรับใช้มนุษยชาติ!

Paris Talks p.155-6 พระอับดุลบาฮา

เช่นเดียวกันกับกิจกรรมด้านอื่นๆ ที่ได้รับอิทธิพลจากการเปิดเผยพระธรรมของพระบาฮาอุลลาห์ ?ประชาชาติทั้งหลายไม่ว่าจะทราบหรือไม่ทราบ จะยอมรับหรือไม่ยอมรับศาสนาของพระองค์ ต่างเห็นความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ที่คนแต่ละชาติจะสื่อสารกันได้ ?ความมากมายหลากหลายของภาษานั้นเป็นภาระที่คนเราจะต้องเรียนรู้ และเป็นการดีกว่าหากทุกชาติใช้ภาษาสากลร่วมกันเพียงภาษาเดียว ถึงแม้ยังตกลงกันไม่ได้อย่างเป็นทางการว่าจะใช้ภาษาใดเป็นภาษาสากลจนกว่าจะดำเนินการตามขั้นตอนที่พระบาฮาอุลลาห์ระบุไว้ ?และธรรมลิขิตบาไฮก็มิได้เจาะจงให้ภาษาใดเป็นภาษาสากล แต่ในปัจจุบันมีแนวโน้มให้เห็นว่า ภาษาอังกฤษน่าจะกลายเป็นภาษาสากลมากที่สุด หากทุกชาติเรียนเพียงสองภาษาคือภาษาแม่กับภาษาอังกฤษ ทุกคนในโลกก็จะพูดคุยและสื่อสารกันได้โดยใช้ภาษาอังกฤษ

ความเป็นสากลของภาษาอังกฤษมีให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน ?ที่เป็นรูปธรรมแรกสุดดูเหมือนจะเป็นวงการสายการบิน สายการบินของทุกประเทศทั่วโลกได้มีข้อตกลงกันว่าจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลาง ?กล่าวคือทุกสายการบินรวมทั้งสายการบินของประเทศมุสลิม จะใช้เพียงสองภาษา คือภาษาท้องถิ่นและภาษาอังกฤษ โลกอิสลามที่แต่ก่อนไม่ให้ราคาภาษาอื่นนอกจากภาษาอาหรับเพราะเป็นภาษาของคัมภีร์กุรอ่าน ?และบางครั้งถึงกับรังเกียจภาษาต่างชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาของชาวตะวันตก มาบัดนี้ก็ไม่สามารถต้านสัจธรรมของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปและโน้มเอียงเข้ามาปฏิบัติตามบทบัญญัติที่พระบาฮาอุลลาห์ลิขิตไว้ ?ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม นอกจากการใช้ภาษาอังกฤษในสายการบินของประเทศมุสลิมแล้ว ที่เห็นได้เด่นชัดที่สุดต่อมาล่าสุดคือ การก่อตั้งสถานีโทรทัศน์อัลจาซีร่าของโลกมุสลิมซึ่งเผยแพร่ภาพไปทั่วโลกและถ่ายทอดเสียงเป็นภาษาอังกฤษ

หน่วยเงินตรา ?หน่วยน้ำหนัก และหน่วยการวัดเดียวกัน

อักษรและวรรณกรรมแห่งโลก ?หน่วยเงินตรา หน่วยน้ำหนัก ?และหน่วยการวัดเดียวกันอย่างเป็นสากล ?จะทำให้ง่ายและสะดวกสำหรับการสื่อสารและเข้าใจกันในหมู่ชาติและเชื้อชาติต่างๆ

The World Order of Baha?u?llah p.203 ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ

นอกจากบัญญัติให้ประชาชาติทั้งปวงในโลกใช้ภาษาสากลเดียวกันแล้ว หลักธรรมของศาสนาบาไฮยังให้ใช้หน่วยเงินตรา หน่วยน้ำหนัก และหน่วยการวัดเดียวกัน เช่น ประชาชาติทั้งหลายต้องตกลงกันว่าจะวัดระยะทางเป็นกิโลเมตรหรือไมล์ ?จะใช้หน่วยน้ำหนักเป็นกิโลกรัมหรือปอนด์ ฯลฯ แล้วใช้หน่วยการวัดนี้ให้เหมือนกันทั่วโลกแทนการใช้หน่วยการวัดต่างๆ ที่หลากหลายของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยเงินตราเดียวกันจะตัดปัญหาการเก็งกำไรค่าเงิน และความยุ่งยากในการแลกเปลี่ยนเงินตราเวลาทำธุรกรรมหรือเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งโลกของเรากำลังขยับเข้ามาหาแนวทางนี้โดยเห็นได้จากการที่หลายประเทศในยุโรปได้ปรับหน่วยเงินตราของตนให้เป็นหนึ่งเดียวกันคือเงินยูโร ?และมีแนวโน้มให้เห็นว่าประเทศกลุ่มอื่นๆ จะเอาอย่างบ้าง ซึ่งเห็นได้ไม่ยากว่าแนวโน้มนี้จะนำไปสู่การใช้หน่วยเงินตราเดียวกันทั้งโลกในที่สุด

ศาลโลก

ถึงแม้จะมีศาลโลกแล้วซึ่งนับเป็นความสำเร็จอีกก้าวหนึ่งของมนุษยชาติที่มุ่งไปสู่ระบบโลกใหม่ ?แต่ก็ยังมีหนทางอีกยาวไกลที่จะก้าวต่อไป เพราะวิธีการก่อตั้งและกลไกการทำงานของศาลโลกยังบกพร่องและไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอจากนานาชาติ จึงไม่สามารถแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ?เนื่องด้วยประเทศคู่กรณีอาจไม่เต็มใจยอมรับคำตัดสินของศาลโลกเพราะคิดว่าเป็นคำตัดสินที่ไม่ยุติธรรมหรือด้วยเหตุผลอื่นใดก็ตาม และสามารถบิดพลิ้วไม่ปฏิบัติตามคำตัดสินนั้นได้ ทำให้ปัญหาระหว่างประเทศไม่ยุติและอาจลุกลามออกไปเป็นสงคราม ศาลโลกที่เป็นอยู่จึงจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติมากกว่าเดิมและพัฒนาต่อไปให้มีความสมบูรณ์ขึ้น ?และจะสมบูรณ์ได้เร็วยิ่งขึ้นหากพัฒนาตามวิสัยทัศน์ของพระบาฮาอุลลาห์ เพื่อว่าศาลโลกจะปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพตามวัตถุประสงค์ กล่าวคือ แก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างประเทศและป้องกันสงคราม พระอับดุลบาฮาได้แจกแจงวิธีการและขั้นตอนของการก่อตั้งศาลสูงสุดหรือศาลโลกตามวิสัยทัศน์ของพระบาฮาอุลลาห์ ซึ่งขึ้นกับว่าประชาชาติทั้งหลายจะร่วมมือกันสถาปนาศาลโลกตามที่พระอับดุลบาฮาแนะนำไว้ได้เมื่อไหร่ ?เมื่อถึงเวลานั้นศาลโลกจึงจะสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพพอที่จะทำหน้าที่ได้ดังหมาย

พระบาฮาอุลลาห์ทรงกล่าวว่าต้องมีการสถาปนาศาลสูงสุด ?แม้ว่าองค์การสันนิบาตชาติจะเกิดขึ้นมา กระนั้นก็ไม่สถาปนาสันติภาพสากล ?แต่ศาลสูงสุดที่พระบาฮาอุลลาห์พรรณนาไว้จะทำหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ดังหมายด้วยอำนาจและอานุภาพ ?และแผนของพระองค์คือ สภาระดับชาติของแต่ละประเทศกล่าวคือรัฐสภา ควรเลือกบุคคลสองหรือสามคนที่ดีที่สุดของประเทศของตน ?ผู้ซึ่งทราบดีเกี่ยวกับกฎหมายระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์ต่างๆ ระหว่างรัฐบาล และความจำเป็นของมนุษยชาติในโลกยุคนี้ จำนวนผู้แทนเหล่านี้ควรเป็นสัดส่วนกับจำนวนประชาชนที่อาศัยอยู่ในประเทศนั้นๆ ?บุคคลเหล่านี้ที่ได้รับเลือกโดยสภาแห่งชาติกล่าวคือรัฐสภา ต้องได้รับการรับรองโดยสภาสูง สภาคองเกรส คณะรัฐมนตรี และเช่นกันโดยประธานาธิบดีหรือกษัตริย์ ดังนั้นบุคคลเหล่านี้จะเป็นผู้ที่ได้รับเลือกตั้งมาจากประชาชนทั้งชาติและรัฐบาล ?ศาลสูงสุดจะประกอบด้วยบุคคลเหล่านี้ และดังนี้มวลมนุษยชาติจะมีส่วนร่วมในศาลนี้ เพราะผู้แทนเหล่านี้ทุกคนคือตัวแทนจากประเทศของตน เมื่อศาลสูงสุดตัดสินปัญหาระหว่างประเทศไม่ว่าโดยเสียงเอกฉันท์หรือเสียงส่วนใหญ่ จะไม่มีข้ออ้างใดสำหรับโจทย์หรือเหตุผลใดสำหรับให้จำเลยคัดค้านอีกต่อไป ?ในกรณีที่รัฐบาลหรือชาติใดละเลยหรือถ่วงเวลาการดำเนินการตามคำตัดสินที่แย้งไม่ได้ของศาลสูงสุด ชาติที่เหลือทั้งหมดจะลุกขึ้นต่อต้านเขา เพราะว่าทุกชาติและรัฐบาลของโลกคือผู้สนับสนุนศาลโลกนี้ จงพิจารณาดูว่ารากฐานนี้มั่นคงเพียงใด! แต่โดยองค์การสันนิบาตชาติที่มีข้อจำกัด จุดประสงค์จะไม่บรรลุตามที่ควรจะเป็น ?นี้คือความจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ที่กล่าวไว้

Selections from the Writings of Abdu?l-Baha p.306-7 พระอับดุลบาฮา

(คัดจากธรรมลิขิตของพระอับดุลบาฮา ลงวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1919 ที่เขียนตอบจดหมายจาก

The ???Executive Committee of the Central Organization for a Durable Peace, The Hague)

หลักการของสวัสดิภาพร่วมกัน

ดูกร ?กษัตริย์ทั้งหลายของโลก ?จงสามัคคีกัน เพราะความสามัคคีนั้นจะทำให้พายุแห่งความร้าวฉานในหมู่พวกเจ้าสงบลง ?และประชาชนของเจ้าจะได้พักผ่อน หากเจ้าเป็นพวกที่เข้าใจ หากคนใดในหมู่พวกเจ้าใช้อาวุธเข้ารุกรานผู้อื่น ?พวกเจ้าทั้งหมดจงลุกขึ้นต่อต้านเขา เพราะนี่มิใช่อื่นใดแต่คือความยุติธรรมอันชัดแจ้ง

The Summons of the Lord of Hosts p.254 พระบาฮาอุลลาห์

วจนะข้างบนนี้ที่พระบาฮาอุลลาห์ลิขิตไว้ในธรรมจารึกถึงพระราชินีวิคตอเรียกว่าร้อยปีที่แล้ว ?บ่งบอกว่าแม้ศาสนาบาไฮไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรง แต่ก็มิได้ยึดถือแนวทางอหิงสาเสียทีเดียว โดยเปิดช่องไว้ให้มีการใช้กำลังได้ภายใต้เงื่อนไขที่ยุติธรรมดังที่กล่าวไว้ข้างบนนี้ ?เพื่อรับประกันสวัสดิภาพร่วมกัน ที่น่าสนใจกว่านั้นคือแม้ว่ามนุษยชาติและผู้นำหรือประมุขส่วนใหญ่ในโลกจะยังไม่ทราบหลักการนี้ แต่พวกเขาก็ได้ปฏิบัติตามบัญชานี้ของพระองค์ ?หากคนใดในหมู่พวกเจ้าใช้อาวุธเข้ารุกรานผู้อื่น ?พวกเจ้าทั้งหมดจงลุกขึ้นต่อต้านเขา? โดยไม่ตั้งใจและไม่รู้ตัว เมื่อครั้งที่อิรักใช้กำลังทหารบุกเข้ายึดครองคูเวตในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1990 ซึ่งทุกประเทศในโลกได้ลงมติเป็นเอกฉันท์เป็นครั้งแรกในที่ประชุมขององค์การสหประชาชาติให้อิรักถอนทหารออกจากคูเวต ?และในที่สุดเมื่ออิรักดื้อดึงจึงได้ใช้กองกำลังทหารนานาชาติเข้าโจมตีกองทัพของอิรักจนพ่ายแพ้และต้องถอยออกมา ชาติที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันมติครั้งนี้ขององค์การสหประชาชาติ และเป็นผู้นำปฏิบัติการทหารของกองกำลังนานาชาติในการเข้าโจมตีกองทหารอิรักที่ยึดครองคูเวตคืออเมริกา ?ซึ่งนับได้ว่าน่าพิศวงยิ่งเมื่อเราย้อยกลับไปดูวจนะของพระบาฮาอุลลาห์ที่ตรัสต่อบรรดาผู้ปกครองอเมริกาและประธานาธิบดีของสาธารณรัฐทั้งหลายของอเมริกากว่าหนึ่งร้อยปีที่แล้วว่า

จงพันผ้าให้ผู้บาดเจ็บด้วยมือแห่งความยุติธรรม ?และบดขยี้ผู้กดขี่ที่เติบใหญ่ด้วยคทาแห่งบัญชาของพระผู้เป็นนายของเจ้า ?พระผู้ทรงบัญญัติ พระผู้ทรงอัจฉริยภาพ

Kitab-i-Aqdas no.88 พระบาฮาอุลลาห์

อำนาจอธิปไตยของแต่ละชาติรวมถึงสิทธิในการประกาศสงครามกับชาติอื่น ?จึงจำเป็นต้องลดทอนและจำกัดอำนาจอธิปไตยส่วนนี้ไว้ในขอบเขต ให้อยู่ภายใต้สถาบันที่สูงกว่าที่อยู่เหนือขึ้นไปในระดับนานาชาติที่มีอำนาจเพียงพอที่จะรับประกันสวัสดิภาพร่วมกันของทุกชาติ ?ตามที่พระบาฮาอุลลาห์ทรงให้หลักการไว้ในวจนะที่ตรัสต่อกษัตริย์ทั้งหลายในโลก ซึ่งพระองค์ทรงบัญชาให้พวกเขาสามัคคีกัน และร่วมมือกันลุกขึ้นต่อต้านผู้ที่ใช้อาวุธรุกรานผู้อื่น ท่านโชกิ ?เอฟเฟนดิ ได้ขยายความวจนะเหล่านี้ของพระบาฮาอุลลาห์ไว้ว่า

