คีตาบีอีคาน คัมภีร์แห่งความมั่นใจ

ดาวน์โหลด?PDF

คำนำ

จงรอไปเถิด ?ดังเช่นพวกก่อนหน้าเจ้ากำลังรอ! ?คือวจนะท่อนหนึ่งในคัมภีร์นี้ที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ?ที่ศาสนิกชนของศาสนาต่างๆ ในทุกยุคเฝ้าคอยการเสด็จมาของพระศาสดาพยากรณ์ ?และเมื่อพระศาสดาตามพันธสัญญาเสด็จมาแล้ว พวกเขากลับปฏิเสธและเฝ้ารอต่อไป ?และชาวมุสลิมก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ดังที่พระบ๊อบพระศาสดาผู้เบิกทางให้แก่พระบาฮาอุลลาห์ ?ทรงลิขิตไว้ก่อนที่พระบาฮาอุลลาห์จะลิขิตคีตาบีอีคานว่า? หากสาวกของคัมภีร์โกรอ่านนำข้อพิสูจน์ทั้งหลายคล้ายกับที่ตนเสนอต่อพวกที่ไม่เชื่ออิสลาม ?มาใช้กับตนเอง ?จะไม่มีแม้ดวงวิญญาณเดียวที่ถูกพรากจากพระผู้เป็นสัจธรรม ?(Selections from the Writings of the Bab, p.120)

เหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับปรากฏการณ์เช่นนี้คือ ?คำพยากรณ์ทั้งหลายในคัมภีร์ต่างๆ เกี่ยวกับการเสด็จมาของพระศาสดาองค์ใหม่ในอนาคต ?มักลิขิตไว้ด้วยภาษาที่เป็นนัยและยากที่จะเข้าใจหรือตีความได้ถูกต้อง ศาสนิกชนของศาสนาต่างๆ จึงปฏิเสธพระศาสดาตามพันธสัญญาที่เสด็จมาเมื่อพบว่า ?ไม่ตรงกับคำพยากรณ์ต่างๆ ที่ตนตีความตามตัวอักษร ตัวอย่างหนึ่งเกี่ยวกับประเด็นนี้ที่พระบาฮาอุลลาห์ลิขิตไว้ในคัมภีร์เล่มนี้คือ?:

หากคำพยากรณ์ทั้งหลายที่บันทึกไว้ในกอสเปวบังเกิดขึ้นจริงตามตัวอักษร ?หากพระเยซูบุตรของแมรี่เสด็จลงมาจากนภาบนก้อนเมฆให้เห็นตำตาพร้อมกับเทวดา ?ใครหรือจะกล้าไม่เชื่อ ใครหรือจะกล้าปฏิเสธสัจธรรมและดูหมิ่น ?ไม่เพียงเท่านั้น ?ความอกสั่นขวัญหนีจะครอบงำทุกคนที่อาศัยอยู่บนพิภพอย่างทันใด จนไม่มีดวงวิญญาณใดสามารถเอ่ยสักคำ ?ไหนเลยจะปฏิเสธหรือยอมรับสัจธรรม เป็นเพราะความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสัจธรรมเหล่านี้เอง นักบวชคริสเตียนหลายคนจึงปฏิเสธพระโมฮัมหมัด ?และพูดคัดค้านด้วยถ้อยคำว่า?:? หากท่านเป็นศาสนทูตตามพันธสัญญาจริง ?เช่นนั้นทำไมท่านไม่มีเทวดามาด้วยตามที่คัมภีร์ศักดิ์สิทธ์ของเราทำนายไว้ ?ซึ่งจะต้องลงมากับพระผู้ทรงความงามตามพันธสัญญา เพื่อช่วยเหลือพระองค์ในการเปิดเผยพระธรรมและกระทำตนเป็นผู้เตือนประชาชนของพระองค์?

แม้คัมภีร์โกรอ่านจะระบุถึงพระศาสดามากมายในอดีตที่พระผู้เป็นเจ้าส่งมาเป็นลำดับ ?เพื่อสั่งสอนและนำทางมวลมนุษย์ แต่ด้วยสมญานามของพระโมฮัมหมัดที่ระบุไว้ในคัมภีร์โกรอ่านเช่นกันว่าเป็น ?ตราประทับของศาสนทูตทั้งหลาย ??ชาวมุสลิมจึงยืนยันว่า พระโมฮัมหมัดคือพระศาสดาองค์สุดท้ายและพระผู้เป็นเจ้าจะไม่ส่งพระศาสดามาอีก นัยนั้นก็คือ ชาวมุสลิมไม่ยอมรับพระบาฮาอุลลาห์ผู้ก่อตั้งศาสนาบาไฮเพราะถือว่าเสด็จมาหลังจากพระโมฮัมหมัด ?ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยในอดีตที่ชาวยิวไม่ยอมรับพระเยซูและพระโมฮัมหมัด เพราะถือว่าพระโมเสสคือพระศาสดาองค์สุดท้ายและพระผู้เป็นเจ้าจะไม่ส่งพระศาสดามาอีก ทำนองเดียวกันคริสเตียนก็ไม่ยอมรับพระโมฮัมหมัดเมื่อพระองค์เสด็จมา ?เพราะถือว่าพระเยซูคือพระศาสดาองค์สุดท้าย ความจริงนั้นชาวยิว คริสเตียนและชาวมุสลิมใช่ว่าจะไม่เชื่อว่า จะมีพระศาสดาเสด็จมาอีกหลังจากพระศาสดาของตน เพราะคัมภีร์ของพวกเขาก็พยากรณ์ถึงการเสด็จมาของพระศาสดาตามพันธสัญญาในอนาคต แต่พวกเขายืนยันว่าพระศาสดาตามพันธสัญญาของตนจะเสด็จมาส่งเสริมศาสนาเดิมของตนให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรไปทั่วโลก ?ไม่ใช่มายกเลิกกฎของศาสนาเดิมของตนและก่อตั้งศาสนาใหม่ บัญญัติกฎใหม่ เกี่ยวกับเรื่องนี้พระบาฮาอุลลาห์ลิขิตไว้ในคัมภีร์นี้ว่า?:

และเมื่อสมัยของพระโมเสสสิ้นสุดลง ?และแสงสว่างของพระเยซูส่องจากอรุโณทัยของพระวิญญาณมาอาบโลก ?ประชาชนทั้งหมดของอิสราเอลลุกขึ้นคัดค้านพระองค์ พวกเขาโวยวายว่าพระผู้ซึ่งการเสด็จมาของพระองค์คัมภีร์ไบเบิ้ลทำนายไว้ ?จะต้องเผยแพร่และทำตามกฎของพระโมเสส ทวาชายหนุ่มชาวนาซาลีนผู้นี้ที่อ้างสถานะของตนว่าเป็นพระเมไซยะ ได้ยกเลิกกฎการหย่าร้างและวันซาบาท ?ซึ่งเป็นกฎที่มีน้ำหนักที่สุดของพระโมเสส ยิ่งไปกว่านั้นมีอะไรที่เป็นสัญลักษณ์ของพระศาสดาที่จะเสด็จมา ?ประชาชนเหล่านี้ของอิสราเอลแม้กระทั่งตราบจนปัจจุบัน ?ก็ยังคาดหวังรอคอยพระศาสดาองค์นี้ที่คัมภีร์ไบเบิ้ลทำนายไว้!…

นอกจากวรรคนี้ยังมีวาทะอีกท่อนหนึ่งในกอสเปวซึ่งพระองค์?(พระเยซู)?ทรงกล่าวว่า?:? สวรรค์และโลกจะมลายไป?:?แต่วาทะของเราจะไม่มลายไป ?(ลุค 21:33)? ดังนี้บรรดาผู้สนับสนุนพระเยซูได้ยืนยันว่า ?กฎของกอสเปวจะไม่มีวันถูกยกเลิก และเมื่อใดก็ตามที่พระผู้ทรงความงามตามพันธสัญญาถูกแสดงให้เห็นชัด? พระองค์จะต้องยืนยันและสถาปนากฎที่ประกาศไว้ในกอสเปว ?เพื่อว่าจะไม่มีศาสนาใดเหลืออยู่ในโลกนอกจากศาสนาของพระองค์…

สิ่งหนึ่งที่เหล่านักบวชยิวนำมาหาเรื่องพระองค์?(พระโมฮัมหมัด)?คือ ?หลังจากพระโมเสสไม่ควรมีศาสนทูตถูกส่งมาจากพระผู้เป็นเจ้า ?ใช่แล้ว มีการกล่าวไว้ในคัมภีร์ทั้งหลายเกี่ยวกับดวงวิญญาณหนึ่งที่จะต้องถูกแสดงให้เห็นชัด ?ผู้ซึ่งจะทำให้ศาสนาของพระโมเสสก้าวหน้าและส่งเสริมประโยชน์ของประชาชนของพระองค์ เพื่อว่ากฎของยุคศาสนาของพระโมเสสจะห้อมล้อมทั้งพิภพ…