วจนะที่มีน้ำหนักเหล่านี้จะมีความหมายเป็นอื่นใดได้หากมิได้หมายถึงการลดทอนอำนาจอธิปไตยของชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ?ซึ่งเป็นขั้นแรกที่ขาดมิได้สำหรับการสถาปนาสหพันธรัฐของทุกชาติในอนาคต รูปแบบหนึ่งของอภิรัฐแห่งโลกจำเป็นต้องก่อร่างขึ้นมา ?ซึ่งเพื่อเห็นแก่อภิรัฐนี้ ชาติทั้งปวงจะเต็มใจสละสิทธิทุกอย่างที่จะทำสงคราม สิทธิบางอย่างในการเก็บภาษี และสิทธิทุกอย่างที่จะมีอาวุธยุทธภัณฑ์ไว้นอกจากเพื่อค้ำจุนระเบียบภายในอาณาจักรของตน ?ภายในวงอำนาจนี้จะต้องมีคณะบริหารนานาชาติที่สามารถใช้อำนาจสูงสุดและท้าทายไม่ได้กับทุกประเทศสมาชิกที่ดื้อดึง มีรัฐสภาแห่งโลกซึ่งสมาชิกของรัฐสภานี้จะมาจากแต่ละประเทศโดยการเลือกตั้งของประชาชนในประเทศนั้นๆ ?และผลการเลือกตั้งนี้จะได้รับการรับรองโดยรัฐบาลของแต่ละประเทศ มีศาลสูงสุดซึ่งการพิพากษาของศาลนี้จะผูกมัดแม้แต่ในกรณีที่คู่ความมิได้สมัครใจเสนอเรื่องให้พิจารณา

ในประชาคมโลกในอนาคต ?กำแพงเศรษฐกิจจะถูกทลายลงอย่างถาวร ?การพึ่งพาอาศัยกันระหว่างเงินทุนและแรงงานจะเป็นที่ยอมรับแน่นอน ?เสียงโห่ร้องของความบ้าคลั่งและความขัดแย้งทางศาสนาจะเงียบสงบตลอดไป ?เปลวไฟแห่งความเป็นปรปักษ์ทางเชื้อชาติจะดับลงในที่สุด ประมวลกฎหมายระหว่างประเทศฉบับเดียวกัน ?ซึ่งเป็นผลมาจากการพิจารณาอย่างรอบคอบโดยผู้แทนทั้งหลายของสหพันธรัฐแห่งโลก จะนำมาบังคับใช้ได้อย่างทันใดโดยอาศัยกองกำลังร่วมของประเทศสมาชิก ?และในที่สุดความคลั่งชาติที่เดือดดาลของประชาคมโลก จะถูกเปลี่ยนเป็นความสำนึกที่ยั่งยืนในความเป็นพลเมืองของโลก ดังกล่าวนี้คือลักษณะคร่าวๆ ของระบบที่พระบาฮาอุลลาห์คาดการณ์ไว้ ?เป็นระบบที่จะได้รับการพิจารณาว่าเป็นผลที่งดงามที่สุดของยุคที่กำลังบรรลุวุฒิภาวะ

The World Order of Baha?u?llah p.40-1 ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ

การก่อตั้งองค์การสันนิบาตชาติและต่อมาองค์การสหประชาชาติที่มีฐานสมาชิกกว้างกว่า ?แสดงให้เห็นความพยายามของมนุษยชาติที่มุ่งสู่ระบบโลกใหม่ตามที่อำนาจสวรรค์ผลักดันไป ?ซึ่งจำเป็นจะต้องมีการจัดตั้งสถาบันนานาชาติที่อยู่เหนือชาติทั้งหลายสำหรับจัดการปัญหาต่างๆ ระหว่างประเทศ ?โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาสงคราม กระนั้นก็ตามองค์การสหประชาชาติยังบกพร่องเกินกว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์นี้ได้ และสงครามมากมายยังดำเนินต่อไปในหลายๆ ส่วนของโลก ?ที่เป็นเช่นนี้เพราะแต่ละชาติยังหวงแหนและไม่ยอมสละอธิปไตยบางส่วนของตนให้กับองค์การสหประชาชาติ จึงมีการบิดพลิ้วไม่ปฏิบัติตามปฏิญญา อนุสัญญา หรือมติบางอย่างขององค์การสหประชาชาติอย่างจริงจัง ?ดูเหมือนว่ามนุษยชาติยังต้องผ่านประสบการณ์ความทุกข์ทรมานต่อไป ก่อนที่จะยอมลดทอนอธิปไตยของตน เพื่อให้อภิรัฐแห่งโลกดัง กล่าวก่อร่างขึ้นมาได้ ซึ่งจะรับประกันสวัสดิภาพร่วมกันของทุกชาติ

การลดอาวุธ

การตระเตรียมเครื่องมือสำหรับการต่อสู้หากดำเนินต่อไปในอัตราปัจจุบัน ?จะไปถึงจุดที่สงครามกลายเป็นสิ่งที่มนุษยชาติทนไม่ได้อีกต่อไป

The Secrets of Divine Civilization p.67 พระอับดุลบาฮา

สิ่งที่พระอับดุลบาฮาลิขิตไว้ข้างบนนี้ถึงบรรดาผู้ปกครองและประชาชนชาวเปอร์เซียกว่าร้อยปีที่แล้ว ?เป็นความจริงที่เห็นได้ชัดเจนมากขึ้นทุกวันในสถานการณ์ของโลกในปัจจุบัน สงครามโลกครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สองดูเหมือนจะเป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวดยังไม่เพียงพอ ?เพราะชาติต่างๆ ยังคงสะสมอาวุธที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นและปริมาณมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อจะเอาออกมาใช้ในยามที่ตกลงข้อขัดแย้งกันไม่ได้ ซึ่งเป็นที่น่าห่วงใยสำหรับหลายๆ ชาติ ?จึงเห็นได้ว่ามีความพยายามหลายครั้งในการเจรจาให้มีการลดอาวุธ แต่ความพยายามเจรจากันดังกล่าวมักเพ่งเล็งเฉพาะบางชาติที่ดูเหมือนจะสะสมหรือพัฒนาอาวุธจนเป็นที่น่าหวั่นกลัว ?หรือเฉพาะชาติที่เป็นคู่กรณีขัดแย้งกัน ซึ่งตามที่พระอับดุลบาฮาแนะนำไว้เมื่อคราวที่พระองค์ไปเยือนโลกตะวันตก จะไม่ประสบความสำเร็จเพียงพอที่จะรับประกันสวัสดิภาพของโลกได้ ?การลดอาวุธจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อทำพร้อมกันทุกประเทศทั่วโลก ไม่ใช่เจาะจงกันเพียงไม่กี่ประเทศที่ดูน่ากลัวว่าจะเป็นปัญหาคุกคามเสถียรภาพของโลกหรือภูมิภาค พระอับดุลบาฮาทรงแนะนำไว้ว่า

เกี่ยวกับปัญหาการลดอาวุธ ?ทุกชาติต้องลดอาวุธในเวลาเดียวกัน ?ไม่เหมาะสมที่จะเสนอให้บางชาติลดอาวุธ ?ในขณะที่ชาติอื่นๆ และชาติเพื่อนบ้านยังมีอาวุธ ?สันติภาพของโลกต้องบังเกิดขึ้นโดยการตกลงระหว่างนานาชาติ ?ทุกชาติต้องลดอาวุธพร้อมกัน…..ไม่มีชาติใดสามารถปฏิบัติตามนโยบายสันติภาพหากชาติเพื่อนบ้านยังกระหายสงคราม……ไม่ยุติธรรมที่จะทำเช่นนั้น ?ไม่มีใครคิดฝันให้แนะนำว่าสันติภาพของโลกจะบังเกิดได้โดยแนวทางปฏิบัติเช่นนี้ สันติภาพจะบังเกิดขึ้นโดยข้อตกลงการลดอาวุธอย่างเบ็ดเสร็จระหว่างนานาชาติ ?และไม่มีหนทางอื่น……

การปฏิบัติพร้อมกันเป็นสิ่งจำเป็นไม่ว่าในแผนใดของการลดอาวุธ ?ทุกรัฐบาลในโลกต้องเปลี่ยนเรือรบและเครื่องบินรบเป็นพาหนะเพื่อการพาณิชย์ ?แต่ไม่มีชาติใดสามารถเริ่มนโยบายดังกล่าวได้ และเป็นความเบาปัญญาหากมหาอำนาจใดพยายามทำเช่นนั้น……นั่นย่อมเป็นการเชิญการทำลาย……

ชาติทั้งหลายจะถูกบีบบังคับให้มาสู่สันติภาพ ?และตกลงล้มเลิกสงคราม ภาระของภาษีสงครามจะหนักเกินกว่ามนุษย์จะทนได้……การลดอาวุธจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ?แต่จะเกิดขึ้นโดยการยินยอมอย่างเป็นสากลของชาติต่างๆ ที่มีอารยธรรม โดยการตกลงกันระหว่างนานาชาติ ชาติต่างๆ จะวางอาวุธและจะเป็นการเริ่มต้นยุคที่ยิ่งใหญ่แห่งสันติภาพ ?ด้วยหนทางนี้เท่านั้นและไม่มีหนทางอื่นที่จะสถาปนาสันติภาพบนโลกได้….

เมื่อรัฐสภาของมนุษย์ได้รับการสถาปนาและองค์ประกอบของรัฐสภาได้รับการจัดตั้ง ?รัฐบาลทั้งหลายของโลกที่รับรองปฏิญญาแห่งมิตรภาพนิรันดร์ จะไม่จำเป็นต้องมีกองทหารหรือกองทัพเรือขนาดใหญ่ ??เท่าที่จำเป็นคือกองทหารไม่กี่กองสำหรับการรักษาระเบียบภายใน และตำรวจนานาชาติสำหรับการดูแลเส้นทางเดินเรือ เมื่อนั้นเงินจำนวนมหาศาลจะถูกนำไปใช้อย่างอื่นที่มีประโยชน์กว่า ?ยาจกจะหมดไป ความรู้จะเพิ่มขึ้น……เมื่อนั้นผู้ปกครองทั้งหลายจะได้อุทิศเวลาเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของชาติของตน ออกกฎหมายที่ยุติธรรมและสมเหตุผล ทำนุบำรุงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดฉันท์มิตรกับเพื่อนบ้าน……

โดยข้อตกลงทั่วไป ?รัฐบาลทั้งหมดของโลกต้องลดอาวุธพร้อมกัน……ไม่เหมาะสมหากรัฐบาลหนึ่งวางอาวุธแต่อีกรัฐบาลหนึ่งปฏิเสธที่จะทำ ?ชาติทั้งหลายต้องเห็นพ้องกันเกี่ยวกับเรื่องที่สำคัญที่สุดนี้ ดังนี้พวกเขาจะละทิ้งอาวุธสังหาร ตราบใดที่ชาติหนึ่งเพิ่มงบประมาณทหารและกองทัพเรือ ?อีกชาติหนึ่งจำต้องเพิ่มงบแข่งกันอย่างบ้าคลั่ง……

……อุดมคติของสันติภาพต้องนำมาปลูกฝังและแพร่กระจายออกไปในหมู่ผู้อาศัยอยู่ในโลก ?ต้องนำมาสอนในโรงเรียนแห่งสันติภาพและความชั่วร้ายของสงคราม ประการแรก นักการเงินและนายธนาคารต้องไม่ปล่อยเงินกู้ให้กับรัฐบาลใดก็ตามที่คิดจะทำสงครามที่ไม่ชอบธรรมกับชาติที่ไม่มีความผิด ?ประการที่สอง ผู้ว่าการรถไฟและบริษัทเรือกลไฟต้องไม่ขนส่งกระสุนปืน เครื่องยนต์ทำลายล้าง ปืนใหญ่และดินปืน จากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง ประการที่สาม เหล่าทหารต้องยื่นคำร้องฝากตัวแทนไปถึงรัฐมนตรีสงครามทั้งหลาย ?นักการเมือง สมาชิกสภาคองเกรซ และนายพลทั้งหลาย ขอให้แสดงเหตุผลและสาเหตุที่ชัดเจนด้วยภาษาที่เข้าใจได้ ที่พาพวกเขาเข้าไปสู่ความหายนะของชาติดังกล่าว ทหารต้องเรียกร้องสิ่งนี้เป็นสิทธิของตน พวกเขาต้องกล่าวว่า ?จงสาธิตต่อพวกเราว่านี้คือสงครามที่ชอบธรรม ?เราจึงจะไปสู่สนามรบ มิฉะนั้นเราจะไม่ขยับแม้แต่ก้าวเดียว……จงออกมาจากที่ซ่อนของท่าน และเข้ามาสู่สนามรบหากท่านชอบโจมตีและฉีกกันและกันออกเป็นชิ้น หากท่านต้องการพิพาทกัน ความร้าวฉานและการทะเลาะวิวาทกันเป็นเรื่องระหว่างพวกท่าน ทำไมจึงให้เรามาเกี่ยวข้องด้วย ?หากการต่อสู้และหลั่งเลือดกันเป็นสิ่งที่ดี เช่นนั้นจงพาเราไปต่อสู้โดยมีท่านอยู่ด้วย!

Peace, Compilation p.40-44 พระอับดุลบาฮา

สันติภาพของโลก

ดูกร ?บรรดาผู้แทนที่ได้รับเลือกตั้งของประชาชนในทุกดินแดน!…….จงพิจารณาโลกเป็นประดุจร่างกายมนุษย์ซึ่งแม้ว่าถูกสร้างขึ้นมาครบถ้วนสมบูรณ์ ?ก็ถูกรุมเร้าด้วยโรคร้ายแรงจากสาเหตุต่างๆ ไม่มีสักวันเดียวที่โลกได้ผ่อนคลาย ไม่เพียงเท่านั้น ความเจ็บป่วยของโลกยิ่งทรุดหนักเพราะอยู่ภายใต้การรักษาของแพทย์ผู้ไร้วิชาทั้งหลาย ?ผู้ถูกกิเลสพาไปและทำผิดพลาดอย่างร้ายแรง และหากเวลาใดอวัยวะหนึ่งของร่างกายได้รับการรักษาจนหายโดยการดูแลของแพทย์ที่สามารถ ร่างกายส่วนที่เหลือยังคงเจ็บป่วยอยู่เหมือนเดิม ดังนี้พระผู้ทรงรอบรู้ ?พระผู้ทรงอัจฉริยภาพ ขอแจ้งให้เจ้าทราบ

เราเห็นโลกปัจจุบันขึ้นอยู่กับความปรานีของผู้ปกครองทั้งหลายที่มัวเมาด้วยความทะนง ?จนพวกเขาไม่สามารถเห็นประโยชน์ที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง และนับประสาอะไรที่จะยอมรับศาสนาที่ฉงนปัญญาและท้าทายเช่นนี้ ?และเมื่อใดที่หนึ่งในพวกเขาพยายามจะปรับปรุงสภาพของโลก แรงจูงใจของเขาก็คือเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ ?และแรงจูงใจที่ไม่คู่ควรนี้ได้จำกัดความสามารถของพวกเขาในการรักษา

สิ่งที่พระผู้เป็นนายบัญญัติไว้เป็นการเยียวยาสูงสุดและเครื่องมือที่ทรงอำนาจที่สุดสำหรับการรักษาโลกทั้งหมดคือ ?การประสานสามัคคีประชาชนทั้งหมดของโลกในความมุ่งหมายสากลและศาสนาเดียวกัน สิ่งนี้สัมฤทธิผลไม่ได้เว้นแต่โดยอานุภาพของแพทย์ผู้ชำนาญผู้ทรงพลานุภาพและได้รับการดลใจ ?แท้จริงแล้วนี้คือสัจธรรม และนอกเหนือจากนี้ล้วนเป็นความผิดพลาด

Gleanings from the Writings of Baha?u?llah p.254-5 พระบาฮาอุลลาห์ ?

โลกเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงต่างๆ มานานทั้งด้านการเมือง ?เศรษฐกิจ สังคม อคติทางเชื้อชาติ ศาสนา ชนชั้น ฯลฯ พระบาฮาอุลลาห์ได้เสด็จมาวินิจฉัยความเจ็บป่วยเหล่านี้และทรงสั่งการรักษา ?อนิจจามนุษยชาติหาได้เห็นคุณค่าของการรักษาจากนายแพทย์สวรรค์ ซึ่งเป็นการรักษาเดียวเท่านั้นที่จะสัมฤทธิผล และยังคงพึ่งแพทย์ที่ไร้วิชาทั้งหลายที่อาสากันเข้ามาเยียวยา ?แต่เยียวยากันอย่างผิดพลาด ทำให้อาการเจ็บป่วยของโลกกลับทรุดหนักลงทุกที ปัญหาต่างๆ ในโลกในขณะนี้หนักหนากว่าเมื่อทศวรรษก่อนๆ และหนักขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งไม่มีแนวโน้มให้เห็นเลยว่าจะบรรเทาเบาบางลง ?เช่นนั้นแล้วมนุษยชาติจะไม่ลองหันมารับการเยียวยาจากพระศาสดาที่ประกาศตนเป็นนายแพทย์สวรรค์สำหรับมนุษยชาติในยุคนี้หรือ? ในเมื่อวิธีการรักษาอื่นหรือแนวทางแก้ปัญหาอื่นไม่ว่าจะคิดขึ้นมาอย่างชาญฉลาดและรอบคอบเพียงไรช่วยได้แค่เพียงบรรเทาอาการ ?แม้ว่ามนุษยชาติจะผ่านประสบการณ์ที่เจ็บปวดของสงครามโลกมาแล้วถึงสองครั้ง นั่นยังไม่เพียงพอ แม้ว่ารัฐบาลของหลายๆ ชาติได้รวมตัวกันจัดตั้งองค์การสหประชาชาติเพื่อยับยั้งหรือป้องกันสงคราม และภายใต้องค์การนี้มีการเจรจาและเซ็นสนธิสัญญาสันติภาพต่างๆ ระหว่างชาติทั้งหลาย ?นั่นยังไม่สัมฤทธิผล เพราะเห็นได้ว่าสงครามยังทวีจำนวนและความรุนแรงขึ้นทั่วโลก

ดังที่กล่าวไว้แล้ว ?หากยังลดอาวุธไม่สำเร็จ ?มนุษยชาติจะไม่สามารถสถาปนาสันติภาพได้ ?การลดอาวุธจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อทุกชาติทั่วโลกลดอาวุธพร้อมกัน ?ไม่ใช่เจาะจงเฉพาะบางชาติที่กำลังขัดแย้งหรือเป็นปรปักษ์กัน หรือชาติที่สะสมอาวุธร้ายแรงไว้มาก ?ให้มาเจรจาตกลงลดอาวุธกันเป็นรายๆ ซึ่งที่ผ่านมาเห็นแล้วว่าไม่ได้ผลเพียงพอที่จะลดภัยที่กำลังคุกคามเสถียรภาพของโลกได้ ??เพราะหลายๆ ชาติกลับสะสมอาวุธยุทธภัณฑ์มากขึ้นและร้ายแรงขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นที่ทราบหรือพยายามปิดบังไว้ก็ตาม ดังนั้นการจะลดอาวุธพร้อมกันทุกประเทศทั่วโลกให้สำเร็จได้ ?จะต้องมีการจัดชุมนุมให้ผู้ปกครองและกษัตริย์ทั้งหลายจากทุกประเทศมาร่วมประชุมพร้อมกันเพื่อการนี้ ซึ่งพระบาฮาอุลลาห์ทรงลิขิตสั่งการรักษาไว้ว่า

เวลานั้นต้องมาถึง ?คือเวลาที่ทั่วโลกจะตระหนักถึงความจำเป็นอย่างยิ่งในการจัดการชุมนุมอย่างไพศาลและทั่วถึง ?ผู้ปกครองและกษัตริย์ทั้งหลายบนพิภพจำเป็นต้องเข้าร่วมการชุมนุมนี้ แล้วปรึกษาหารือกัน และต้องพิจารณาหนทางและวิธีการที่จะวางรากฐานของสันติภาพอันยิ่งใหญ่ของโลก ?สันติภาพดังกล่าวเรียกร้องให้บรรดามหาอำนาจมุ่งมั่นปรองดองกันอย่างไพบูลย์ เพื่อเห็นแก่ความสงบของประชาชนบนโลก หากกษัตริย์องค์ใดใช้อาวุธรุกรานอีกฝ่ายหนึ่ง ทุกคนต้องสามัคคีกันลุกขึ้นขัดขวางเขา ?หากทำได้ดังนี้ ชาติทั้งหลายของโลกจะไม่จำเป็นต้องมีอาวุธยุทธภัณฑ์อีกต่อไป นอกจากมีไว้เพื่อรักษาความปลอดภัยในอาณาจักรและค้ำจุนระเบียบภายในดินแดนของตน สิ่งนี้จะรับประกันสันติภาพและความสงบของประชาชน ?รัฐบาลและชาติทั้งปวง

Tablets of Baha?u?llah p.165 พระบาฮาอุลลาห์

เกี่ยวกับการชุมนุมของผู้ปกครองและกษัตริย์ทั้งหลายของโลกเพื่อการสถาปนาสันติภาพตามที่พระบาฮาอุลลาห์ลิขิตไว้ข้างบนนี้ ?พระอับดุลบาฮาทรงเสนอทัศนะเป็นการชี้แนะ ซึ่งคำชี้แนะของพระองค์กล่าวถึงการลดอาวุธไว้ด้วยดังนี้

อารยธรรมที่แท้จริงจะคลี่ธงออกมาในใจกลางสุดของโลกเมื่อประมุขผู้มีชื่อและจิตใจสูงจำนวนหนึ่ง ?ผู้ซึ่งเป็นแบบอย่างอันเรืองรองของความอุทิศและมุ่งมั่น ลุกขึ้นเพื่อประโยชน์และความสุขของมวลมนุษยชาติด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่และวิสัยทัศน์ที่แจ่มชัด ?เพื่อจะสถาปนาความมุ่งหมายแห่งสันติภาพสากล พวกเขาต้องนำเรื่องความมุ่งหมายแห่งสันติภาพมาเป็นวัตถุประสงค์ของการปรึกษาหารือโดยรวม และพยายามทุกวิถีทางในอำนาจของตนที่จะสถาปนาสหภาพของชาติต่างๆ ในโลก ?พวกเขาต้องทำสนธิสัญญาผูกมัดและสถาปนาปฏิญญาที่มีข้อกำหนดที่ชอบด้วยเหตุผล ละเมิดไม่ได้และแน่นอน พวกเขาต้องประกาศปฏิญญานี้ทั่วโลก และปฏิญญานี้ต้องได้รับการสนับสนุนจากมวลมนุษยชาติ ภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่สุดและประเสริฐนี้ ?ซึ่งเป็นบ่อเกิดที่แท้จริงของสันติภาพและความผาสุกของทั่วโลก ควรได้รับการพิจารณาโดยทุกคนที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ว่าเป็นภารกิจที่ศักดิ์สิทธิ์ กองกำลังทั้งหมดของมนุษยชาติต้องระดมเข้าด้วยกันเพื่อรับประกันเสถียรภาพและความถาวรของปฏิญญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนี้ ?ในสนธิสัญญาที่ครอบคลุมนี้ เขตและชายแดนของแต่ละชาติต้องกำหนดไว้อย่างชัดเจน หลักการต่างๆ ที่เป็นรากฐานของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลทั้งหลายที่มีต่อกันต้องวางไว้อย่างแน่นอน ข้อตกลงและข้อผูกมัดทั้งหมดระหว่างประเทศต้องเป็นที่รู้แน่ ทำนองเดียวกันขนาดของอาวุธยุทธภัณฑ์ของทุกรัฐบาลควรถูกจำกัดอย่างเข้มงวด ?เพราะหากยอมให้ชาติใดตระเตรียมสงครามและเพิ่มกำลังทหาร ชาติอื่นจะระแวงสงสัย หลักการมูลฐานที่เป็นรากฐานของสนธิสัญญาที่เคร่งครัดนี้จะกำหนดไว้อย่างที่ หากรัฐบาลไหนละเมิดข้อกำหนดใดในภายหลัง รัฐบาลอื่นทั้งหมดจะลุกขึ้นปราบรัฐบาลนั้นให้ยอมจำนนโดยเด็ดขาด ไม่เพียงเท่านั้น มนุษยชาติทั้งหมดจะมุ่งมั่นทำลายรัฐบาลนั้นด้วยอำนาจทุกอย่างที่มีอยู่ ?หากนำการเยียวยาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนี้มาใช้กับโลกที่เจ็บป่วย นอนใจได้ว่าโลกจะฟื้นจากความยุ่งยากและคงอยู่อย่างปลอดภัยและมั่นคงไปชั่วกาลนาน

The Secrets of Divine Civilization p.64-5 พระอับดุลบาฮา

การชุมนุมของผู้ปกครองและกษัตริย์ทั้งหลายของโลกตามที่พระบาฮาอุลลาห์ลิขิตไว้ ?เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการสถาปนาสันติภาพของโลก การชุมนุมนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัย ?ประมุขผู้มีชื่อและจิตใจสูงจำนวนหนึ่ง? ??ดังนั้นตามลิขิตสวรรค์เราควรจะได้เห็นประเทศต่างๆ มีผู้นำที่มีจิตใจสูงกว่าเดิมขึ้นมาครองอำนาจมากขึ้น ?แทนผู้ปกครองที่กดขี่และใช้ตำแหน่งหน้าที่หาผลประโยชน์ใส่ตนบนความหายนะของชาติ ซึ่งผู้ปกครองที่กดขี่เหล่านั้นจะถูกลงอาญาสวรรค์ให้ร่วงหล่นจากอำนาจไปตามที่พระบาฮาอุลลาห์ลิขิตไว้ว่า

ดูกร ?ผู้กดขี่บนพิภพ! ??จงวางมือจากการกดขี่ ??เพราะเราได้ปฏิญาณไว้ว่า ?จะไม่ให้อภัยความ อยุติธรรมของผู้ใด ?นี้คือปฏิญญาของเราที่ประกาศิตไว้ในธรรมจารึกที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ?และประทับตราด้วยตราประทับของเรา

The Hidden Words, Persian no.64 พระบาฮาอุลลาห์

ตราบใดที่ประเทศต่างๆ ยังไม่มีผู้นำที่จิตใจสูงพอ ?หรือผู้ปกครองและประมุขของประเทศต่างๆ ยังไม่เอาใจใส่คำแนะนำนี้ของพระองค์ ?และยังไม่มาชุมนุมกันดังกล่าวโดยมีวาระการประชุมตามที่พระอับดุลบาฮาระบุไว้ โลกจะมีสันติภาพที่ยั่งยืนไม่ได้ไม่ว่าจะใช้วิธีทางการทูตหรือเจรจากันอย่างอดทนยาวนานเพียงไหน ?หรือองค์การสหประชาชาติจะพากเพียรพยายามเพียงไร ซึ่งอย่างมากก็ได้แค่เพียงการสงบศึกชั่วคราว ดังที่พระบาฮาอุลลาห์ลิขิตไว้ว่า ??

ความผาสุกของมนุษยชาติ ?สันติภาพและความปลอดภัย จะไม่สามารถบรรลุได้นอกจากว่าความสามัคคีจะได้รับการสถาปนาอย่างมั่นคง ?ความสามัคคีนี้จะบรรลุไม่ได้ตราบใดที่คำแนะนำที่ปากกาของพระผู้ทรงความสูงส่งเปิดเผยไว้ยังไม่ได้รับการเอาใจใส่

Gleanings from the Writings of Baha?u?llah p.286 พระบาฮาอุลลาห์

สำหรับบาไฮศาสนิกชนเป็นที่ชัดเจนว่า ?ไฟสงครามที่ลุกลามเผาผลาญโลกอย่างร้อนแรงขึ้นทุกที ?เป็นผลมาจากการที่มนุษยชาติไม่ยอมรับการเปิดเผยพระธรรมของพระบาฮาอุลลาห์ ?และยังคงสู้รบกันต่อ ไปด้วยสาเหตุและข้ออ้างมากมายหลายประการ ที่สะท้อนให้เห็นถึงความไร้สำนึกในความเป็นอันหนึ่งเดียวกันของมนุษยชาติ ?และไม่มีใครบอกได้ว่าสงครามเหล่านี้จะจบลงได้อย่างไรและเมื่อไหร่ ดูเหมือนว่ามนุษยชาติจะไม่สามารถเบี่ยงเบนชะตาแห่งความหายนะของตนตามที่พระบาฮาอุลลาห์ลิขิตไว้ว่า ???

ดูกร ?ประชาชนทั้งหลายของโลก! ?จงรู้ไว้ด้วยว่าความหายนะที่คาดไม่ถึงกำลังติดตามเจ้าและโทษทัณฑ์อันสาหัสรอคอยเจ้าอยู่ ?อย่าคิดว่าการกระทำของเจ้าถูกลบไปจากสายตาของเรา ความงามของเราเป็นพยาน! การกระทำทั้งหมดของเจ้านั้น ?ปากกาของเราได้จารึกไว้เป็นอักขระที่ชัดเจนบนแผ่นมรกต

The Hidden Words, Persian no.63 พระบาฮาอุลลาห์

ที่น่าหวั่นใจคือ ?การสังหารผลาญชีวิตมากมายและความพินาศยับเยินของโลกจะดำเนินต่อไปถึงจุดไหน ?จึงจะกระตุ้นมโนธรรมและทำให้มนุษยชาติตาสว่างได้ ผู้ปกครองและกษัตริย์ทั้งหลายของโลกจึงจะยอมมาชุมนุมกันตามที่พระบาฮาอุลลาห์แนะนำไว้ ?ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ได้สาธยายไว้เมื่อเจ็ดสิบปีที่แล้ว ซึ่งเห็นได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่าสถานการณ์ต่างๆ ของโลกกำลังเป็นไปตามนั้นอย่างไร

ความจริงแล้วโลกกำลังเคลื่อนไปตามชะตาที่ลิขิตไว้ ?สิ่งใดก็ตามที่บรรดาผู้นำแห่งการแบ่งแยกโลกอาจพูดหรือกระทำ ?การพึ่งพาอาศัยกันระหว่างประชาชาติต่างๆ เป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว ?เอกภาพของประชาชาติทั้งหลายในวงเศรษฐกิจเป็นที่เข้าใจและยอมรับในปัจจุบัน ?ความผาสุกของส่วนหนึ่งหมายถึงความผาสุกของส่วนรวม และความทุกข์ยากของส่วนหนึ่งนำความทุกข์ยากมาสู่ส่วนรวม ?ในวจนะของพระบาฮาอุลลาห์เอง การเปิดเผยพระธรรมของพระองค์ได้ ?ให้พลังขับเคลื่อนใหม่และทิศทางใหม่? สำหรับขบวนการอันไพศาลที่กำลังปฏิบัติการอยู่ในโลกปัจจุบัน ?ไฟที่จุดขึ้นโดยความทุกข์ทรมานครั้งยิ่งใหญ่นี้ เป็นผลมาจากความล้มเหลวของมนุษย์ที่ไม่ยอมรับการเปิดเผยพระธรรมครั้งนี้ ยิ่งไปกว่านั้นไฟเหล่านี้กำลังเผาผลาญอย่างร้อนแรง ?ความยุ่งยากอันยาวนานที่ทรมานทั่วโลกซึ่งมากับความโกลาหลและการทำลายล้างทุกแห่งหน จำเป็นต้องเขย่าชาติทั้งหลาย กระตุ้นมโนธรรมของโลก เปิดตามวลชน กระตุ้นการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของสังคมอย่างถึงราก ?และท้ายที่สุดเชื่อมแขนขาของมนุษยชาติที่ข้อหลุดและตกเลือด ให้เป็นร่างกายเดียวที่ประสานเข้าด้วยกันอย่างแบ่งแยกไม่ได้

ในจดหมายฉบับก่อนๆ เราได้พาดพิงถึงลักษณะทั่วไป ?ลักษณะเด่นและนัยของสหพันธรัฐแห่งโลกนี้ ที่ถูกกำหนดในไม่ช้าก็เร็วให้ปรากฏขึ้นมาจากการสังหารผลาญชีวิตมากมาย ?จากความเจ็บปวด และความพินาศยับเยินของโลกที่โกลาหลครั้งใหญ่นี้ เพียงพอที่จะกล่าวได้ว่าความหายนะนี้จะดำเนินไปทีละน้อยจนถึงขีดสุด ?และจะนำไปสู่การสถาปนาสันติภาพรองตามที่พระบาฮาอุลลาห์คาดการณ์ไว้ ?โดยที่ชาติทั้งหลาย ซึ่งถึงแม้จะยังไม่ทราบเกี่ยวกับการเปิดเผยพระธรรมของพระองค์ ?ก็จะบังคับใช้หลักการทั่วไปที่พระองค์แถลงไว้โดยไม่เจตนา ขั้นตอนสำคัญที่เป็นประวัติศาสตร์นี้ซึ่งเกี่ยวพันกับการปฏิสังขรณ์มนุษยชาติ ?และเป็นผลมาจากการยอมรับความเป็นอันหนึ่งเดียวกันทั้งหมดของมนุษยชาติอย่างเป็นสากล จะตามมาด้วยการฟื้นฟูศีลธรรมของมวลชน อันเป็นผลมาจากการยอมรับลักษณะและคำกล่าวอ้างของศาสนาของพระบาฮาอุลลาห์ ?ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการหลอมทุกเชื้อชาติ ทุกความเชื่อ ทุกชนชั้น และทุกชาติเข้าด้วยกันในที่สุด และจะบ่งบอกถึงการปรากฏขึ้นมาของระบบโลกใหม่ของพระองค์

เมื่อนั้นการบรรลุวุฒิภาวะของมวลมนุษยชาติ ?จะได้รับการประกาศและเฉลิมฉลองโดยประชาชาติทั้งปวงของโลก ?เมื่อนั้นธงแห่งสันติภาพอันยิ่งใหญ่ที่สุดจะได้รับการสาวขึ้น ?เมื่อนั้นอธิปไตยที่กว้างไกลทั่วโลกของพระบาฮาอุลลาห์ ?ผู้สถาปนาอาณาจักรของพระบิดาที่ทำนายไว้โดยพระบุตร และคาดการณ์ไว้โดยศาสนทูตทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้าที่เสด็จมาก่อนและหลังพระองค์ ?จะได้รับการยอมรับ แซ่ซ้องสรรเสริญ และสถาปนาอย่างมั่นคง เมื่อนั้นอารยธรรมของโลกจะได้กำเนิด เจริญขึ้น และคงอยู่ตลอดไป ซึ่งจะเป็นอารยธรรมที่เต็มไปด้วยชีวิตอย่างที่โลกไม่เคยเห็นหรือนึกคิดมาก่อน ?เมื่อนั้นพระปฏิญญาอมตะจะบรรลุผลอย่างบริบูรณ์ ?เมื่อนั้นพันธสัญญาที่เทิดทูนอยู่ในคัมภีร์ทุกเล่มของพระผู้เป็นเจ้า ?คำทำนายทั้งหมดที่ศาสนทูตทั้งหลายในอดีตกล่าวไว้ นิมิตของผู้เห็นการณ์ไกลและกวีทั้งหลาย ?ล้วนจะบังเกิดขึ้นจริง เมื่อนั้นโลกที่ตื่นตัวด้วยความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าเดียวกันและความภักดีต่อการเปิดเผยศาสนาเดียวกัน ?จะสะท้อนความรุ่งโรจน์อันสว่างไสวของอธิปไตยของพระบาฮาอุลลาห์ที่ฉายความงดงามตระการตาในสวรรค์อับฮา และจะกลายเป็นม้ารองบาทของบัลลังก์เบื้องบนของพระองค์ ?จะได้รับการแซ่ซ้องสรรเสริญเป็นสวรรค์บนโลกที่สามารถบรรลุจุดหมายที่ยิ่งใหญ่สุดพรรณนา ที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่โบราณกาลโดยความรักและอัจฉริยภาพของพระผู้สร้าง

The Promised Day Is Come p.127-9 ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ

สงครามที่ปะทุอยู่ทั่วโลกซึ่งได้ก่อให้เกิดการสังหารผลาญชีวิตมากมายและความพินาศยับเยินของโลก ?คือปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันให้มนุษยชาติสถาปนาสันติภาพ แต่จะทำไม่ได้มากไปกว่าการสถาปนาสันติภาพรองตามที่ระบุไว้ในธรรมลิขิตบาไฮ ?ซึ่งหมายถึงการประสานสามัคคีโลกด้วยการตกลงกันด้วยวิธีทางการเมือง ?แต่จะไม่สามารถสถาปนาสันติภาพอันยิ่งใหญ่ที่สุด ?ซึ่งจะต้องอาศัยการฟื้นฟูศีลธรรมของมนุษยชาติทั่วโลกเพื่อหลอมทุกเชื้อชาติ ?ทุกความเชื่อ ทุกชนชั้น และทุกชาติเข้าด้วยกันในที่สุดในระบบโลกใหม่ของพระบาฮาอุลลาห์ ?ซึ่งเป็นพันธกิจของศาสนาบาไฮและเป็นงานของบาไฮศาสนิกชน ?ดังที่ธรรมลิขิตบาไฮอธิบายไว้ว่า

เป็นที่ชัดเจนว่าเอกภาพของมนุษยชาติและสันติภาพอันยิ่งใหญ่ที่สุดไม่สามารถสำเร็จได้โดยวิธีการทางวัตถุ ?และสถาปนาไม่ได้โดยอำนาจทางการเมือง เพราะผลประโยชน์ทางการเมืองของแต่ละชาติแตกต่างกัน ?นโยบายของประชาชนต่างกันและขัดกัน เอกภาพและสันติภาพดังกล่าวไม่สามารถก่อตั้งได้โดยความรักชาติหรือเชื้อชาติ ?เพราะเป็นอำนาจของมนุษย์ซึ่งเห็นแก่ตัวและอ่อนแอ ความขัดแย้งทางเชื้อชาติและอคติระหว่างชาติขัดขวางเอกภาพและทำให้ตกลงกันไม่ได้ ?ดังนั้นเป็นที่ประจักษ์ว่า การส่งเสริมความเป็นอันหนึ่งเดียวกันของอาณาจักรของมนุษยชาติซึ่งเป็นแก่นคำสอนของพระศาสดาทั้งหมดของพระผู้เป็นเจ้า ?เป็นไปไม่ได้นอกจากโดยอาศัยอำนาจสวรรค์และลมหายใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ อำนาจอื่น อ่อนแอเกินไปและไม่สามารถทำสำเร็จ

Peace, Compilation p.30 พระอับดุลบาฮา

ตามมโนคติของพระบาฮาอุลลาห์ ?สันติภาพอันยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งจะบังเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้โดยเป็นผลตามมาจากการฟื้นฟูศีลธรรมของโลก ?และการหลอมทุกเชื้อชาติ ทุกชนชั้นและทุกชาติเข้าด้วยกัน ไม่สามารถตั้งอยู่บนรากฐานใดหรืออภิรักษ์ไว้ได้โดยปฏิบัติการใด ?นอกจากบัญญัติทั้งหลายที่แสดงนัยไว้ในระบบโลกที่สัมพันธ์กับพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์……..

การเปิดเผยพระธรรมของพระบาฮาอุลลาห์ซึ่งพันธกิจสูงสุดนั้นคือ ?การบรรลุเอกภาพทางศีลธรรมที่ประสานชาติทั้งหมดเข้าด้วยกัน ควรได้รับการพิจารณาด้วยนัยดังกล่าวว่าบ่งบอกถึงการบรรลุวุฒิภาวะของมวลมนุษยชาติ ?การเปิดเผยพระธรรมนี้ควรถือว่าไม่ใช่เป็นแค่เพียงการฟื้นฟูศีลธรรมอีกครั้งหนึ่งในโชคชะตาของมนุษยชาติที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ไม่ใช่เป็นแค่เพียงขั้นต่อไปในลูกโซ่ของการเปิดเผยพระธรรมที่ต่อเนื่องกันมา ?หรือเป็นแค่เพียงจุดสมบูรณ์ของวัฏจักรหนึ่งของศาสนทูต แต่แสดงถึงขั้นสุดท้ายและสูงสุดของวิวัฒนาการอันมโหฬารของมนุษยชาติโดยรวมบนดาวนพเคราะห์ดวงนี้ การปรากฏขึ้นมาของประชาคมโลก ความสำนึกในความเป็นพลเมืองของโลก ?การก่อตั้งอารยธรมและวัฒนธรรมของโลก เหล่านี้ล้วนต้องเกิดขึ้นพร้อมกับการเริ่มต้นระยะแรกๆ ของยุคทองของศาสนาบาไฮ ซึ่งเมื่อคำนึงถึงการดำเนินชีวิตบนดาวนพเคราะห์ดวงนี้ ควรได้รับการพิจารณาว่าเป็นขั้นสูงสุดของการจัดระเบียบสังคมของมนุษย์ ?แม้ว่ามนุษย์แต่ละคนจะก้าวหน้าและพัฒนาต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลา

The World Order of Baha?u?llah p.162-3 ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ

ท่านโชกิ ?เอฟเฟนดิ บอกเราว่า ?สองขบวนการที่ยิ่งใหญ่กำลังปฏิบัติการอยู่ในโลก ?แผนที่ยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้าคืบหน้าไปท่ามกลางความโกลาหล ?ปฏิบัติการผ่านมนุษยชาติทั้งหมด ทลายอุปสรรคทั้งหลายของเอกภาพของโลก ?และหลอมมนุษยชาติให้เป็นร่างกายเดียวกันด้วยไฟแห่งความทุกข์ทรมานและประสบการณ์ ?เมื่อถึงเวลาของพระผู้เป็นเจ้าขบวนการนี้จะก่อให้เกิดสันติภาพรอง ?คือการประสานสามัคคีโลกด้วยการเมือง ?ในเวลานั้นมนุษยชาติอาจเปรียบได้กับร่างกายที่ไร้ชีวิต ?ขบวนการที่สองเป็นงานของการเติมลมหายใจแห่งชีวิตเข้าไปในร่างกายนี้ ?คือการสร้างคุณธรรมและเอกภาพที่แท้จริง ซึ่งจะสิ้นสุดที่สันติภาพอันยิ่งใหญ่ที่สุด ?นี้จะเป็นงานของบาไฮที่กำลังตรากตรำสร้างอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบนโลกอย่างมีจิตสำนึก ?โดยอาศัยคำสั่งสอนและการนำทางทางจากสวรรค์ และเรียกเพื่อนมนุษย์ให้เข้ามาในอาณาจักรนี้

Peace, Compilation p.88-9 สภายุติธรรมสากล

สหพันธรัฐแห่งโลก

ความพยายามของบรรดาผู้นำของสถาบันต่างๆ ช่างไร้ผลเพียงไร ?เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่เอาใจใส่แม้แต่น้อยต่อพลังของยุคใหม่ ?และกำลังพยายามปรับขบวนการต่างๆ ของชาติที่เหมาะกับสมัยโบราณที่แต่ละชาติอยู่ด้วยตนเอง ?เพื่อให้เข้ากับยุคที่จะต้องบรรลุเอกภาพของโลกตามที่พระบาฮาอุลลาห์วาดไว้ หรือไม่ก็จะต้องตายไป ?ณ ชั่วโมงอันวิกฤติยิ่งในประวัติศาสตร์ของอารยธรรม บรรดาผู้นำของทั้งชาติที่ยิ่งใหญ่และชาติเล็ก ไม่ว่าในโลกตะวันออกหรือโลกตะวันตก ?ไม่ว่าจะเป็นผู้พิชิตหรือผู้ปราชัย ควรเอาใจใส่เสียงเรียกร้องของพระบาฮาอุลลาห์ และเปี่ยมด้วยสำนึกในความเป็นปึกแผ่นของโลกซึ่งจำเป็นสำหรับความจงรักภักดีต่อศาสนาของพระองค์ ?ควรลุกขึ้นอย่างองอาจที่จะดำเนินแผนการเยียวยาทั้งหมดที่พระองค์ผู้ทรงเป็นนายแพทย์สวรรค์ได้สั่งการรักษาไว้สำหรับมนุษยชาติที่เจ็บป่วย ขอให้พวกเขาทิ้งความคิดเดิม และอคติระหว่างชาติทุกอย่างให้หมดไปในทีเดียว ?และเอาใจใส่คำแนะนำอันประเสริฐสุดของพระอับดุลบาฮา ผู้ได้รับอำนาจในการอรรถาธิบายคำสอนทั้งหลายของพระองค์ เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งในรัฐบาลของสหพันธรัฐอเมริกาได้ถามพระอับดุลบาฮาว่า เขาจะสามารถส่งเสริมผลประโยชน์ให้แก่รัฐบาลและประเทศของเขาได้ดีที่สุดอย่างไร ?คำตอบของพระองค์คือ ?ท่านสามารถรับใช้ประเทศของท่านได้ดีที่สุดถ้าท่านพยายามในฐานะที่เป็นพลเมืองของโลก ที่จะช่วยนำหลักการของสหพันธรัฐที่เป็นรากฐานของรัฐบาลของประเทศของท่าน มาใช้กับความสัมพันธ์ที่ดำรงอยู่ระหว่างประชาชนและชาติทั้งหลายของโลกในปัจจุบัน?