เป็นเวลากว่าหนึ่งพันปีพวกเขา?(ชาวมุสลิม)ได้สวดวจนะท่อนนี้ ?และประกาศคำตำหนิชาวยิวโดยไม่ตั้งใจ ?หารู้ไม่ว่าพวกเขาเองก็กำลังพูดความรู้สึกนึกคิดและความเชื่อของประชาชนชาวยิวอย่างเปิดเผยและเป็นการส่วนตัว!? แน่นอนว่าเจ้าทราบการโต้แย้งที่เหลวไหลของพวกเขาว่า ?การเปิดเผยพระธรรมทั้งหมดสิ้นสุดแล้ว อานนแห่งความปรานีสวรรค์ถูกปิดแล้ว ?จะไม่มีดวงอาทิตย์ขึ้นมาจากอรุโณทัยแห่งความวิสุทธิ์อนันต์อีก…

ดังที่เจ้าเห็นแล้วว่า ?ประชาชนแห่งคัมภีร์โกรอ่านซึ่งเหมือนกับประชาชนในอดีต ?ได้ยอมให้คำว่า ?ตราประทับของศาสนทูตทั้งหลาย ?มาบังตาของตนอย่างไร…

แม้ว่ามีคำพยากรณ์อันเป็นที่ยอมรับและวจนะท่อนต่างๆ ในคัมภีร์โกรอ่านที่ชี้บ่งศาสนาใหม่ ?กฎใหม่ และการเปิดเผยพระธรรมครั้งใหม่ ประชาชนรุ่นนี้ก็ยังคาดหวังรอคอยที่จะได้เห็นพระศาสดาตามพันธสัญญา ?ที่จะมาสนับสนุนกฎของยุคศาสนาของพระโมฮัมหมัด ทำนองเดียวกันชาวยิวและคริสเตียนก็ใช้ข้อโต้แย้งแบบนี้…

ผลที่ตามมาจากการไม่ยอมรับพระศาสดาที่เสด็จมาตามคำพยากรณ์คือ ?นักบวชยิวได้ปลุกระดมชาวยิวให้ต่อต้านและทำร้ายพระเยซูและพระโมฮัมหมัดเมื่อพระองค์เสด็จมา ?ผู้นำศาสนาคริสต์ได้ปลุกระดมให้คริสเตียนต่อต้านและทำร้ายพระโมฮัมหมัดเมื่อพระองค์เสด็จมา และประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอยอีก ?นักบวชมุสลิมได้ปลุกระดมประชาชนให้ต่อต้านและทำร้ายพระบ๊อบและพระบาฮาอุลลาห์เมื่อพระองค์เสด็จมา ตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์นี้ว่า?:

เนื่องด้วยเหล่านักบวชที่ยอมรับกันในยุคนั้น…ล้วนปฏิบัติต่อพระองค์?(พระโมฮัมหมัด)?ในฐานะที่เป็นผู้อวดอ้าง ?และประกาศว่าพระองค์เสียสติและเป็นผู้ใส่ร้าย…การกล่าวหาด้วยความประสงค์ร้ายเหล่านี้ได้ยั่วยุประชาชนให้ลุกขึ้นและทรมานพระองค์ ?และการทรมานนี้ดุร้ายเพียงไรหากเหล่านักบวชในยุคนั้นเป็นหัวหน้าผู้ยุยง หากพวกเขาประณามพระองค์ต่อเหล่าสาวกของตน ขับพระองค์ออกไปจากหมู่สาวก ?และประกาศว่าพระองค์เป็นผู้ร้าย!? สิ่งเดียวกันนี้ไม่ได้บังเกิดกับคนรับใช้ผู้นี้?(พระบาฮาอุลลาห์)?ดังที่ทุกคนเป็นพยานหรือ

สิ่งต่างๆ ที่ชาวยิวและคริสเตียนยึดถือ ?และการหาเรื่องที่พวกเขาถมใส่ความงามของพระโมฮัมหมัด ?สิ่งเดียวกันเหล่านี้เป็นที่สนับสนุนในยุคนี้โดยประชาชนแห่งคัมภีร์โกรอ่าน?(เมื่อพระบ๊อบและพระบาฮาอุลลาห์เสด็จมา)

ที่มาของคีตาบีอีคานซึ่งเป็นคัมภีร์เล่มที่สำคัญเป็นลำดับสองของพระบาฮาอุลลาห์รองจากคีตาบีอัคดัส ?เริ่มต้นจากการที่แม้ว่าพระบ๊อบจะสิ้นชีพไปแล้ว ลุงของพระบ๊อบคือฮาจี มีร์ซา ซียิด โมฮัมหมัดก็ยังมีข้อสงสัยคาใจอยู่ว่าพระบ๊อบคืออิหม่ามกาอิมที่เสด็จมาตามคำพยากรณ์ของอิสลาม (ชีอะห์) จริงหรือ ?และได้ขอให้พระบาฮาอุลลาห์ไขข้อสงสัยนี้ พระบาฮาอุลลาห์ทรงตอบสนองโดยการให้ลุงของพระบ๊อบเขียนรวบรวมข้อสงสัยทั้งหมดมาให้พระองค์ แล้วพระองค์ก็ลิขิตคัมภีร์เล่มนี้เป็นการตอบข้อสงสัยดังกล่าวโดยใช้เวลาสองวันสองคืน ?แม้โดยเบื้องต้นแล้วคีตาบีอีคานจะอรรถาธิบายพิสูจน์คำกล่าวอ้างของพระบ๊อบว่าได้บรรลุคำพยากรณ์ทั้งหลายของอิสลาม แต่ด้วยความรู้ความเข้าใจอย่างถ้วนทั่วเกี่ยวกับความคิดและคำสอนของอิสลามที่สะท้อนอยู่ในคัมภีร์เล่มนี้ ?ก็เป็นข้อพิสูจน์หนึ่งถึงความเป็นพระศาสดาของผู้ลิขิตคัมภีร์นี้เช่นกัน นอกเหนือจากการคำนึงถึงว่าเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์ธรรมดาจะสามารถเขียนคัมภีร์เช่นนี้ได้โดยใช้เวลาเพียงสองวัน

ด้วยการอภิปรายอย่างเรียบง่ายแต่แจ่มแจ้ง ?ลึกซึ้งและมีพลังซึ่งนำข้อพิสูจน์ของอิสลามมาใช้กับชาวมุสลิมเองอย่างไม่มีที่เสมอ ?คีตาบีอีคานจึงทรงอิทธิพลอย่างยิ่งและกลายเป็นกุญแจสำคัญที่ไขประตูให้ชาวมุสลิมมากมายเข้ามายอมรับศาสนาบาไฮ ?และมั่นใจว่าพระบ๊อบและพระบาฮาอุลลาห์คือการเสด็จกลับมาของอิหม่ามกาอิมและอิหม่ามฮุสเซนสำหรับนิกายชีอะห์ หรือการเสด็จกลับมาของอิหม่ามเมห์ดิและพระเยซูของนิกายซุนนี ?ซึ่งไม่เพียงเท่านั้นสำหรับบาไฮศาสนิกชนแล้ว การเสด็จมาของพระบ๊อบและพระบาฮาอุลลาห์เป็นการบรรลุคำพยากรณ์ของทุกศาสนาในอดีต รวมถึงการเสด็จกลับมาของจอห์นเดะแบบติสท์และพระเยซูของศาสนาคริสต์ ?และการเสด็จมาของพระโพธิสัตว์กวนอิมและพระอมิตาภะ (พระศรีอาริยเมตไตรย์) ของศาสนาพุทธ

อย่างไรก็ตามคำอธิบายที่รวบรัดและครอบคลุมเนื้อหาของคัมภีร์นี้อย่างไม่มีที่เสมอ ?ได้ให้ไว้โดยท่านศาสนภิบาลโชกิ เอฟเฟนดิ ดังนี้?:

คีตาบีอีคาน (คัมภีร์แห่งความมั่นใจ) ซึ่งถูกเปิดเผยระหว่างเวลาสองวันสองคืนในปีท้ายๆ ของช่วงเวลานี้ (ค.ศ.1862) ?คัมภีร์นี้ถูกลิขิตขึ้นตรงตามคำพยากรณ์ของพระบ๊อบ ผู้กล่าวไว้อย่างเจาะจงว่าพระศาสดาตามพันธสัญญาจะเติมเนื้อหาของคัมภีร์บายันภาษาเปอร์เซียที่ยังไม่จบให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ?และเป็นการตอบคำถามที่ตั้งกับพระบาฮาอุลลาห์โดยลุงฝ่ายมารดาของพระบ๊อบที่ยังไม่เปลี่ยนศาสนาคือฮาจี มีร์ซา ซียิด โมฮัมหมัด ระหว่างที่มาเยือนกาบิลากับน้องชาย ฮาจี มีร์ซา ฮาซัน อาลี ?ด้วยเป็นแบบฉบับของกลอนเปอร์เซียที่มีลักษณะดั้งเดิม เรียบง่ายและมีพลัง และแจ่มแจ้งอย่างเหลือเชื่อทั้งในการอภิปรายเหตุผลที่มีน้ำหนักและความคมคายที่ต้านไม่อยู่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ?คัมภีร์นี้ด้วยการกล่าวอย่างกว้างๆ ถึงแผนการไถ่บาปที่ยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า อยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีเสมอในผลงานวรรณกรรมบาไฮทั้งหมด เว้นแต่คีตาบีอัคดัสซึ่งเป็นคัมภีร์ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของพระบาฮาอุลลาห์ ?ถูกเปิดเผยเมื่อการประกาศพันธกิจของพระองค์ใกล้เข้ามา คัมภีร์นี้หยิบยื่น? อมฤตชั้นเยี่ยมที่ปิดผนึกไว้ ?ให้แก่มนุษยชาติ ?ซึ่งผนึกนี้เป็นของ ?ชะมดเชียง ??และเปิด ?ผนึก ?ของ ?คัมภีร์ ?ที่ดาเนียลกล่าวถึง ?อีกทั้งเปิดเผยความหมายของ ?วจนะ ?ที่ถูกลิขิตให้ ?ถูกปิดไว้ ?จนกว่าจะถึง ?เวลาอวสาน

ภายในเนื้อที่สองร้อยหน้า ?คัมภีร์นี้ประกาศอย่างไม่คลุมเครือถึงการดำรงอยู่และความเป็นหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้าที่ไม่มีทางรู้ได้และเข้าไม่ถึง ?ผู้เป็นบ่อเกิดของการเปิดเผยพระธรรมทั้งหมด ทรงความนิรันดร์ รอบรู้ สถิตอยู่ทุกแห่งหนและทรงมหิทธานุภาพ คัมภีร์นี้ยืนยันความสัมพัทธ์ของสัจธรรมของศาสนาและความต่อเนื่องของการเปิดเผยพระธรรมสวรรค์ ?ยืนยันเอกภาพของศาสนทูตทั้งหลาย ความเป็นสากลของพระธรรมของศาสนทูต ความเหมือนกันของคำสอนมูลฐาและความวิสุทธิ์ของคัมภีร์ของศาสนทูตทั้งหลาย และสองลักษณะของสถานะของศาสนทูต ประณามความตาบอดและความวิปริตของบรรดานักบวชและผู้มากด้วยความรู้ในทุกยุค ?อ้างถึงและให้ความกระจ่างวรรคต่างๆ ที่เป็นอุปมาในคัมภีร์ใหม่ วจนะที่เข้าใจยากในคัมภีร์โกรอ่าน และคำสอนที่เป็นปริศนาของพระโมฮัมหมัดที่ได้ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ความสงสัยและความเป็นปรปักษ์มานานนับยุค ซึ่งได้ฉีกและแยกสาวกทั้งหลายของระบบศาสนาแนวหน้าของโลกออกจากกัน ?แจกแจงเงื่อนไขที่จำเป็นของผู้แสวงหาที่แท้จริงทุกคนสำหรับการค้นพบสิ่งที่ตนแสวงหา สาธิตความน่าเชื่อถือ ความเป็นเยี่ยมและนัยสำคัญของการเปิดเผยพระธรรมของพระบ๊อบ แซ่ซ้องสรรเสริญความเป็นวีรบุรุษและความปล่อยวางของเหล่าสาวกของพระองค์ บอกล่วงหน้าและพยากรณ์ชัยชนะทั่วโลกของการเปิดเผยพระธรรมที่สัญญาไว้กับประชาชนแห่งคัมภีร์บายัน ?ยืนยันความบริสุทธิ์ไร้ราคีของพระนางแมรี่ผู้เป็นพรหมจารีย์ สดุดีบรรดาอิหม่ามของศาสนาของพระโมฮัมหมัด สรรเสริญการพลีชีพเพื่อศาสนาและธรรมาธิปไตยของอิหม่ามฮุสเซน คลี่คลายความหมายของพจน์ที่เป็นสัญลักษณ์เช่น ?การกลับมา ??การฟื้นคืนชีพ ??ตราประทับของศาสนทูตทั้งหลาย ?และ ?วันแห่งการพิพากษา ?พรรณนาอย่างกว้างๆและแยกให้เห็นความแตกต่างระหว่างการเปิดเผยพระธรรมสามระยะ ?สาธยายความรุ่งโรจน์และน่าพิศวงของ ?นครของพระผู้เป็นเจ้า ?ด้วยคำสรรเสริญอย่างสูง ซึ่งนครนี้ได้รับการฟื้นฟูใหม่ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้โดยยุคศาสนาภายใต้การบริบาลของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อการนำทาง ประโยชน์และความรอดพ้นของมนุษยชาติ ควรกล่าวอ้างได้ว่าในบรรดาคัมภีร์ทั้งหมดที่ลิขิตโดยพระศาสดาผู้เปิดเผยพระธรรมบาไฮ คัมภีร์นี้เพียงเล่มเดียวโดยการปัดกวาดอุปสรรคที่มีมาตลอดยุคสมัย ?ซึ่งได้แยกศาสนาที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายของโลกออกจากกันอย่างจัดการไม่ได้ ได้วางรากฐานที่กว้างและทำลายไม่ได้สำหรับการปรองดองสาวกของศาสนาต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์และถาวร

ภาคที่หนึ่ง

ในนามของพระผู้เป็นนายของเรา ?พระผู้ทรงความประเสริฐ พระผู้ทรงความสูงส่งที่สุด

ไม่มีมนุษย์คนใดไปถึงชายฝั่งมหาสมุทรแห่งความเข้าใจที่แท้จริง ?เว้นแต่ว่าเขาจะปล่อยวางจากทุกสิ่งที่อยู่ในสวรรค์และบนโลก ดูกร ?พวกเจ้าประชาชนทั้งหลายของโลก จงชำระวิญญาณของเจ้าให้บริสุทธิ์ เพื่อว่าเจ้าจะบรรลุถึงสถานะที่พระผู้เป็นเจ้าลิขิตไว้สำหรับเจ้า ?และดังนี้เข้าไปในวิหารที่ก่อขึ้นมาบนฟากฟ้าแห่งคัมภีร์บายันตามการอนุญาตของพระผู้เป็นเจ้า

สาระของวจนะเหล่านี้คือ?:?บรรดาผู้ที่ย่างเท้าบนหนทางแห่งความศรัทธา ?บรรดาผู้ที่กระหายอมฤตแห่งความมั่นใจ ต้องชำระทุกสิ่งทางโลกให้หมดไปจากตน ?นั่นคือ ชำระวาจาที่เหลวไหลออกไปจากหูของตน ชำระจินตนาการที่ไร้สาระออกไปจากจิตใจของตน ?ชำระเสน่หาทางโลกออกไปหัวใจของตน ชำระสิ่งที่จะต้องมอดม้วยออกไปจากดวงตาของตน พวกเขาควรวางใจในพระผู้เป็นเจ้า ?และไปตามหนทางของพระองค์ด้วยความยึดมั่นในพระองค์ เมื่อนั้นพวกเขาจะคู่ควรกับความรุ่งโรจน์โชติช่วงของดวงอาทิตย์แห่งความรู้และความเข้าใจของพระผู้เป็นเจ้า ?และกลายเป็นผู้รับกรุณาธิคุณที่ไม่มีสิ้นสุดและมองไม่เห็น เนื่องด้วยมนุษย์ไม่มีหวังที่จะเข้าถึงความรู้เกี่ยวกับพระผู้ทรงความรุ่งโรจน์ ไม่มีทางจะได้ดื่มจากสายธารแห่งความรู้ของพระผู้เป็นเจ้า ?ไม่มีทางจะเข้าไปในที่พำนักแห่งความเป็นอมตะ หรือได้ดื่มจากถ้วยแห่งความใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้า นอกจากและจนกว่าเขาจะยุติการถือเอาถ้อยคำและการกระทำของของมนุษย์ที่จะต้องตาย มาเป็นมาตรฐานสำหรับความเข้าใจที่แท้จริงและการยอมรับพระผู้เป็นเจ้าและศาสนทูตทั้งหลายของพระองค์