The World Order of Baha?u?llah p.36-7 ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ

งานของบาไฮที่กำลังตรากตรำสร้างอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบนโลกมนุษย์ก็คือ ?การพัฒนาระบบบริหารบาไฮและชีวิตชุมชนบาไฮให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ?และเมื่อประชาชนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เข้ามาในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้านี้ ?ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบบริหารบาไฮเพื่อให้เติบโตขึ้นเป็นระบบโลกใหม่ ?เป็นสหพันธรัฐแห่งโลกบาไฮ ?ซึ่งก่อนที่จะเติบโตพัฒนาขึ้นมาถึงระดับนี้ได้ ?มนุษยชาติจะต้องผ่านความทุกข์ทรมานแสนสาหัส ที่เป็นเสมือนไฟที่จะหลอมองค์ประกอบที่ร้าวฉานต่างๆ ของอารยธรรมในปัจจุบันให้เชื่อมเข้าด้วยกัน

ใครเลยจะรู้ว่า ?เพื่อจะให้ความคิดที่ประเสริฐนี้ก่อร่างขึ้นมาได้ ?ความทุกข์ทรมานที่สาหัสกว่าที่เคยประสบจะต้องบังเกิดขึ้นกับมนุษยชาติ ?สิ่งใดหรือที่น้อยกว่าไฟสงครามกลางเมืองที่รุนแรงและผันผวน ที่เกือบฉีกสาธารณรัฐอเมริกาที่ยิ่งใหญ่ ?และได้หลอมรัฐทั้งหลายเข้าด้วยกันมิใช่แค่เป็นเพียงสหภาพ แต่เป็นชาติหนึ่งแม้จะมีความแตกต่างทางชาติพันธ์ ?การปฏิวัติขั้นมูลฐานที่พัวพันกับการเปลี่ยนแปลงที่กว้างไกลในโครงสร้างสังคมดังกล่าว จะสำเร็จได้โดยขบวนการทางการทูตและการศึกษาตามธรรมดา ?ดูเหมือนไม่น่าเป็นไปได้อย่างยิ่ง เราเพียงแต่ต้องหันมามองดูประวัติศาสตร์ที่เปื้อนเลือดของมนุษยชาติเพื่อจะได้ตระหนักว่า ไม่เคยมีสิ่งใดที่ปราศจากความเจ็บปวดแสนสาหัสทั้งกายและใจ ?ที่สามารถกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่างๆ ในอดีต ซึ่งเป็นรอยหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอารยธรรม

ด้วยมุมมองที่เหมาะสม ?แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นในอดีตจะยิ่งใหญ่และกว้างไกล ?ก็เป็นแค่เพียงการปรับตัวที่โหมโรงไปสู่การเปลี่ยนแปลงของราชศักดาและขอบเขตที่ไม่เคยมีมาก่อน ?ซึ่งมนุษยชาติในยุคนี้จะต้องเผชิญ อนิจจา พลังความหายนะของโลกเท่านั้นที่กำลังปรากฏชัดยิ่งขึ้น ?ที่สามารถกระตุ้นความคิดใหม่ดังกล่าว ไม่มีสิ่งใดที่ปราศจากไฟแห่งความทุกข์ทรมานแสนสาหัสและร้อนแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อน ?ที่สามารถหลอมองค์ประกอบที่ร้าวฉานต่างๆ ของอารยธรรมในปัจจุบันให้เชื่อมเข้าด้วยกันเป็นสหพันธรัฐแห่งโลกในอนาคต ?ซึ่งเป็นความจริงที่เหตุการณ์ต่างๆ ในอนาคตจะสาธิตให้เห็นชัดเจนขึ้น

The World Order of Baha?u?llah p.45-6 ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ

?สหพันธรัฐแห่งโลกบาไฮที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันไกลนั้นก็คืออาณาจักรของพระบิดาที่ทำนายไว้โดยพระบุตร (พระเยซู) หรือยุคของพระศรีอาริย์ ?ซึ่งจะเป็นการบรรลุพันธสัญญาที่เทิดทูนอยู่ในคัมภีร์ทุกเล่มของพระผู้เป็นเจ้าและคำทำนายทั้งหมดที่ศาสนทูตทั้งหลายในอดีตกล่าวไว้ และไม่สามารถบังเกิดขึ้นได้โดยหนทางอื่นใดนอกจาก โดยความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าเดียวกันและความจงรักภักดีต่อศาสนาเดียวกัน ?ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ได้วาดภาพของสหพันธรัฐแห่งโลกไว้เป็นวิสัยทัศน์เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้บาไฮจูงมือเพื่อนมนุษย์ไปสู่เป้าหมายดังกล่าวไว้ดังนี้

เอกภาพของมนุษยชาติตามที่พระบาฮาอุลลาห์ให้วิสัยทัศน์ไว้ ?แสดงนัยถึงการสถาปนาสหพันธรัฐแห่งโลกซึ่งทุกชาติ ทุกเชื้อชาติ ?ทุกความเชื่อและทุกชนชั้น จะประสานเข้าด้วยกันอย่างแน่นแฟ้นและถาวร ?เอกราชของรัฐสมาชิกทั้งหลาย อิสรภาพและการริเริ่มของแต่ละบุคคลที่ประกอบกันเป็นรัฐเหล่านี้ ?จะได้รับการปกป้องอย่างแน่นอนและสมบูรณ์ เท่าที่เราพอมองเห็นได้ สหพันธรัฐนี้ต้องประกอบด้วยสภานิติบัญญัติแห่งโลก ?ซึ่งสมาชิกทั้งหลายของสภานี้ในฐานะที่ได้รับความไว้วางใจจากมวลมนุษยชาติ จะควบคุมทรัพยากรทั้งหมดของทุกชาติในที่สุด และออกกฎหมายที่จำเป็นต่อการควบคุมกิจการต่างๆ ?สนองความต้องการและปรับความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อชาติและประชาชนทั้งหมด คณะบริหารแห่งโลกซึ่งได้รับการหนุนโดยกองกำลังนานาชาติ จะดำเนินการตามคำตัดสินและใช้กฎหมายที่ออกโดยสภานิติบัญญัติแห่งโลกนี้ ?และจะปกป้องเอกภาพของสหพันธรัฐ ศาลแห่งโลกจะวินิจฉัยและแถลงคำตัดสินสุดท้ายที่มีผลบังคับต่อข้อโตแย้งทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้นระหว่างองค์ประกอบทั้งหลายของระบบสากลนี้ กลไกการสื่อสารจะได้รับการประดิษฐ์ขึ้นมาโยงใยทั่วโลก ?ซึ่งจะเป็นอิสระจากการกีดกั้นและข้อจำกัดของชาติ และสื่อสารได้ฉับไวอย่างน่าพิศวงและคงเส้นคงวา นครหลวงแห่งโลกจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของอารยธรรมโลก ซึ่งจะเป็นจุดโฟกัสที่พลังสามัคคีทั้งหลายจะมารวมกัน และแพร่อิทธิพลออกไป ?ภาษาแห่งโลกจะได้รับการประดิษฐ์ขึ้นมาหรือเลือกจากภาษาที่มีอยู่แล้ว และนำไปสอนในโรงเรียนของทุกชาติในสหพันธรัฐเป็นภาษาเสริมรองจากภาษาแม่ของแต่ละชาติ อักษรและวรรณกรรมแห่งโลก หน่วยเงินตรา หน่วยน้ำหนัก และหน่วยการวัดเดียวกันอย่างเป็นสากล ?จะทำให้ง่ายและสะดวกสำหรับการสื่อสารและเข้าใจกันในหมู่ชาติและเชื้อชาติต่างๆ ในสังคมโลกดังกล่าววิทยาศาสตร์และศาสนาซึ่งเป็นสองพลังที่มีอำนาจสูงสุดในชีวิตมนุษย์ จะปรองดอง ร่วมมือและพัฒนากลมกลืนกัน ภายใต้ระบบดังกล่าว หนังสือพิมพ์ขณะที่ให้ขอบเขตการแสดงทัศนะและความเชื่อมั่นที่หลากหลายของมนุษยชาติอย่างเต็มที่ ?จะสิ้นสุดการถูกใช้เป็นเครื่องมือของกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ทั้งเอกชนและสาธารณชน และจะเป็นอิสระจากอิทธิพลของรัฐบาลและประชาชนที่ต่อสู้กัน ทรัพยากรทางเศรษฐกิจของโลกจะถูกจัดเป็นระบบ แหล่งวัตถุดิบทั้งหลายจะถูกสูบและนำมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ตลาดทั้งหลายจะได้รับการประสานและพัฒนา และการกระจายผลผลิตจะได้รับการควบคุมอย่างเป็นธรรม

การแข่งขันชิงดี ?ความเกลียดชัง และกลอุบายระหว่างชาติจะสิ้นสุดลง ?ความเป็นปรปักษ์และอคติระหว่างเชื้อชาติจะถูกแทนที่ด้วยมิตรภาพ ?ความเข้าใจและการร่วมมือกัน สาเหตุต่างๆ ของความขัดแย้งทางศาสนาจะหมดไปอย่างถาวร ?การกีดกั้นและข้อจำกัดทางเศรษฐกิจจะถูกล้มเลิกไปโดยสมบูรณ์ ความแตกต่างที่เกินควรระหว่างชนชั้นจะถูกลบไป ?ความอดอยากขาดแคลนในด้านหนึ่งและการสะสมกรรมสิทธิ์อย่างเหลือล้นในอีกด้านหนึ่งจะสาบสูญไป พลังงานมหาศาลที่สิ้นเปลืองไปในสงคราม ?ไม่ว่าสงครามเศรษฐกิจหรือสงครามการเมือง จะถูกนำมาใช้ขยายขอบเขตการประดิษฐ์และการพัฒนาเทคโนโลยี เพิ่มผลผลิต กำจัดโรค ขยายการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ?ยกมาตรฐานสุขภาพ ฝึกฝนและขัดเกลาสติปัญญา ทำประโยชน์จากทรัพยากรของโลกที่ไม่เคยใช้หรือคาดคิดมาก่อน ยืดชีวิตมนุษย์ และส่งเสริมปฏิบัติการใดๆ ที่สามารถกระตุ้นปัญญา ?ศีลธรรม และจิตใจของมวลมนุษยชาติ

ระบบสหพันธรัฐแห่งโลกซึ่งปกครองโลกทั้งหมด ?และใช้อำนาจที่ท้าทายไม่ได้ต่อทรัพยากรอันไพศาลเหนือจินตนาการ ?ผสมผสานอุดมคติทั้งหลายของโลกตะวันออกและโลกตะวันตก เป็นอิสระจากภัยพิบัติและทุกขเวทนาของสงคราม ?มุ่งทำประโยชน์จากแหล่งพลังงานที่หาได้ทั้งหมดบนพื้นผิวโลก เป็นระบบซึ่งอำนาจถูกเปลี่ยนเป็นผู้รับใช้ความยุติธรรม ?และได้รับการค้ำจุนโดยการยอมรับพระผู้เป็นเจ้าเดียวกันและความจงรักภักดีต่อศาสนาเดียวกัน ดังกล่าวนี้คือเป้าหมายที่มนุษยชาติกำลังมุ่งไปสู่โดยการผลักดันของพลังสามัคคีทั้งหลายของชีวิต

The World Order of Baha?u?llah p.203-4 ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ

ศาสนา

ความโกลาหลและสับสนจะเพิ่มขึ้นในโลกทุกวัน ?และจะรุนแรงจนทำให้โครงร่างของมนุษยชาติทนไม่ได้อีกต่อไป ?เมื่อนั้นมนุษย์จึงจะตื่นขึ้นและตระหนักว่า ศาสนาคือปราการที่ตีให้แตกไม่ได้ ?คือแสงสว่างของโลก กฎ คำแนะนำและคำสอนของศาสนาคือบ่อเกิดของชีวิตบนโลก

Peace, Compilation p.29 พระอับดุลบาฮา

ไม่ว่าจะหมดศรัทธาในศาสนาเพราะว่าเห็นความบ้าคลั่งศาสนา ?เพราะเห็นความไม่ดีงามในองค์กรหรือสถาบันศาสนา หรือเพราะเหตุอื่นก็ตาม ?ดูเหมือนจะหนีความจริงไปไม่ได้ว่าประชาชนส่วนใหญ่หันไปหาความพอใจทางวัตถุหรือลัทธิต่างๆ แทน ?และดูเหมือนจะไม่ยอมหันกลับมาหาศาสนาหรือยอมรับพระบาฮาอุลลาห์จนกว่าความโกลาหลและสับสนจะเพิ่มขึ้นจนมนุษยชาติทนไม่ได้ ?ที่น่าเศร้าใจคือศาสนาที่ควรเป็นแสงสว่างของโลกและทำให้มนุษย์รักใคร่สามัคคีกัน กลับกลายเป็นไฟที่กำลังเผาผลาญโลกอย่างร้อนแรงยิ่งขึ้นทุกวัน ?ซึ่งไม่มีวี่แววว่าใคร องค์กรไหนหรือรัฐบาลใดในโลกดับได้ นอกเสียจากว่าศาสนิกชนทั้งหลายจะเข้าใจและยอมรับว่าพระบาฮาอุลลาห์คือพระศาสดาที่เสด็จมาตามพันธสัญญาของทุกศาสนาในอดีต ?ซึ่ง?การประสานสามัคคีประชาชนทั้งหมดของโลกใน…ศาสนาเดียวกัน? นี้คือ?การเยียวยาสูงสุดและเครื่องมือที่ทรงอำนาจที่สุดสำหรับการรักษาโลกทั้งหมด? ?เพราะถ้าปราศจากความเชื่อมั่นศรัทธานี้แล้ว ?มีอำนาจอื่นใดในโลกหรือนอกจากศาสนาของพระองค์ที่สามารถเป็นศูนย์รวมของจิตใจให้ศาสนิกชนจากทุกศาสนาเข้ามาสามัคคีเป็นอันหนึ่งเดียวกันได้ ?และหยุดยั้งความบ้าคลั่งศาสนาที่ทำลายล้างโลกได้? วจนะของพระบาฮาอุลลาห์ยืนยันสัจธรรมนี้ไว้อย่างชัดเจนไร้ข้อกังขา ?

ความเกลียดชังและบ้าคลั่งศาสนาคือไฟบรรลัยกัลป์ที่ไม่มีใครดับได้ ?อานุภาพของพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่สามารถปลดปล่อยมนุษยชาติจากความทรมานผลาญใจนี้

Epistle to the Son of the Wolf p.14 พระบาฮาอุลลาห์

นอกจากจะเตือนสติมนุษยชาติโดยรวมอย่าทำให้ศาสนากลายเป็นบ่อเกิดของการพิพาท ?ความเกลียดชังและเป็นปรปักษ์แล้ว พระบาฮาอุลลาห์ทรงเรียกร้องผู้นำศาสนาและผู้ปกครองทั้งหลายของโลกเป็นพิเศษในฐานะที่พวกเขามีอำนาจและมีอิทธิพลชักจูงความคิดของประชาชน ?ให้สามัคคีกันเพื่อฟื้นฟูชะตาของยุคนี้

ดูกร ?อนุชนทั้งหลาย! ?เจตนามูลฐานที่ขับเคลื่อนศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าคือ ?การปกป้องประโยชน์และส่งเสริมเอกภาพของมนุษยชาติ และทำนุบำรุงดวงจิตแห่งความรักและมิตรภาพในหมู่มนุษย์ ?จงอย่าให้ศาสนากลายเป็นบ่อเกิดของการพิพาท ความร้าวฉาน ความเกลียดชังและเป็นปรปักษ์ นี้คือหนทางตรง คือรากฐานที่มั่นคงสถาพร ?อะไรก็ตามที่ก่อตั้งบนรากฐานนี้ การเปลี่ยนแปลงและความบังเอิญของโลกไม่มีทางบั่นทอนกำลังของสิ่งนั้นได้ การเปลี่ยนแปลงของหลายศตวรรษสุดคณานับจะไม่บ่อนทำลายโครงสร้างของสิ่งนั้น ?ความหวังของเราคือบรรดาผู้นำศาสนาและผู้ปกครองทั้งหลายของโลก จะลุกขึ้นสามัคคีกันเพื่อปฏิรูปและฟื้นฟูโชคชะตาของยุคนี้ หลังจากทำสมาธิใคร่ครวญสิ่งที่จำเป็นสำหรับยุค ขอให้พวกเขาปรึกษากันอย่างจริงจังและเต็มที่ ?แล้วให้การเยียวยาที่จำเป็นสำหรับโลกที่เจ็บป่วยและทรมานอย่างเจ็บปวด

Gleanings from the Writings of Baha?u?llah p.215-6 พระบาฮาอุลลาห์

อย่างไรก็ตามเมื่อผู้นำศาสนาและผู้ปกครองทั้งหลายของโลกไม่สามารถสามัคคีกัน ?อีกทั้งความเกลียดชังและบ้าคลั่งศาสนาทำให้สงครามและความขัดแย้งในโลกรุนแรงขึ้นทุกวัน ?ในปีสันติภาพสากล ค.ศ. 1986 สภายุติธรรมสากลจึงถือโอกาสนี้เรียกร้องชาวโลกอีกครั้งในสาร ?สัญญาแห่งสันติภาพ? ที่เขียนถึง ?ประชาชนทั้งหลายของโลก? ?คำแถลงนี้ได้กล่าวถึงสาเหตุต่างๆ ของสงครามและอุปสรรคทั้งหลายของสันติภาพ ซึ่งหนึ่งในสาเหตุและอุปสรรคเหล่านี้คือศาสนา ตอนหนึ่งของสารนี้กล่าวถึงศาสนาในฐานะที่เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งของสันติภาพของโลกไว้ว่า

ในการลิขิตเกี่ยวกับศาสนาในฐานะเป็นพลังทางสังคม ?พระบาฮาอุลลาห์ทรงกล่าวว่า ?ศาสนาคือวิธีการอันยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับการสถาปนาระเบียบในโลกและความพึงพอใจอันสงบสุขของทุกคนที่อาศัยอยู่ในโลก? ??ในการพาดพิงถึงความเสื่อมหรือการบดบังแสงสว่างของศาสนา พระองค์ทรงลิขิตว่า ?หากตะเกียงของศาสนาถูกบดบังแสง ความโกลาหลและสับสนจะตามมา และประทีปแห่งความเที่ยงธรรม ?ความยุติธรรม ความสงบและสันติภาพ จะหยุดส่องแสง? ในการแจกแจงผลที่ตามมาดังกล่าว ธรรมลิขิตบาไฮชี้ให้เห็นว่า ?ความวิปริตของมนุษย์ ความเสื่อมทรามของความประพฤติ ความทุจริตและความล่มสลายของสถาบันต่างๆ ?เปิดเผยลักษณะที่เลวร้ายและน่ารังเกียจที่สุดของตนออกมาในสภาพแวดล้อมดังกล่าว อุปนิสัยใจคอของมนุษย์ต่ำทราม ความเชื่อมั่นสั่นคลอน วินัยหย่อนยาน เสียงของมโนธรรมเงียบหายไป มารยาทและความละอายใจหายไปจากสำนึก ?ความนึกคิดเกี่ยวกับหน้าที่ ความเป็นปึกแผ่น ความสงบสุข ความปีติและความหวัง ตายไปจากความรู้สึกทีละน้อย?

ดังนั้นหากมาถึงจุดของความขัดแย้งอย่างหมดหนทาง ?มนุษยชาติต้องหันมาดูตนเอง ดูความไม่เอาใจใส่ของตน ?และเสียงล่อลวงที่ตนสนใจฟัง เพื่อหาแหล่งที่มาของความเข้าใจผิดและความสับสนที่กระทำในนามของศาสนา ?บรรดาผู้ที่ยึดถือความเชื่อตามประเพณีอย่างตาบอดและเห็นแก่ตัว ตีความคำสอนของพระศาสดาทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้าอย่างผิดพลาดและขัดแย้งกัน ?แล้วนำมายัดเยียดให้กับผู้ที่เลื่อมใสทั้งหลาย บุคคลเหล่านี้ต้องรับผิดชอบอย่างหนักต่อความสับสนนี้ เป็นความสับสนที่ปนกับอุปสรรคเทียมที่ขวางกั้นระหว่างความศรัทธาและเหตุผล ?ศาสนาและวิทยาศาสตร์ เพราะจากการตรวจสอบวจนะที่แท้จริงของพระศาสดาผู้ก่อตั้งศาสนาทั้งหลายด้วยใจเป็นธรรม ตรวจสอบสภาพแวดล้อมทางสังคมที่พระศาสดาแต่ละองค์เสด็จมาปฏิบัติภารกิจ ไม่มีสิ่งใดสนับสนุนการพิพาทและอคติที่ปั่นป่วนชุมชนทางศาสนาทั้งหลายและกิจการทั้งหมดของมนุษย์

คำสอนที่ว่าเราควรปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นเดียวกับที่เราอยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา ?ซึ่งเป็นจริยธรรมที่ซ้ำกันในศาสนาที่ยิ่งใหญ่ทั้งปวง ให้น้ำหนักกับข้อสังเกตหลังสองประการคือ ?จริยธรรมนี้รวมยอดเจตคติทางศีลธรรมที่เหนี่ยวนำสันติภาพ ซึ่งขยายไปตามศาสนาต่างๆ โดยไม่คำนึงถึงสถานที่หรือเวลากำเนิดของศาสนา ?และยังแสดงนัยถึงแง่หนึ่งของความสามัคคีที่เป็นสาระของคุณธรรมของศาสนาทั้งหลาย เป็นคุณธรรมที่มนุษยชาติไม่เห็นคุณค่าเพราะมองประวัติศาสตร์ไม่ปะติดปะต่อ.

หากได้เห็นพระศาสดาทั้งหลายที่ให้การศึกษาในวัยเด็กของตนเป็นผู้ร่วมขบวนการสร้างอารยธรรมเดียวกัน ?ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามนุษยชาติย่อมได้เก็บเกี่ยวคุณประโยชน์สุดคณานับที่สะสมจากพันธกิจของพระศาสดาที่เสด็จตามกันมา ?อนิจจา มนุษยชาติมองไม่เห็น

การฟื้นขึ้นมาของความบ้าคลั่งศาสนาที่เร่าร้อนในหลายดินแดน ?ไม่สามารถพิจารณาเป็นอื่นใดได้มากไปกว่าการชักกระตุกที่กำลังจะตาย ?ปรากฏการณ์ที่รุนแรงและทำลายล้างที่สัมพันธ์กับความบ้าคลั่งศาสนา ยืนยันความล้มละลายของจิตวิญญาณ ?ที่จริงแล้วหนึ่งในลักษณะเด่นที่แปลกและน่าเศร้าที่สุดคือ ความบ้าคลั่งศาสนาที่ระเบิดออกมาแต่ละครั้งในปัจจุบัน ?ได้บ่อนทำลายไม่เพียงแต่คุณธรรมที่หนุนนำเอกภาพของมนุษยชาติ แต่ยังบ่อนทำลายชัยชนะทางศีลธรรมของศาสนาที่ความบ้าคลั่งนั้นอ้างว่ารับใช้

ไม่ว่าพลังทางศาสนาจะสำคัญเพียงไรในประวัติศาสตร์ ?และไม่ว่าการฟื้นขึ้นมาของความบ้าคลั่งศาสนาในปัจจุบันจะสะท้านใจเพียงใด ?ในหลายทศวรรษที่ผ่านมาประชาชนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆมองศาสนาและสถาบันทางศาสนาว่า ?ไม่มีประโยชน์ในโลกสมัยใหม่ แทนที่จะยึดถือศาสนาพวกเขากลับแสวงหาความพอใจทางวัตถุ ?หรือลัทธิต่างๆ ที่มนุษย์คิดขึ้นมาเพื่อจะกอบกู้สังคมที่โอดครวญอยู่ภายใต้ความชั่วร้ายทั้งหลายแหล่ ?อนิจจา แทนที่จะรับแนวคิดของความเป็นอันหนึ่งเดียวกันของมนุษยชาติและส่งเสริมความปรองดองในหมู่ประชาชนต่างๆ ?ลัทธิมากมายเหล่านี้กลับมีแนวโน้มที่จะบูชารัฐ ให้มนุษยชาติที่เหลือเป็นรองต่อชาติหนึ่ง เชื้อชาติหนึ่ง หรือชนชั้นหนึ่ง ?พยายามระงับการอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิด หรือทอดทิ้งประชาชนนับล้านๆ ที่อดอยากอย่างไมไยดีไว้กับปฏิบัติการของระบบการตลาดที่กำลังซ้ำเติมมนุษยชาติส่วนใหญ่อย่างเห็นได้ชัด ?ขณะที่คนส่วนน้อยสามารถดำรงชีวิตด้วยความมั่งคั่งอย่างที่บรรพบุรุษของเราแทบไม่เคยฝันมาก่อน………

ตลอดประวัติศาสตร์ความขัดแย้งทางศาสนาได้เป็นสาเหตุของสงครามและการต่อสู้จำนวนนับไม่ถ้วน ?เป็นตัวถ่วงความเจริญที่สำคัญ และเป็นที่รังเกียจมากขึ้นของประชาชนทุกศาสนาและผู้ที่ไม่มีศาสนา ?ศาสนิกชนของทุกศาสนาต้องเต็มใจเผชิญกับปัญหาพื้นฐานที่ความขัดแย้งนี้หยิบยกขึ้นมา และให้ได้คำตอบที่ชัดเจน ?ความขัดแย้งระหว่างพวกเขาจะแก้ไขได้อย่างไรทั้งทางทฤษฎีและทางปฏิบัติ? การท้าทายสำหรับผู้นำศาสนาทั้งหลายคือ ?การใคร่ครวญดูชะตาของมนุษยชาติด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความเห็นอกเห็นใจและความปรารถนาสัจธรรม และถามตัวเองด้วยความถ่อมตัวต่อหน้าพระผู้สร้างผู้ทรงมหิธานุภาพว่า ?พวกเขาไม่สามารถหรือที่จะให้ความขัดแย้งทางศาสนศาสตร์ของตนจมลงไปด้วยดวงจิตแห่งความอดกลั้น ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาสามารถทำงานร่วมกันเพื่อความก้าวหน้าและความเข้าใจ

The Promise of World Peace p.6-8, 13 สภายุติธรรมสากล

หลังจากออกคำแถลง ??สัญญาแห่งสันติภาพ? นี้แล้ว ?โลกก็ยังร้อนระอุด้วยสงครามมากยิ่งขึ้นต่อไป ?ซึ่งมีส่วนไม่น้อยมาจากไฟแห่งความเกลียดชังและบ้าคลั่งศาสนา ?จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2002 สภายุติธรรมสากลได้ออกคำแถลงอีกฉบับในรูปของจดหมายถึงผู้นำศาสนาทั้งหลายของโลกเป็นการเฉพาะ ?และมอบหมายให้ธรรมสภาแห่งชาติทั่วโลกส่งมอบจดหมายนี้ให้แก่ผู้นำศาสนาต่างๆ ในประเทศของตน คำแถลงทั้งสองฉบับนี้ชวนให้ระลึกถึงธรรมจารึกที่พระบาฮาอุลลาห์ลิขิตถึงกษัตริย์ ?ผู้ปกครอง และผู้นำศาสนาทั้งหลายของโลกในสมัยของพระองค์กว่าร้อยปีที่แล้ว

กล่าวโดยย่อในจดหมายฉบับนี้ ?สภายุติธรรมสากลเรียกร้องผู้นำศาสนาทั้งหลายในฐานะเป็นบุคคลที่ศาสนิกชนพึ่งพาการชี้นำ ?ให้ช่วยขจัดอคติทางศาสนา มิจฉาทิฐิและคำกล่าวอ้างว่าศาสนาของตนเท่านั้นที่ได้รับอภิสิทธิ์ในการเข้าถึงสัจธรรม ?แล้วช่วยกันส่งเสริมความสามัคคีของศาสนา หากคิดว่าความเป็นผู้นำศาสนายังจะมีบทบาทและความหมายในสังคมและยังมีสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมโลก ?เพราะไฟแห่งอคติทางศาสนากำลังเผาผลาญโลก ความผาสุกของมนุษยชาติและสันติภาพของโลกจะบังเกิดขึ้นไม่ได้นอกจากประชาชนและชาติทั้งหลายจะสามัคคีกัน ?ซึ่งความสามัคคีดังกล่าวจะเกิดขึ้นไม่ได้ท่ามกลางอคติและความขัดแย้งทางศาสนา และสงครามที่เกิดจากอคติทางศาสนา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ความขัดแย้งทางศาสนาคืออุปสรรคอันใหญ่หลวงต่อความผาสุกของมนุษยชาติและสันติภาพของโลก ?และปิดท้ายจดหมายว่าการสอนศาสนาหรือการโน้มน้าวมโนธรรมจะมีความชอบธรรมก็ต่อเมื่อ การสอนนั้นส่งเสริมให้เกิดความสามัคคีในหมู่มนุษย์ เพราะความสามัคคีนี้จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับความผาสุกของมนุษยชาติ เนื้อหาของจดหมายนี้ (ไม่เต็มฉบับ) คัดมาไว้ข้างล่างนี้