จงพิจารณาดูอดีต ?ทั้งคนชั้นสูงและคนต่ำต้อยจำนวนมากมายเพียงไรได้เฝ้าคอยการมาถึงของพระศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าในวรกายของผู้ที่พระองค์เลือกสรร ?บ่อยแค่ไหนที่พวกเขาคาดหวังการเสด็จมาของพระองค์ บ่อยแค่ไหนที่พวกเขาอธิษฐานขอให้สายลมแห่งความปรานีของพระผู้เป็นเจ้าพัดมา ขอให้พระผู้ทรงความงามตามพันธสัญญาก้าวออกมาจากม่านที่ปกปิด ?และถูกแสดงให้เห็นชัดต่อโลกทั้งหมด และเมื่อใดก็ตามที่อานนแห่งกรุณาธิคุณเปิดออก และเมฆแห่งความอารีสวรรค์หลั่งฝนลงมายังมนุษยชาติ และแสงสว่างของพระผู้ที่มองไม่เห็นส่องอยู่บนขอบฟ้าแห่งอำนาจสวรรค์ ?พวกเขาล้วนปฏิเสธพระองค์ และหันหนีไปจากพระพักตร์ของพระองค์ พระพักตร์ของพระผู้เป็นเจ้าเอง จงไปดูสิ่งที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ทุกเล่มเพื่อยืนยันสัจธรรมนี้

จงไตร่ตรองสักขณะหนึ่ง ?และใคร่ครวญดูสิ่งที่เป็นสาเหตุของการปฏิเสธดังกล่าวโดยบรรดาผู้ที่ได้แสวงหาด้วยความปรารถนาและจริงจัง ?การโจมตีของพวกเขาดุร้ายเกินกว่าที่ลิ้นหรือปากกาใดจะพรรณนา ไม่มีพระผู้แสดงความวิสุทธิ์องค์ใดมาปรากฏโดยไม่เดือดร้อนเพราะการปฏิเสธ ?การไม่ยอมรับ และการต่อต้านอย่างดุเดือดของประชาชนรอบๆ พระองค์ ดังนี้เป็นที่เปิดเผยไว้ว่า?:? ดูกร ?ผู้น่าเวทนา!? ไม่มีธรรมทูตองค์ใดเสด็จมายังพวกเขา ?โดยที่พวกเขาไม่หัวเราะเยาะพระองค์อย่างดูถูก ?(โกรอ่าน 36:30)? อีกครั้งหนึ่งพระองค์ทรงกล่าวว่า?:? แต่ละชาติวางอุบายมืดคุกคามธรรมทูตของตนเพื่อจะใช้ความรุนแรงกับพระองค์ ?และโต้แย้งด้วยถ้อยคำไร้สาระเพื่อจะแสดงความไม่ถูกต้องของสัจธรรม ?(โกรอ่าน 40:5)

ทำนองเดียวกันวจนะที่หลั่งไหลมาจากบ่อเกิดแห่งอานุภาพและลงมาจากนภาแห่งความรุ่งโรจน์นั้นสุดคณานับ ?และเกินความเข้าใจธรรมดาของมนุษย์ สำหรับบรรดาผู้ที่มีความเข้าใจและการหยั่งเห็นที่แท้จริง ซูระห์แห่งฮูดนั้นเพียงพออย่างแน่นอน ?จงไตร่ตรองวจนะศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ในหัวใจของเจ้าสักพัก และพยายามทำความเข้าใจความหมายของวจนะดังกล่าวด้วยความปล่อยวางอย่างสิ้นเชิง ?จงตรวจสอบความประพฤติที่น่าพิศวงของศาสนทูตทั้งหลาย และระลึกถึงการหมิ่นประมาทและการปฏิเสธที่เอ่ยโดยบุตรหลานแห่งการปฏิเสธและความจอมปลอม ?เพื่อว่าเจ้าอาจจะดลให้วิหคแห่งหัวใจของมนุษย์บินจากที่พำนักแห่งความไม่เอาใจใส่และความสงสัยไปยังรังแห่งความศรัทธาและความแน่ใจ อาจจะได้ดื่มน้ำลึกบริสุทธิ์แห่งอัจฉริยภาพบรมโบราณ ?และทานผลไม้จากพฤกษาแห่งความรู้สวรรค์ ดังกล่าวคือส่วนแบ่งขนมปังสำหรับผู้ที่มีหัวใจบริสุทธิ์ ซึ่งถูกส่งลงมาจากอาณาจักรแห่งนิรันดรกาลและความวิสุทธิ์

หากเจ้าทำความคุ้นเคยกับการดูหมิ่นเหยียดหยามศาสนทูตทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้า ?และเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงของการเปล่งเสียงคัดค้านโดยบรรดาผู้ที่กดขี่พระศาสดาเหล่านั้น ?แน่นอนว่าเจ้าจะรู้ซึ้งถึงนัยของตำแหน่งของพระศาสดา ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งเจ้าสังเกตการปฏิเสธของบรรดาผู้ที่ต่อต้านพระผู้แสดงคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้าอย่างใกล้ชิดเท่าไร ?ความศรัทธาของเจ้าในศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าก็จะยิ่งมั่นคง ดังนี้ในธรรมจารึกนี้จะมีการกล่าวโดยย่อถึงเรื่องราวต่างๆ ที่สัมพันธ์กับศาสนทูตทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อสาธิตความจริงที่ว่าตลอดทุกยุคและศตวรรษ ?บรรดาพระผู้แสดงอานุภาพและความรุ่งโรจน์ถูกกระทำอย่างทารุณโหดร้ายจนไม่มีปากกาใดกล้าพรรณนา นี้อาจช่วยให้บางคนหายวิตกต่อเสียงเรียกร้องและการประท้วงของบรรดานักบวชและผู้โง่เง่าในยุคนี้ และทำให้ความมั่นใจและความแน่ใจของพวกเขาเข้มแข็งขึ้น

หนึ่งในศาสนทูตทั้งหลายคือโนอาห์ ?เป็นเวลาเก้าร้อยห้าสิบปีที่พระองค์เคี่ยวเข็ญประชาชนของพระองค์ด้วยใจอธิษฐาน ?และเรียกพวกเขามายังสถานที่แห่งความปลอดภัยและสันติสุข อย่างไรก็ตามไม่มีใครสนใจคำเรียกร้องของพระองค์ ?แต่ละวันพวกเขาทำให้วรกายของพระองค์เจ็บปวดและทรมานจนไม่มีใครเชื่อว่าพระองค์จะอยู่รอดมาได้ พวกเขาปฏิเสธพระองค์บ่อยแค่ไหน ?พวกเขาแสดงท่าทีสงสัยพระองค์ด้วยความคิดร้ายอย่างไร!? ดังนี้เป็นที่เปิดเผยไว้ว่า?:? ประชาชนของพระองค์กลุ่มหนึ่งเยาะเย้ยพระองค์ทุกครั้งที่พวกเขาเดินผ่านพระองค์ ?พระองค์กล่าวต่อพวกเขาว่า?: ?แม้ว่าเจ้าเยาะเย้ยเราตอนนี้ ?เราจะเยาะเย้ยเจ้าหลังจากนี้ดังที่เจ้าเยาะเย้ยเรา ?ในตอนจบเจ้าจะรู้? ?(โกรอ่าน 11:38)? เป็นเวลานานหลังจากนั้น ?พระองค์ให้สัญญาหลายครั้งต่อสหายทั้งหลายว่าพวกเขาจะได้รับชัยชนะ ?และทรงกำหนดชั่วโมงแห่งชัยชนะดังกล่าว แต่เมื่อชั่วโมงนั้นมาถึง คำสัญญาสวรรค์นี้ไม่บังเกิดขึ้น ?สิ่งนี้ทำให้สาวกที่มีจำนวนน้อยของพระองค์บางคนหันหนีไป และบันทึกที่อยู่ในคัมภีร์ต่างๆ ที่รู้จักกันดีที่สุดให้การยืนยันเรื่องนี้ ?เจ้าต้องได้อ่านคัมภีร์เหล่านี้อย่างถี่ถ้วนแล้วแน่นอน ถ้ายัง เจ้าจะได้อ่านอย่างไม่ต้องสงสัย ในที่สุดตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์และคำสอนทั้งหลาย ?เหลือสาวกอยู่กับพระองค์เพียงสี่สิบหรือเจ็ดสิบสองคน สุดท้ายแล้วพระองค์ร้องอย่างดังจากส่วนลึกของชีวิตว่า?:? พระผู้เป็นนาย!?ขออย่าให้เหลือพวกที่ไม่เชื่ออาศัยอยู่ในดินแดนสักคนเดียว ?(โกรอ่าน 71:26)

และบัดนี้จงพิจารณาและใคร่ครวญดูสักขณะเกี่ยวกับความหลงผิดของประชาชนเหล่านี้ ?อะไรคือเหตุผลสำหรับการปฏิเสธและการหลีกเลี่ยงดังกล่าวของพวกเขา ?อะไรชักนำพวกเขาไม่ให้ถอดภูษาแห่งการปฏิเสธ ?และสวมเสื้อคลุมแห่งการยอมรับ ?ยิ่งไปกว่านั้นอะไรทำให้คำสัญญาสวรรค์ไม่บังเกิดขึ้น ซึ่งพาให้บรรดาผู้แสวงหาปฏิเสธสิ่งที่พวกเขายอมรับแล้ว ??จงทำสมาธิใคร่ครวญให้ลึกซึ้ง เพื่อว่าความลับของสิ่งต่างๆ ที่มองไม่เห็นจะถูกเปิดเผยต่อเจ้า เพื่อว่าเจ้าจะได้สูดมธุราของสุคนธรสทางธรรมที่ไม่รู้สิ้น ?เพื่อว่าเจ้าจะยอมรับสัจธรรมที่ว่าตั้งแต่โบราณกาลตราบจนนิรันดรกาล พระผู้ทรงมหิทธานุภาพได้ไต่สวนและจะไต่สวนคนรับใช้ทั้งหลายของพระองค์ต่อไป เพื่อว่าแสงสว่างจะแยกได้จากความมืด ?สัจธรรมจะแยกได้จากความจอมปลอม ความถูกจะแยกได้จากความผิด การนำทางจะแยกได้จากความหลงผิด ความสุขจะแยกได้จากทุกขเวทนา และดอกกุหลาบจะแยกได้จากหนาม ดังที่พระองค์ทรงเปิดเผยไว้ว่า?:? เมื่อกล่าวว่า? เราเชื่อ ? มนุษย์คิดหรือว่าพวกเขาจะถูกปล่อยไว้ไม่ถูกทดสอบ ??(โกรอ่าน 29:2)

และหลังจากโนอาห์แสงสว่างจากพระพักตร์ของฮูดส่องบนขอบฟ้าแห่งสรรพโลก ?เป็นเวลาเกือบเจ็ดร้อยปีตามคำบอกเล่าของผู้คน พระองค์ทรงเคี่ยวเข็ญประชาชนให้หันหน้าและเข้ามาหาเรซวานแห่งการปรากฏองค์ของพระผู้เป็นเจ้า ?ความเดือดร้อนหลั่งมายังพระองค์ราวกับห่าฝนจนกระทั่งในที่สุด คำวิงวอนของพระองค์ก่อให้เกิดการพยศยิ่งขึ้น และความอุตสาหะอย่างขยันขันแข็งของพระองค์ทำให้ประชาชนของพระองค์ตาบอดอย่างจงใจ ??และความไม่เชื่อของพวกเขามีแต่จะเพิ่มโทษให้แก่พวกเขาเองในโลกันตร์ ?(โกรอ่าน 35:39)

และหลังจากพระองค์มีผู้วิสุทธิ์ปรากฏขึ้นมาจากเรซวานของพระผู้ทรงความนิรันดร์ ?พระผู้ที่มองไม่เห็น นั่นคือซาลีห์ผู้ซึ่งเช่นกันได้เรียกประชาชนให้มายังแม่น้ำแห่งชีวิต ?เป็นเวลากว่าหนึ่งร้อยปีที่พระองค์ทรงตักเตือนพวกเขาให้ยึดมั่นบทบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า และหลีกหนีสิ่งที่ต้องห้าม ?อย่างไรก็ตามคำตักเตือนของพระองค์ไม่บังเกิดผล และการวิงวอนของพระองค์ไม่เกิดประโยชน์ พระองค์ออกไปใช้ชีวิตสันโดษหลายครั้ง ?ทั้งหมดนี้แม้ว่าพระผู้ทรงความงามนิรันดร์นี้กำลังเรียกประชาชนไม่ให้ไปที่ใดนอกจากนครของพระผู้เป็นเจ้า ดังที่เปิดเผยไว้ว่า?:? และเราส่งภราดรของพวกเขาคือซาลีห์ไปยังชนเผ่าทะมุด ?พระองค์ทรงกล่าวว่า? ดูกร ?ประชาชนของเรา ?จงบูชาพระผู้เป็นเจ้า ?เจ้าไม่มีพระผู้เป็นเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์… ? พวกเขาตอบว่า?: ?ข้าแต่ซาลีห์ ?เราตั้งความหวังไว้กับท่านจนกระทั่งบัดนี้ ?ท่านจะห้ามไม่ให้เราบูชาสิ่งที่บิดาของเราบูชาหรือ ??เราระแวงจริงๆ ว่าสิ่งที่ท่านเรียกเราให้ไปหานั้นไม่น่าไว้ใจ? ?(โกรอ่าน 11:61,62)? ทั้งหมดนี้ไม่บังเกิดผล ?จนกระทั่งสุดท้ายนั้นมีเสียงร้องที่ยิ่งใหญ่เปล่งขึ้นมา ?และทุกคนตกลงไปในโลกันตร์

ต่อมาภายหลังความงามของพระพักตร์ของพระสหายของพระผู้เป็นเจ้า?(พระอับราฮัม)?ปรากฏออกมาจากหลังม่าน ?และธงแห่งการนำทางสวรรค์อีกผืนหนึ่งถูกสาวขึ้น ?พระองค์เชิญประชาชนของโลกให้มาหาแสงสว่างแห่งความชอบธรรม ?พระองค์ยิ่งทุ่มเทใจเคี่ยวเข็ญพวกเขามากเท่าไร ความอิจฉาและความหลงผิดของประชาชนก็ยิ่งดุร้ายมากเท่านั้น ?ยกเว้นประชาชนที่ปล่อยวางจากทุกสิ่งนอกจากพระผู้เป็นเจ้า และบินด้วยปีกแห่งความแน่ใจขึ้นไปถึงสถานะที่พระผู้เป็นเจ้าเชิดชูไว้เหนือความเข้าใจของมนุษย์ ?เป็นที่รู้กันดีว่ากองทัพขนาดไหนของศัตรูปิดล้อมพระองค์ จนกระทั่งสุดท้ายแล้วไฟแห่งความอิจฉาและความพยศถูกจุดขึ้นมาต่อต้านพระองค์ และตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์และบันทึกเหตุการณ์ทั้งหมด ?หลังจากที่เกิดการจุดไฟดังกล่าว พระองค์ผู้ทรงเป็นตะเกียงของพระผู้เป็นเจ้าท่ามกลางมนุษย์ ถูกขับไล่ออกจากเมือง

และเมื่อยุคของพระองค์สิ้นสุดลงก็มาถึงคราวของพระโมเสส ?ด้วยทรงถือคทาแห่งอธิปไตยสวรรค์ ประดับด้วยมือขาวแห่งความรู้สวรรค์ ?ออกมาจากปารานแห่งความรักของพระผู้เป็นเจ้า และควงงูแห่งอานุภาพและราชศักดานิรันดร์เป็นอาวุธ ?พระองค์ส่องแสงจากไซนายแห่งแสงสว่างมายังโลก พระองค์เรียกประชาชนและวงศ์ตระกูลทั้งหมดของโลกให้มายังอาณาจักรแห่งนิรัดรกาล ?และเชิญพวกเขาให้ทานผลไม้จากพฤกษาแห่งความซื่อสัตย์ แน่นอนว่าเจ้าตระหนักดีเกี่ยวกับการต่อต้านอย่างดุร้ายของฟาโรห์และประชาชนของเขา ?และก้อนหินแห่งความเพ้อฝันอันเหลวไหลที่มือของพวกไม่มีศาสนาขว้างใส่พฤกษาที่วิสุทธิ์นี้ ซึ่งร้ายแรงอย่างยิ่งจนในที่สุดฟาโรห์และประชาชนของเขาลุกขึ้น ?และพยายามสุดกำลังที่จะดับไฟของพฤกษาศักดิ์สิทธิ์นี้ด้วยน้ำแห่งความไม่จริงและการปฏิเสธ โดยหารู้สัจธรรมไม่ว่า ไม่มีน้ำทางโลกที่สามารถดักเปลวไฟแห่งอัจฉริยภาพสวรรค์ ?ไม่มีพายุมรณะที่สามารถดับตะเกียงแห่งอำนาจปกครองนิรันดร์ ไม่เพียงเท่านั้น น้ำดังกล่าวมีแต่จะทำให้เปลวไฟนี้เผาอย่างร้อนแรงยิ่งขึ้น และพายุดังกล่าวมีแต่จะรับประกันการปกปักรักษาตะเกียงนี้ ?หากเจ้าสังเกตด้วยดวงตาที่หยั่งเห็น และเดินในหนทางแห่งพระประสงค์ที่ศักดิ์สิทธิ์และความยินดีของพระผู้เป็นเจ้า ศาสนิกชนคนหนึ่งจากวงศ์ตระกูลของฟาโรห์ ซึ่งเรื่องราวของเขาพระผู้ทรงความรุ่งโรจน์เล่าไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ที่เปิดเผยต่อพระผู้เป็นที่รักยิ่งของพระองค์ ?ได้ให้ข้อสังเกตไว้อย่างดีเพียงไร?:? และชายคนหนึ่งจากครอบครัวของฟาโรห์ซึ่งเป็นศาสนิกชนและปกปิดความศรัทธาของตนไว้กล่าวว่า?:? ท่านจะสังหารชายคนหนึ่งเพราะเขากล่าวว่า ?พระผู้เป็นนายของข้าพเจ้าคือพระผู้เป็นเจ้าหรือ ?ในเมื่อพระองค์เสด็จมายังท่านแล้วด้วยสัญลักษณ์ต่างๆ จากพระผู้เป็นนายของท่าน ??หากเขาเป็นคนมดเท็จ ความมดเท็จจะอยู่กับเขา แต่ถ้าหากเขาเป็นบุรุษแห่งสัจธรรม ส่วนหนึ่งที่เขาขู่เข็ญจะตกอยู่กับท่าน ?ความจริงแล้วพระผู้เป็นเจ้าไม่นำทางให้ผู้ละเมิด ผู้มดเท็จ? ?(โกรอ่าน 40:28)? ในที่สุดด้วยความไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งของพวกเขา ?ศาสนิกชนคนเดียวกันนี้ถูกสังหารอย่างน่าอดสู ?การสาปแช่งของพระผู้เป็นเจ้าจงตกอยู่กับประชาชนที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ?(โกรอ่าน 11:21)