ศูนย์กลางบาไฮแห่งโลก

เมษายน ?ค.ศ.2002

เรียน ผู้นำศาสนาทั้งหลายของโลก

มรดกอันยั่งยืนที่ตกทอดมาจากคริสต์ศตวรรษที่ยี่สิบคือ ?ประชาชนทั้งหลายของโลกเริ่มมองเห็นตนเองว่าเป็นเชื้อชาติเดียวกัน ?และพิภพนี้คือบ้านเกิดร่วมกันของทุกคน แม้ว่าจะมีความรุนแรงและการต่อสู้กันไม่หยุดหย่อนที่ทำให้ขอบฟ้ามืดมน ?อคติทั้งหลายที่ครั้งหนึ่งดูเหมือนเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในสายพันธ์มนุษย์ กำลังทลายลงทุกแห่งหน ที่ทลายลงมาด้วยกันคือรั้วกั้นทางวัฒนธรรม ?ชาติพันธ์หรือสัญชาติที่แบ่งแยกครอบครัวมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงขั้นมูลฐานนี้ที่เกิดขึ้นภายในเวลาอันสั้น หรือเพียงชั่วข้ามคืนเมื่อเทียบกับระยะเวลาของประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ?ชี้ให้เห็นศักยภาพสำหรับอนาคต

ที่น่าเศร้าคือศาสนาที่จัดตั้งซึ่งเหตุผลของการดำรงอยู่คือ ?การรับใช้ความมุ่งหมายของภราดรภาพและสันติภาพ กลับทำตัวเป็นอุปสรรคขวากหนามบนเส้นทางดังกล่าวเสียเองอยู่บ่อยครั้ง ?ข้อเท็จจริงที่เจ็บปวดคือ ศาสนาที่จัดตั้งได้รับรองความบ้าคลั่งศาสนามาเป็นเวลานาน ในฐานะที่เป็นสภาปกครองศาสนาหนึ่งของโลก ?เราจึงสำนึกในความรับผิดชอบที่จะเชื้อเชิญให้มีการพิจารณาเรื่องที่ท้าทายภาวะผู้นำศาสนา และด้วยคำนึงถึงประเด็นและสภาพแวดล้อมของเรื่องนี้ ?จำเป็นที่เราจะต้องพูดอย่างเปิดเผย เราเชื่อใจว่าการรับใช้พระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าร่วมกันจะรับประกันว่า สิ่งที่เราจะกล่าวด้วยความปรารถนาดี ?จะเป็นที่รับฟังด้วยความปรารถนาดีเช่นกัน

ประเด็นนี้เป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งเมื่อเราพิจารณาถึงความสำเร็จที่เกิดขึ้นในด้านอื่น ?ในอดีตซึ่งมีข้อยกเว้นบางกรณี สตรีได้รับการพิจารณาว่าด้อยกว่า และมีความเชื่อที่งมงายต่างๆ ปิดล้อมสตรี ?สตรีไม่ได้รับโอกาสที่จะแสดงศักยภาพที่มีอยู่ในจิตวิญญาณ และถูกจำกัดบทบาทให้คอยรับใช้ความต้องการของบุรุษ เป็นที่ชัดเจนว่าสภาพเช่นนี้ยังมีอยู่ในหลายสังคมและถึงกับปกป้องไว้ด้วยความคลั่ง ?อย่างไรก็ตามในการแสดงปาฐกถาระดับโลกในปัจจุบัน ความเสมอภาคระหว่างเพศได้กลายเป็นหลักการที่มีพลังที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นสากล…….

กองทัพของความคลั่งชาติถูกล้อมและพบกับชะตาที่คล้ายกัน ?วิกฤตแต่ละครั้งที่เกิดขึ้นในกิจการต่างๆ ของโลก ช่วยให้ประชาชนแยกแยะได้ง่ายขึ้นระหว่างความรักชาติที่เพิ่มพูนชีวิต ?กับการปลุกระดมด้วยโวหารให้เกลียดและกลัวคนอื่น…….อดติทางเชื้อชาติและชาติพันธ์ถูกจัดการอย่างรวบรัดตัดตอนเท่าเทียมกันโดยขบวนการทางประวัติศาสตร์ ?จนความอดทนต่ออคติเหล่านี้มีเหลือเพียงน้อยนิด…….อคติทางเชื้อชาติถูกประณามอย่างหนักทุกแห่งหน จนไม่มีคนกลุ่มใดเข้ามาเป็นแนวร่วมได้อย่างปลอดภัยอีกต่อไป

มิใช่ว่าอดีตที่มืดมนถูกลบไปแล้วมีโลกที่สว่างไสวเกิดขึ้นมาใหม่อย่างทันใด ?ประชาชนจำนวนมากมายมหาศาลยังคงทนทุกข์กับอคติที่ฝังใจทางชาติพันธุ์ เพศ ชาติ ?ชนชั้นและวรรณะ หลักฐานทั้งหมดบ่งบอกว่าความอยุติธรรมเหล่านี้จะยังคงอยู่ต่อไปอีกนาน ?เนื่องด้วยสถาบันและมาตรฐานทั้งหลายที่มนุษยชาติคิดขึ้นมา ได้รับอำนาจสนับสนุนช้ากว่าจะจัดความสัมพันธ์และบรรเทาทุกข์ผู้ถูกกดขี่ได้ ?กระนั้นมนุษยชาติได้ข้ามธรณีประตูไปแล้วและเป็นไปได้ยากที่จะย้อนกลับไปอีก หลักธรรมมูลฐานต่างๆ มีอยู่ ซึ่งได้แถลงให้สาธารณชนทราบอย่างกว้างขวาง ?และกำลังก่อร่างขึ้นเป็นสถาบันต่างๆ ที่สามารถใช้หลักธรรมเหล่านี้ชักนำพฤติกรรมของสาธารณชน อย่างไรก็ตามไม่มีข้อสงสัยว่า ไม่ว่าการต่อสู้ดิ้นรนจะยาวนานและเจ็บปวดเพียงไร ?ผลสุดท้ายคือการปฏิวัติสัมพันธภาพของประชาชนทั้งปวงในระดับรากหญ้า

*

เมื่อเริ่มต้นคริสต์ศตวรรษที่ยี่สิบ ?อคติที่ดูเหมือนจะฝืนการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ยิ่งกว่าอคติอื่นใดคืออคติทางศาสนา……ในบริบทของการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของมนุษยชาติเกี่ยวกับตนเอง ?พัฒนาการทางศาสนาที่มีอนาคตที่สุดดูเหมือนจะเป็นการเคลื่อนไหวระหว่างศาสนา ในปี ค.ศ.1893 นิทรรศการโคลัมเบียแห่งโลกได้ทำให้แม้แต่ผู้จัดนิทรรศการนั้นต้องประหลาดใจโดยการให้กำเนิด ?สภาศาสนา? ที่เลื่องชื่อ ?ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ของความลงรอยกันทางธรรมะและศีลธรรม ที่ประชาชนจากทุกทวีปได้ให้ความสนใจ และได้บดบังแม้กระทั่งความมหัศจรรย์ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการพาณิชย์ที่นิทรรศการนั้นเฉลิมฉลอง

กล่าวโดยย่อ ?ดูเหมือนว่ากำแพงที่มีมาแต่โบราณได้ทลายลง ?สำหรับบรรดานักคิดผู้ทรงอิทธิพลในวงการศาสนา ?การมาชุมนุมกันครั้งนี้พิเศษ ?อย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของโลก? ?.ผู้จัดงานนี้กล่าวว่าสภาศาสนาได้ ?ปลดแอกโลกให้หลุดพ้นจากความดันทุรัง? เป็นที่ทำนายไว้อย่างมั่นใจว่า ?ความเป็นผู้นำอย่างมีจินตนาการจะปลุกดวงจิตแห่งภราดรภาพในชุมชนศาสนาทั้งหลายในโลกที่แตกแยกกันมานาน เป็นดวงจิตที่สามารถวางรากฐานของศีลธรรมสำหรับค้ำจุนโลกใหม่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองและความก้าวหน้า ??ด้วยกำลังใจเช่นนี้จึงมีการเคลื่อนไหวระหว่างศาสนาเติบโตขึ้นมาทุกรูปแบบ วรรณกรรมจำนวนมากมายหลายภาษาได้แนะนำคำสอนต่างๆ ของศาสนาหลักๆ ให้กับสาธารณชนทั้งที่เป็นศาสนิกชนและไม่ใช่ศาสนิกชน ซึ่งต่อมาวิทยุ ?โทรทัศน์ ภาพยนตร์ และในที่สุดคืออินเตอร์เน็ตได้ให้ความสนใจ สถาบันการศึกษาชั้นสูงต่างๆ ได้เปิดหลักสูตรปริญญาสำหรับศึกษาศาสนาเปรียบเทียบ เมื่อสิ้นสุดคริสต์ศตวรรษที่ยี่สิบ การบูชาร่วมกันระหว่างศาสนาต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดในไม่กี่ทศวรรษก่อนหน้านั้น ?กลายเป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันบ่อยจนเป็นเรื่องปกติธรรมดา

อนิจจาเป็นที่ชัดเจนว่า ?กิจกรรมระหว่างศาสนาเหล่านี้หาได้มีการสอดรับกันทางปัญญา ?และไร้จุดหมายทางธรรมะร่วมกัน ต่างจากขบวนการประสานสามัคคีที่กำลังเปลี่ยนแปลงสัมพันธภาพต่างๆ ในสังคม ?ข้อเสนอแนะว่าศาสนาที่ยิ่งใหญ่ทั้งปวงในโลกล้วนมีจุดกำเนิดและเนื้อหาน่าเชื่อถือเสมอกัน ถูกต้านอย่างดื้อดึงเพราะความคิดที่แตกแยกระหว่างนิกายไม่ยอมเปลี่ยนแปลง……ส่วนอื่นของสังคมยอมรับนัยต่างๆ ของความเป็นอันหนึ่งเดียวกันของมนุษยชาติว่า ?ไม่ใช่เป็นแค่เพียงความก้าวหน้าของอารยธรรมขั้นต่อไปที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เป็นการรวมความหลากหลายทุกชนิดของมนุษยชาติให้เป็นเอกภาพในช่วงเวลาอันวิกฤติของประวัติศาสตร์นี้ กระนั้นก็ตามศาสนาที่จัดตั้งส่วนใหญ่กลับเป็นอัมพาตอยู่ ณ ธรณีประตูไปสู่อนาคต ?ติดอยู่กับมิจฉาทิฐิและคำกล่าวอ้างว่าตนมีอภิสิทธิ์ในการเข้าถึงสัจธรรม ซึ่งได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งที่แบ่งแยกชาวโลก

ผลที่ตามมานั้นทำลายล้างความผาสุก ?ความสยดสยองที่บังเกิดกับประชาชนผู้เคราะห์ร้ายเพราะความบ้าคลั่งศาสนาระเบิดออกมาอย่างน่าอัปยศนั้น ?ไม่จำเป็นต้องพูดถึงรายละเอียด ปรากฏการณ์เช่นนี้มิใช่พึ่งจะเกิดขึ้น แต่มีมาแล้วมากมายซึ่งจะขอกล่าวถึงตัวอย่างหนึ่งคือ ?สงครามศาสนาในยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่สิบหกได้สังหารผลาญชีวิตประชาชนของทวีปนั้นไปราว 30% ??คงอดสงสัยไม่ได้ว่าในระยะยาว ?เราจะได้เก็บเกี่ยวอะไรจากเมล็ดแห่งความขัดแย้งทางความเชื่อศาสนา ?ที่เพาะไว้ในจิตสำนึกของประชาชนจำนวนมากมาย ซึ่งเป็นอำนาจมืดที่เคยบันดาลใจให้คนในสมัยนั้นลุกขึ้นมาห้ำหั่นกัน

นอกจากนี้เหนือกว่าปัจจัยอื่นใด ?ปัญญาที่เฉไฉได้ทำให้ศาสนาหมดความสามารถและหมดบทบาทในการชักนำกิจการต่างๆ ของโลก ?ด้วยหมกมุ่นอยู่กับวาระที่สลายพลังงานของประชาชนให้สิ้นเปลืองไปโดยเปล่าประโยชน์ สถาบันศาสนาทั้งหลายมักเป็นตัวการที่ยับยั้งการใช้ปัญญาและการสำรวจตรวจสอบความจริง ?การประณามวัตถุนิยมหรือการก่อการร้ายช่วยอะไรไม่ได้มากในการรับมือกับวิกฤติการณ์ของศีลธรรมร่วมสมัย หากมิได้จัดการกับความรับผิดชอบที่ล้มเหลวที่ปล่อยให้มวลชนที่เชื่อศาสนาถูกอิทธิพลเหล่านี้ชักจูงไป

แม้ว่าจะเป็นที่เจ็บช้ำน้ำใจ ?การใคร่ครวญเรื่องนี้ก็เป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงอานุภาพของศาสนาเสียมากกว่าเป็นการกล่าวหาศาสนาที่จัดตั้งและเป็นตัวแทนของอานุภาพนั้น ?ดังที่เราทุกคนทราบดี ศาสนาเข้าถึงรากของแรงจูงใจ เมื่อซื่อสัตย์ต่อวิญญาณและตัวอย่างของพระศาสดาผู้ประทานหลักธรรมคำสอนให้แก่โลก ศาสนาได้ปลุกประชาชนทั้งหมดให้มีความสามารถที่จะรัก ?ให้อภัย สร้างสรรค์ กล้าหาญ เอาชนะอคติ เสียสละเพื่อความผาสุกของส่วนรวม และควบคุมสัญชาตญาณดิบ ไม่มีข้อสงสัยว่าการพัฒนาและขัดเกลาธรรมชาติของมนุษย์ ได้อาศัยอิทธิพลของพระศาสดาทั้งหลายที่เสด็จตามกันมาตั้งแต่รุ่งอรุณของประวัติศาสตร์

……..แท้จริงแล้วเป็นการยากที่จะคิดถึงความก้าวหน้าของอารยธรรมครั้งสำคัญครั้งใดที่มิได้รับแรงผลักดันจากบ่อเกิดศีลธรรมที่ยืนยาวนี้ เช่นนั้นแล้วเป็นไปได้หรือที่ขบวนการจัดระเบียบโลกที่สืบเนื่องกันมานานนับสหัสวรรษ จะคืบหน้าต่อไปจนเสร็จสิ้นสมบูรณ์ได้ในสูญญากาศของธรรมะ หากลัทธิที่วิปริตทั้งหลายที่สยายตัวอยู่ในโลกในศตวรรษที่ผ่านมาไม่ได้ให้อะไรมากไปกว่าที่เป็นอยู่ นั่นสาธิตให้เห็นว่า มนุษย์ไม่สามารถประดิษฐ์คิดค้นทางเลือกอื่นมาแทนศาสนาได้

*

นัยต่างๆ สำหรับปัจจุบันรวมยอดอยู่ในวจนะของพระบาฮาอุลลาห์ที่ลิขิตไว้กว่าหนึ่งศตวรรษที่แล้วและแพร่กระจายออกไปในหลายทศวรรษที่ผ่านมา

?ไม่มีข้อสงสัยว่า ?ประชาชนทั้งหลายของโลกไม่ว่าเชื้อชาติหรือศาสนาใด ?ได้รับแรงบันดาลใจจากแหล่งเดียวกันและเป็นข้าของพระผู้เป็นเจ้าเดียวกัน ?ความแตกต่างระหว่างบทบัญญัติที่พวกเขายึดถือนั้นเป็นไปตามความต้องการและความจำเป็นที่ต่างกันในแต่ละยุค ??ยกเว้นเพียงบางบทที่มาจากความวิปริตของมนุษย์เอง บทบัญญัติเหล่านี้ล้วนบัญญัติโดยพระผู้เป็นเจ้าและสะท้อนถึงพระประสงค์และเจตนาของพระองค์ ?จงลุกขึ้นด้วยพลังแห่งความศรัทธา และทลายพระเจ้าทั้งหลายที่เจ้าจินตนาการกันขึ้นมาเอง พระเจ้าที่หว่านการพิพาทระหว่างพวกเจ้า จงยึดถือสิ่งที่ดึงดูดพวกเจ้าเข้ามาหาและสามัคคีกัน?