และบัดนี้จงไตร่ตรองดูสิ่งเหล่านี้ ?อะไรที่สามารถก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาทดังกล่าว ??ทำไมการเสด็จมาของพระศาสดาที่แท้จริงของพระผู้เป็นเจ้าทุกองค์ ?มากับความขัดแย้งและความอลหม่าน การวางอำนาจบาตรใหญ่และความโกลาหลดังกล่าว ??ทั้งนี้แม้ว่าความจริงแล้วศาสนทูตทั้งหมดของพระผู้เป็นเจ้า เมื่อใดก็ตามที่ถูกแสดงให้เห็นชัดต่อประชาชนทั้งหลายของโลก ?ได้ทำนายการมาของศาสนทูตอีกองค์หนึ่งหลังจากตนเสมอ และทรงกำหนดสัญลักษณ์ต่างๆ ที่จะนำมาก่อนการมาถึงของยุคศาสนาในอนาคต บันทึกต่างๆ ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดเป็นพยานต่อสิ่งนี้ ?เช่นนั้นแล้วทั้งๆ ที่มนุษย์ทั้งหลายมีความคาดหวังในการแสวงหาพระผู้แสดงความวิสุทธิ์ และทั้งๆ ที่มีสัญลักษณ์ต่างๆ ที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ทำไมจึงมีการกระทำที่รุนแรง ?กดขี่และโหดร้ายในทุกยุคและทุกวัฏจักร เป็นการต่อต้านศาสนทูตและผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าเลือกสรรทุกองค์ ?ดังที่พระองค์ทรงเปิดเผยไว้ว่า?:? ทุกครั้งที่พระผู้เป็นอัครสาวกเสด็จมากับสิ่งที่วิญญาณของเจ้าไม่ปรารถนา ?เจ้าลำพองด้วยความทะนง โดยกล่าวหาบางองค์ว่าเป็นผู้หลอกลวง และสังหารองค์อื่น ?(โกรอ่าน 2:87)

จงใคร่ครวญดู ?อะไรคือแรงจูงใจสำหรับการกระทำดังกล่าว ??อะไรสามารถก่อให้เกิดการประพฤติตัวดังกล่าวต่อพระผู้เปิดเผยความงามของพระผู้ทรงความรุ่งโรจน์ ??อะไรก็ตามที่เคยเป็นเหตุของการปฏิเสธและการต่อต้านของประชาชนเหล่านั้นในยุคต่างๆ ที่ผ่านมา เวลานี้ได้นำไปสู่ความวิปริตของประชาชนในยุคนี้ ?การยืนยันว่าข้อยืนยันของพระผู้เป็นเจ้าไม่สมบูรณ์ และดังนั้นจึงเป็นเหตุของการปฏิเสธของประชาชน เป็นเพียงการหมิ่นประมาทศาสนาอย่างเปิดเผย การเลือกวิญญาณดวงหนึ่งจากหมู่มนุษย์ทั้งมวลให้มานำทางบรรดาผู้ที่พระองค์สร้าง ?แต่ไม่ให้ข้อยืนยันที่บริบูรณ์ของพระผู้เป็นเจ้าแก่วิญญาณดวงนี้ แล้วลงโทษประชาชนของพระองค์อย่างรุนแรงฐานที่หันหนีไปจากพระผู้ที่พระองค์เลือกสรรนี้ ช่างเป็นสิ่งที่ห่างไกลจากกรุณาธิคุณของพระผู้ทรงโอบอ้อมอารี การบริบาลด้วยความรักและความเมตตาปรานีของพระองค์เพียงไร!? ไม่เพียงเท่านั้น ?พระพรอเนกอนันต์ของพระผู้เป็นนายของทุกชีวิตที่ผ่านมาทางพระผู้แสดงสาระของพระองค์ ?ได้ห้อมล้อมโลกและทุกคนที่อาศัยอยู่ในโลกอยู่ตลอดเวลา ไม่มีแม้ชั่วขณะที่กรุณาธิคุณของพระองค์จะหยุดลง ?หรือความเมตตารักใคร่ของพระองค์จะหยุดหลั่งมายังมนุษยชาติ ดังนั้นความประพฤติดังกล่าวไม่สามารถถือได้ว่าเป็นผลมาจากสิ่งใด ?นอกจากจิตใจอันคับแคบของเหล่าดวงวิญญาณที่ย่างเท้าบนหุบเขาแห่งจองหองและความทะนง หลงทางอยู่ในชนบทแห่งความห่างไกล เดินอยู่ในหนทางแห่งความเพ้อฝันอันเหลวไหล ?และทำตามบงการของบรรดาผู้นำของศาสนาของตน พวกเขาสนใจแต่เพียงการต่อต้านเป็นหลัก ความปรารถนาเดียวของพวกเขาคือการละเลยสัจธรรม สำหรับผู้สังเกตทุกคนที่หยั่งเห็น ?เป็นที่ประจักษ์ว่าและเห็นชัดว่า ในยุคของพระผู้แสดงดวงอาทิตย์แห่งสัจธรรมแต่ละพระองค์ หากประชาชนเหล่านี้ชำระดวงตา หูและหัวใจของตนให้ปลอดจากสิ่งใดก็ตามที่ตนได้เห็น ?ได้ยินและรู้สึก แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ถูกพรากจากการได้เห็นความงามของพระผู้เป็นเจ้า หรือหลงไกลไปจากสันนิวาสแห่งความรุ่งโรจน์ แต่หลังจากที่ได้ชั่งข้อยืนยันของพระผู้เป็นเจ้าด้วยมาตรฐานความรู้ของตนเอง ?ที่ดึงมาจากคำสอนของบรรดาผู้นำของศาสนาของตน และพบว่าขัดกับความเข้าใจที่จำกัดของตน พวกเขาได้ลุกขึ้นกระทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมดังกล่าว

ผู้นำศาสนาทั้งหลายในทุกยุคได้ขัดขวางประชาชนไม่ให้ไปถึงชายฝั่งแห่งความรอดพ้นนิรันดร์ ?เนื่องด้วยพวกเขากุมบังเหียนอำนาจอยู่ในเงื้อมมืออันฉกาจ บางคนเป็นเพราะตัณหาอยากเป็นผู้นำ ?บางคนเป็นเพราะไม่รู้ไม่เข้าใจ พวกเขาจึงเป็นเหตุให้ประชาชนถูกพราก โดยการรับรองและอำนาจหน้าที่ของพวกเขา ?ศาสนทูตทุกองค์ของพระผู้เป็นเจ้าได้ดื่มถ้วยน้ำแห่งการเสียสละ และบินขึ้นไปสู่ยอดแห่งความรุ่งโรจน์ บรรดาผู้ครองตำแหน่งที่มีอำนาจหน้าที่และวิชา ?ได้กระทำความโหดร้ายสุดจะพรรณนาเช่นไรต่อราชันที่แท้จริงทั้งหลายของโลก ผู้เป็นมณีแห่งคุณความดีสวรรค์!? ด้วยพอใจกับอธิปไตยที่ไม่จิรัง ?พวกเขาได้พรากตนเองจากอธิปไตยนิรันดร์ ?ดังนี้ดวงตาของพวกเขาจึงไม่เห็นแสงสว่างจากพระพักตร์ของพระผู้เป็นที่รักยิ่ง ?หูของพวกเขามิได้เงี่ยฟังทำนองเสนาะของวิหคแห่งความปรารถนา ด้วยเหตุผลนี้ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ทุกเล่มจึงมีการกล่าวถึงนักบวชของทุกยุค ?ดังนี้พระองค์ทรงกล่าวไว้ว่า?:? ดูกร ประชาชนแห่งคัมภีร์!? ไฉนจึงไม่เชื่อสัญลักษณ์ทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้าที่เจ้าเองได้เป็นพยาน? ?(โกรอ่าน 3:70)? และพระองค์ทรงกล่าวไว้เช่นกันว่า?:? ดูกร ประชาชนแห่งคัมภีร์!?ไฉนเจ้าจึงคลุมสัจธรรมด้วยความจอมปลอม ??ไฉนจึงจงใจซ่อนสัจธรรม? ?(โกรอ่าน 3:71)? พระองค์ทรงกล่าวไว้เช่นกันว่า?:? ดูกร ประชาชนแห่งคัมภีร์!? ไฉนจึงไล่สาวกไปจากหนทางของพระผู้เป็นเจ้า? ?(โกรอ่าน 3:99)? เป็นที่ประจักษ์ว่า ?ประชาชนแห่งคัมภีร์ ?ที่ได้ไล่เพื่อนมนุษย์ไปจากหนทางตรงของพระผู้เป็นเจ้า ?มิได้หมายถึงใครนอกจากนักบวชทั้งหลายในยุคนั้น ซึ่งชื่อและอุปนิสัยใจคอของพวกเขาถูกเปิดเผยไว้ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ?และได้รับการพาดพิงถึงในวจนะและคำสอนที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์เหล่านั้น หากเจ้าสังเกตด้วยดวงตาของพระผู้เป็นเจ้า