คำวิงวอนนี้มิได้เรียกร้องให้ละทิ้งความศรัทธาในหลักธรรมคำสอนของศาสนาที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายในโลก ?หาไม่เลย ความศรัทธามีค่าและเหตุผลในตัวเอง สิ่งที่คนอื่นเชื่อหรือไม่เชื่อไม่สามารถนำมาให้มโนธรรมของผู้ใดยึดถือได้อย่างคู่ควรกับคำว่าศรัทธา ?ที่วจนะข้างบนนี้เร่งเร้าอย่างไม่คลุมเครือคือ การสละคำกล่าวอ้างทั้งหมดที่มัดวิญญาณไว้ว่าศาสนาของตนเป็นทางรอดเดียวหรือเป็นศาสนาสุดท้าย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ปิดกั้นความปรารถนาเอกภาพ ?อีกทั้งยังส่งเสริมความเกลียดชังและความรุนแรง

เราเชื่อว่าผู้นำศาสนาทั้งหลายต้องตอบสนองการท้าทายอันเป็นประวัติศาสตร์นี้ ?หากความเป็นผู้นำศาสนายังจะมีความหมายในสังคมโลกที่ก่อตัวขึ้นมาจากประสบการณ์ที่เปลี่ยนใหม่ในคริสต์ศตวรรษที่ยี่สิบ ?เป็นที่ประจักษ์ว่าประชาชนจำนวนมากขึ้นกำลังเริ่มตระหนักว่า สัจธรรมที่เป็นรากฐานของศาสนาทั้งปวงมีสาระเป็นหนึ่งเดียวกัน ?การยอมรับนี้มิได้มาจากการหาทางออกสำหรับข้อโต้แย้งต่างๆ ทางศาสนศาสตร์ แต่เป็นความตระหนักของจิตใจที่เกิดจากการมีประสบการณ์กว้างขึ้นเกี่ยวกับผู้อื่น และการเริ่มยอมรับความเป็นหนึ่งเดียวกันของครอบครัวมนุษย์เอง ???ท่ามกลางประมวลกฎหมาย พิธีกรรม และความเชื่อทางศาสนาที่มากมายจนสับสน ที่รับเป็นมรดกมาจากอดีตที่อันตรธานไป เริ่มมีสำนึกเกิดขึ้นใหม่ว่า เช่นเดียวกับความเป็นหนึ่งที่ปรากฏอยู่ในสัญชาติ เชื้อชาติ และวัฒนธรรมที่หลากหลาย ?ธรรมะของชีวิตไม่มีพรมแดนและเป็นหนึ่งเช่นกัน เพื่อจะให้ความเข้าใจที่แพร่หลายแต่ยังไม่แน่ใจนี้มีความมั่นใจ และได้ส่งเสริมการสร้างโลกที่สันติ แม้ว่าชั่วโมงนี้จะสายแล้วก็ตาม จะต้องมีการยืนยันอย่างสุดใจจากบรรดาผู้ที่ประชาชาวโลกพึ่งพาการชี้นำ

แน่นอนว่าความเชื่อต่างๆ ของศาสนาหลักๆ ของโลกแตกต่างกันอย่างมากในเรื่องของบทบัญญัติทางสังคมและรูปแบบการบูชา ?ซึ่งยากจะเป็นอย่างอื่นได้เมื่อพิจารณาถึงเวลานับพันๆ ปีที่มีการเปิดเผยพระธรรมของพระผู้เป็นเจ้าต่อเนื่องกันมาหลายครั้ง ?ซึ่งได้ตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของอารยธรรมที่มีวิวัฒนาการอยู่ตลอด แท้จริงแล้วคัมภีร์ของศาสนาหลักๆ ส่วนใหญ่ดูเหมือนจะแสดงให้เห็นวิวัฒนาการของศาสนาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ??แต่ที่ให้เหตุผลทางศีลธรรมไม่ได้คือ การใช้มรดกทางวัฒนธรรมที่ให้ไว้เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ธรรมะมาเป็นเครื่องมือปลุกเร้าอคติและความหมางเมิน งานเบื้องต้นของจิตวิญญาณคือการไต่สวนความจริง ?ดำรงชีวิตที่สอดคล้องกับสัจธรรมที่ตนมั่นใจ และนับถือความพยายามของผู้อื่นที่จะทำเช่นเดียวกัน

……แต่ละศาสนาหลักๆ มีข้อยืนยันที่น่าประทับใจและเชื่อถือได้ว่าตนสามารถปลูกฝังศีลธรรมอย่างได้ผล ?ทำนองคล้ายกันไม่มีใครยืนยันได้อย่างมั่นใจว่า ความเชื่อทางศาสนาใดดันทุรังและงมงายมากหรือน้อยไปกว่ากัน ?ในโลกที่กำลังรวมตัวเข้าด้วยกัน เป็นธรรมดาที่การตอบสนองและการสมาคมจะมีแบบแผนที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด และบทบาทของสถาบันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสถาบันประเภทไหน ?คือการพิจารณาดูว่าจะบริหารพัฒนาการเหล่านี้ให้ส่งเสริมเอกภาพได้อย่างไร ผลที่ออกมาจะดีสำหรับจิตใจ ศีล ธรรมและสังคมแค่ไหน อยู่ที่ความศรัทธาที่ยั่งยืนของชาวโลกว่า ?จักรวาลมิได้ถูกปกครองตามความอำเภอใจของมนุษย์ แต่ถูกปกครองด้วยความรักที่ไม่ขาดสายของพระผู้เป็นเจ้า

……คัมภีร์ของทุกศาสนาสอนศาสนิกชนให้มองการรับใช้ผู้อื่นว่าไม่ไช่เป็นเพียงหน้าที่ทางศีลธรรม แต่เป็นหนทางสำหรับการเข้าหาพระผู้เป็นเจ้า การปรับโครงสร้างสังคมที่ก้าวหน้าเปิดมิติใหม่ของความหมายของคำสอนนี้ ขณะที่พันธสัญญาที่มีมาแต่ยุคก่อนเกี่ยวกับโลกที่ขับเคลื่อนด้วยหลักการที่ยุติธรรม กำลังเป็นจริงตามเป้าหมายอย่างช้าๆ การตอบสนองความต้องการของจิตวิญญาณและสังคมจะเป็นสิ่งที่ควบคู่กันไปในชีวิตที่มีวุฒิภาวะทางธรรม

หากภาวะผู้นำของศาสนาจะรับมือกับการท้าทายของการควบคู่กันไปดังกล่าวนี้ ?การตอบสนองต้องเริ่มต้นโดยการยอมรับว่า ศาสนาและวิทยาศาสตร์คือสององค์ความรู้ที่ขาดไม่ได้สำหรับการพัฒนาศักยภาพของจิตสำนึก ?สองวิธีการมูลฐานของการใช้ปัญญาตรวจสอบความจริงนี้ ขึ้นต่อกันและกัน และสร้างสรรค์ที่สุดในบางช่วงเวลาแห่งความสุขในประวัติศาสตร์ที่หาได้ยาก ?ที่ยอมรับกันว่าศาสนาและวิทยาศาสตร์เสริมกันและกัน และทั้งสองสามารถทำงานร่วมกัน ความรู้ความเข้าใจและทักษะที่เกิดจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์จะต้องพิจารณาเป้าหมายทางธรรมะเป็นตัวชี้นำ ?เพื่อจะรับประกันการนำมาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม ความมั่นใจทางศาสนาไม่ว่าจะเป็นที่เทิดทูนเพียงไร ต้องเต็มใจให้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ทดสอบด้วยใจไม่ลำเอียง

สุดท้ายนี้มาถึงประเด็นที่เราไม่ค่อยแน่ใจที่จะกล่าว ?เพราะเป็นประเด็นที่แตะมโนธรรมโดยตรง ไม่น่าแปลกใจว่าในบรรดาสิ่งที่ยั่วยวนใจมากมายในโลก ?การใช้อำนาจในเรื่องของความเชื่อเป็นบททดสอบที่ผู้นำศาสนาทั้งหลายต้องครุ่นคิด ผู้ที่ได้อุทิศเวลาหลายปีในการทำสมาธิอย่างจริงจังและศึกษาคัมภีร์ของศาสนาที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย ?ไม่จำเป็นต้องมีการเตือนให้ระลึกถึงความจริงที่กล่าวกันบ่อยๆ เกี่ยวกับแนวโน้มของการใช้อำนาจในทางที่ไม่ชอบ และไม่ชอบมากขึ้นเมื่อมีอำนาจมากขึ้น ไม่มีข้อสงสัยว่านักบวชที่ไม่ถูกอำนาจพาไปจำนวนนับไม่ถ้วนในหลายยุคที่ผ่านมา ?ได้เป็นบ่อเกิดของพลังสร้างสรรค์และเป็นหนึ่งในความดีเด่นที่สุดของศาสนาที่จัดตั้ง แต่ที่พอกันคือ ผู้นำศาสนาบางคนที่หลงใหลในอำนาจทางโลกและผลประโยชน์ ได้พรวนดินที่อุดมสำหรับการเพาะปลูกความไม่เชื่อในความดี ความทุจริตและความสิ้นหวัง ?ให้กับทุกคนที่สังเกตเห็นความหลงใหลนั้น ณ เวลานี้ในประวัติศาสตร์ ความสามารถในการรับผิดชอบสังคมของผู้นำศาสนามีนัยที่ไม่จำเป็นต้องลงในรายละเอียด

*

ด้วยเกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุปนิสัยใจคอและประสานสัมพันธภาพ ?ศาสนาได้เป็นที่เลื่อมใสมาตลอดประวัติศาสตร์ว่าให้ความหมายของชีวิตได้ดีที่สุด ?ในทุกยุคศาสนาได้เพาะปลูกความดี ตำหนิสิ่งที่ผิดศีลธรรม และให้ผู้ที่เต็มใจอยากเห็นได้เห็นศักยภาพที่ไม่เคยตระหนักมาก่อน ?ดวงวิญญาณได้รับกำลังใจจากคำแนะนำของศาสนาในการเอาชนะข้อจำกัดทางโลก และการใช้ศักยภาพทั้งหมดของตน ดังที่แสดงนัยไว้ด้วยชื่อ ?ศาสนาคือพลังสำคัญที่ได้ผูกประชาชนทั้งหลายไว้ด้วยกันในสังคมที่ใหญ่ขึ้นและซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งให้แต่ละบุคคลได้แสดงความสามารถออกมา ?ข้อได้เปรียบของยุคนี้คือ มุมมองที่มวลมนุษยชาติสามารถมองเห็นขบวนการของอารยธรรมเป็นปรากฏการณ์เดียวกัน นั่นคือการประสบกันระหว่างภพของเรากับภพของพระผู้เป็นเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า

ด้วยได้รับแรงดลใจจากมุมมองนี้ ?ประชาคมบาไฮได้ส่งเสริมกิจกรรมระหว่างศาสนาอย่างแข็งขันตั้งแต่เริ่มต้น ?นอกจากการสมาคมกันในกิจกรรมเหล่านี้ บาไฮมองการดิ้นรนเข้ามาหากันของศาสนาที่หลากหลายว่าเป็นการตอบสนองพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าสำหรับเชื้อชาติมนุษย์ที่กำลังบรรลุวุฒิภาวะ ?สมาชิกของประชาคมของเราจะคอยช่วยต่อไปในทุกวิถีทางที่ทำได้ อย่างไรก็ตามเราเป็นหนี้หุ้นส่วนทั้งหลายของเราในความพยายามร่วมกันนี้ที่จะขอกล่าวอย่างมั่นใจและชัดเจนว่า ปาฐกถาระหว่างศาสนาหากจะช่วยรักษาความเจ็บป่วยที่ทรมานมนุษยชาติที่สิ้นหวัง ?บัดนี้ต้องไม่บ่ายเบี่ยงอีกต่อไป และด้วยความสุจริตใจต้องไขความของนัยของสัจธรรมที่ให้กำเนิดการเคลื่อนไหวระหว่างศาสนา นั่นคือ พระผู้เป็นเจ้าเป็นหนึ่ง และเหนือกว่าความหลากหลายของการแสดงออกทางวัฒนธรรมและการตีความของมนุษย์ ศาสนาเป็นหนึ่งเดียวกันเช่นกัน

แต่ละวันที่ผ่านไป ?ภยันตรายทวีขึ้นด้วยไฟแห่งอคติทางศาสนาจะลุกเป็นเพลิงกัลป์เผาผลาญโลกเกินกว่าจะจินตนาการได้ ?ซึ่งรัฐบาลโดยลำพังไม่สามารถหยุดได้ และเราไม่ควรหลอกตัวเองว่า คำวิงวอนให้อดทนซึ่งกันและกันเพียงลำพัง ?จะสามารถขจัดความเป็นปรปักษ์ที่อ้างความชอบธรรมจากพระผู้เป็นเจ้า วิกฤตินี้เรียกร้องให้ผู้นำศาสนากล้าสลัดตัวจากอดีต ?ดังเช่นที่ผู้นำในแวดวงอื่นๆ ได้เปิดทางให้สังคมได้จัดการกับอคติที่กัดกร่อนทั้งหลาย ทั้งอคติทางเชื้อชาติ เพศ และชาติ ??การโน้มน้าวมโนธรรมอย่างชอบธรรมในเรื่องใดๆ อยู่ที่การรับใช้ความผาสุกของมนุษยชาติ ณ จุดเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอารยธรรมนี้ ?เงื่อนไขสำหรับการรับใช้ดังกล่าวเป็นที่ชัดเจนอยู่ในวจนะของพระบาฮาอุลลาห์ ?ความผาสุกของมนุษยชาติ สันติภาพและความปลอดภัย จะไม่สามารถบรรลุได้นอกจากว่าความสามัคคีจะได้รับการสถาปนาอย่างมั่นคง? ?

?????????

?????????????????สภายุติธรรมสากล