ด้วยการเพ่งดูอย่างไม่ละสายตาด้วยนัยนาที่ไม่ผิดพลาดของพระผู้เป็นเจ้า ?จงกวาดสายตาดูขอบฟ้าแห่งความรู้ของพระผู้เป็นเจ้าสักพัก และตรองดูวจนะแห่งความสมบูรณ์ที่พระผู้ทรงความนิรันดร์เปิดเผยไว้ ?เพื่อว่าความลึกลับทั้งหลายของอัจฉริยภาพสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ใต้ม่านแห่งความรุ่งโรจน์และถนอมไว้ในวิหารแห่งกรุณาธิคุณของพระองค์ ?จะถูกแสดงให้เห็นชัดต่อเจ้า การปฏิเสธและการคัดค้านของบรรดาผู้นำศาสนามีสาเหตุมาจากความไม่รู้ไม่เข้าใจเป็นส่วนใหญ่ พวกเขาไม่เคยเข้าใจหรือหยั่งถึงวจนะที่เอ่ยโดยบรรดาพระผู้เปิดเผยความงามของพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงองค์เดียว ?ซึ่งอธิบายสัญลักษณ์ต่างๆ ที่จะนำมาก่อนการเสด็จมาของพระศาสดา ดังนั้นพวกเขาจึงชูธงแห่งการประท้วงต่อต้าน ยุยงและปลุกระดม เป็นที่ชัดเจนและแจ่มแจ้งว่าความหมายที่แท้จริงของวาทะของวิหคแห่งนิรัดรกาลทั้งหลาย มิได้ถูกเปิดเผยต่อผู้ใดนอกจากบรรดาผู้ที่แสดงพระผู้มีสภาวะนิรันดร์ให้ปรากฏ ?และทำนองเพลงของนกไนติงเกลแห่งความวิสุทธิ์ไม่สามารถไปถึงหูใด นอกจากหูของผู้ที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรนิรันดร์?ชาวคอพท์ที่วางอำนาจบาตรใหญ่ไม่มีวันได้ดื่มจากถ้วยที่แตะริมฝีปากของชาวเซพท์ที่ยุติธรรม ?และฟาโรห์ผู้ไม่เชื่อไม่มีหวังที่จะยอมรับมือของพระโมเสสแห่งสัจธรรม ดังที่พระองค์ทรงกล่าวไว้ว่า?:? ไม่มีใครรู้ความหมายนั้นนอกจากพระผู้เป็นเจ้าและบรรดาผู้ที่มีภูมิความรู้แน่น ?(โกรอ่าน 3:7)? ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังแสวงหาการตีความคัมภีร์จากบรรดาผู้ที่ถูกห่อหุ้มอยู่ในม่าน ?และไม่ยอมแสวงหาความรู้แจ้งจากบ่อเกิดแห่งความรู้

และเมื่อสมัยของพระโมเสสสิ้นสุดลง ?และแสงสว่างของพระเยซูส่องจากอรุโณทัยของพระวิญญาณมาอาบโลก ?ประชาชนทั้งหมดของอิสราเอลลุกขึ้นคัดค้านพระองค์ พวกเขาโวยวายว่าพระผู้ซึ่งการเสด็จมาของพระองค์คัมภีร์ไบเบิ้ลทำนายไว้ ?จะต้องเผยแพร่และทำตามกฎของพระโมเสส ทวาชายหนุ่มชาวนาซาลีนผู้นี้ที่อ้างสถานะของตนว่าเป็นพระเมไซยะ ได้ยกเลิกกฎการหย่าร้างและวันซาบาท ?ซึ่งเป็นกฎที่มีน้ำหนักที่สุดของพระโมเสส ยิ่งไปกว่านั้นมีอะไรที่เป็นสัญลักษณ์ของพระศาสดาที่จะเสด็จมา ?ประชาชนเหล่านี้ของอิสราเอลแม้กระทั่งตราบจนปัจจุบัน ?ก็ยังคาดหวังรอคอยพระศาสดาองค์นี้ที่คัมภีร์ไบเบิ้ลทำนายไว้!? พระผู้แสดงความวิสุทธิ์มากมายเท่าไร ?พระผู้เปิดเผยแสงสว่างนิรันดร์มากมายเท่าไร ?ได้มาปรากฏนับแต่สมัยของพระโมเสส และกระนั้นอิสราเอลซึ่งถูกห่อหุ้มอยู่ในม่านทึบที่สุดแห่งความเพ้อฝันอันชั่วร้ายและจินตนาการผิดๆ ก็ยังคาดหวังว่า ?เทพเจ้าที่เป็นผลงานหัตถกรรมของเธอเองจะมาปรากฏด้วยสัญลักษณ์ต่างๆ ที่เธอนึกคิดเอาเอง!? ดังนี้พระผู้เป็นเจ้าจึงจับพวกเขาเพราะบาปที่พวกเขากระทำ ?ดับวิญญาณแห่งความศรัทธาในตัวพวกเขา และทรมานพวกเขาด้วยเปลวไฟของเพลิงโลกันตร์ ?และมิใช่เพราะเหตุผลใดนอกจากว่า อิสราเอลไม่ยอมเข้าใจความหมายของวาทะต่างๆ ที่เปิดเผยไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ลเกี่ยวกับสัญลักษณ์ต่างๆ ของการเปิดเผยพระธรรมที่จะมาถึง ?เนื่องด้วยอิสราเอลไม่เคยเข้าใจนัยที่แท้จริง และดูภายนอกแล้วเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้นไม่เคยบังเกิดขึ้น ดังนั้นเธอยังคงถูกพรากจากการยอมรับความงามของพระเยซู และการได้เห็นพระพักตร์ของพระผู้เป็นเจ้า ?และพวกเขายังคงรอคอยการเสด็จมาของพระองค์!? ตั้งแต่โบราณกาลตราบจนยุคนี้ ?วงศ์ตระกูลและชนชาติทั้งหมดของโลกได้ยึดติดกับความคิดที่เพ้อฝันและไม่เหมาะสมดังกล่าว ?จึงพรากตนเองจากธาราที่ไหลมาจากน้ำพุแห่งความบริสุทธิ์และความวิสุทธิ์

ในการคลี่คลายความลึกลับเหล่านี้ ?เราได้กล่าวถึงวจนะบางตอนที่เปิดเผยต่อศาสนทูตทั้งหลายในอดีต ?ซึ่งอยู่ในธรรมจารึกต่างๆ ของเราก่อนหน้านี้ที่ตรัสต่อสหายคนหนึ่งด้วยภาษาเสนาะของฮีจาซ ?และบัดนี้เป็นการตอบสนองคำขอของเจ้า ในหน้าเหล่านี้เราจะกล่าวถึงวจนะท่อนเดียวกันเหล่านั้นที่เอ่ยเวลานี้ด้วยสำเนียงอันน่าพิศวงของอิรัก ?เพื่อว่าผู้ที่กระหายจัดในชนบทแห่งความห่างไกล อาจจะไปถึงมหาสมุทรแห่งการปรากฏองค์ของพระผู้เป็นเจ้า และบรรดาผู้ที่ระโหยอยู่ในที่รกร้างแห่งการพรากจากกัน ?อาจจะได้รับการนำไปยังบ้านแห่งการกลับมาอยู่ร่วมกันชั่วนิรันดร์ ดังนี้หมอกแห่งความหลงผิดจะถูกปัดเป่าออกไป และแสงอำไพแห่งการนำทางสวรรค์จะรุ่งอรุณขึ้นมาบนขอบฟ้าแห่งหัวใจของมนุษย์ ?เราวางใจในพระผู้เป็นเจ้า และเราร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์ เพื่อว่าวจนะที่จะกระตุ้นวิญญาณของมนุษย์จะหลั่งมาจากปากกานี้ เพื่อว่าพวกเขาทุกคนจะลุกขึ้นมาจากเตียงแห่งความไม่เอาใจใส่ของตน ?และเงี่ยหูฟังเสียงใบไม้แห่งสวรรค์จากพฤกษาที่พระหัตถ์แห่งอานุภาพสวรรค์ได้ปลูกไว้ในเรซวานของพระผู้ทรงความรุ่งโรจน์ โดยการอนุญาตของพระผู้เป็นเจ้า

สำหรับบรรดาผู้ที่ได้รับการประสาทด้วยความเข้าใจ ?เป็นที่ชัดเจนและแจ่มแจ้งว่า เมื่อไฟแห่งความรักของพระเยซูเผาผลาญม่านที่เป็นขีดจำกัดของชาวยิว ?และอำนาจของพระองค์เป็นที่ปรากฏชัดและนำมาบังคับใช้บางส่วน พระองค์ พระผู้เปิดเผยความงามที่มองไม่เห็น ?วันหนึ่งขณะที่ตรัสต่อสาวกทั้งหลาย ทรงกล่าวถึงการจะล่วงลับไปของพระองค์ และจุดไฟแห่งการพลัดพรากในหัวใจของพวกเขาโดยการกล่าวต่อพวกเขาว่า?:? เราไปแล้วจะกลับมาหาเจ้าอีก ??และอีกที่หนึ่งพระองค์กล่าวว่า?:? เราไปแล้วและอีกพระองค์หนึ่งจะมา ?ผู้ซึ่งจะบอกเจ้าทั้งหมดที่เราไม่ได้บอก ?และจะทำทุกอย่างที่เรากล่าวไว้ ?คำกล่าวทั้งสองนี้มีเพียงความหมายเดียว ?หากเจ้าไตร่ตรองดูบรรดาพระผู้แสดงเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้าด้วยธรรมทรรศนะ

ผู้สังเกตที่หยั่งเห็นทุกคนจะยอมรับว่า ?ในยุคศาสนาของคัมภีร์โกรอ่านทั้งคัมภีร์และศาสนาของพระเยซูได้รับการยืนยัน ?ในเรื่องของชื่อต่างๆ พระโมฮัมหมัดเองทรงประกาศว่า?:? เราคือพระเยซู ??พระองค์ยอมรับสัจธรรมของสัญลักษณ์ ?คำพยากรณ์และวาทะต่างๆ ของพระเยซู และให้การยืนยันว่าทั้งหมดล้วนมาจากพระผู้เป็นเจ้า ?ในแง่นี้ทั้งตัวตนของพระเยซูและธรรมลิขิตของพระองค์ไม่แตกต่างจากของพระโมฮัมหมัดและคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ?เนื่องด้วยทั้งสองได้สนับสนุนศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า กล่าวสรรเสริญพระองค์ และเปิดเผยบทบัญญัติของพระองค์ ดังนี้ที่พระเยซูเองประกาศว่า?:? เราไปแล้วจะกลับมาหาเจ้าอีก ??จงพิจารณาดูดวงอาทิตย์ หากดวงอาทิตย์พูดตอนนี้ว่า ?เราคือดวงอาทิตย์เมื่อวาน ??ดวงอาทิตย์นั้นพูดความจริง และหากดวงอาทิตย์นั้นคำนึงถึงลำดับเวลา แล้วอ้างว่าเป็นสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ดวงอาทิตย์เมื่อวาน ?ดวงอาทิตย์นั้นก็ยังพูดความจริงเช่นกัน ทำนองเดียวกันหากกล่าวว่า ทุกวันเป็นเพียงวันเดียวกัน ก็เป็นความจริงและถูกต้อง และหากกล่าวว่า ?แต่ละวันเป็นคนละวันต่างกันตามชื่อที่ตั้งไว้ ก็เป็นความจริงเช่นกัน เพราะแม้ว่าทุกวันนั้นเหมือนกัน กระนั้นเรายอมรับชื่อที่ตั้งไว้ต่างกัน ?คุณลักษณะเฉพาะและลักษณะพิเศษของแต่ละวัน ดังนี้จงคิดถึงความแตกต่าง ความผันแปรและเอกภาพที่เป็นลักษณะเฉพาะของพระผู้แสดงความวิสุทธิ์องค์ต่างๆ ?เพื่อว่าเจ้าจะเข้าใจถ้อยคำที่ผู้สร้างนามและคุณลักษณะทั้งปวงใช้พาดพิงถึงความลึกลับของความแตกต่างและเอกภาพ และค้นพบคำตอบสำหรับคำถามของเจ้าที่ว่า ?ทำไมในเวลาต่างๆ พระผู้ทรงความงามนิรันดร์ทรงเรียกพระองค์เองด้วยชื่อและสมญานามที่ต่างกัน

หลังจากนั้นบรรดาสหายและสาวกของพระเยซูถามพระองค์เกี่ยวกับสัญลัษณ์ต่างๆ ที่จะต้องชี้บ่งการกลับมาปรากฏองค์ของพระองค์ ?พวกเขาถามว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อใด ?หลายครั้งที่พวกเขาถามพระผู้ทรงความงามที่ไม่มีที่เสมอ และทุกครั้งที่พระองค์ตอบ ?พระองค์ทรงอธิบายสัญลักษณ์พิเศษอย่างหนึ่งที่จะนำมาก่อนการมาถึงของยุคศาสนาตามพันธสัญญา บันทึกทั้งหลายในกอสเปวสี่เล่มให้การยืนยันสิ่งนี้

พระผู้ทรงถูกประทุษร้ายนี้จะนำเพียงหนึ่งในกรณีเหล่านี้มากล่าว ?เป็นการประสาทพรให้แก่มนุษยชาติเพื่อเห็นแก่พระผู้เป็นเจ้า เป็นพรที่ยังถูกปกปิดไว้ในคลังของพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ที่ซ่อนเร้น ?เพื่อว่ามนุษย์ทั้งหลายที่จะต้องตายจะไม่ถูกพรากจากส่วนแบ่งของผลไม้อมตะอีกต่อไป และจะเข้าถึงหยดน้ำค้างของธาราแห่งชีวิตนิรันดร์จากแบกแดด ?ที่พำนักแห่งสันติ ??ซึ่งกำลังประทานมาให้มวลมนุษยชาติ เราไม่ได้ขอการชดเชยหรือรางวัล ?เราหล่อเลี้ยงวิญญาณของเจ้าเพื่อเห็นแก่พระผู้เป็นเจ้า เราไม่ได้แสวงหาการชดเชยหรือคำขอบคุณจากเจ้า ?(โกรอ่าน 76:9)? นี้คืออาหารที่ประสาทชีวิตนิรันดร์ให้แก่ผู้ที่มีหัวใจบริสุทธิ์และวิญญาณที่สว่าง ?นี้คือขนมปังที่ได้รับการกล่าวถึงว่า?:? พระผู้เป็นนาย ?ขอทรงส่งขนมปังของพระองค์จากสวรรค์ลงมาให้เรา ?(โกรอ่าน 5:117)? ขนมปังนี้จะไม่มีวันหมดหรือไม่ให้ผู้ที่สมควรจะได้รับ ?ขนมปังนี้เติบโตชั่วนิรันดร์จากพฤกษาแห่งกรุณาธิคุณ ลงมาจากนภาแห่งความยุติธรรมและความปรานีในทุกฤดูกาล ?ดังที่พระองค์ทรงกล่าวว่า?:? เจ้าไม่เห็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าเปรียบเป็นถ้อยคำที่ดีหรือ ??สำหรับพฤกษาที่ดีจะมีรากที่ยึดแน่น มีกิ่งที่งอกขึ้นไปถึงสวรรค์และออกผลในทุกฤดูกาล ?(โกรอ่าน 14:24)

ช่างน่าสงสาร!?ที่มนุษย์พรากตนเองจากของขวัญที่ดีงามนี้ ?พระพรที่ไม่รู้สิ้นนี้ ชีวิตนิรันดร์นี้ เป็นความถูกต้องที่มนุษย์จะเห็นค่าอย่างสูงของอาหารที่มาจากสวรรค์นี้ ?เพื่อว่าโดยความโปรดปรานอันวิเศษของดวงอาทิตย์แห่งสัจธรรม คนตายอาจกลับมามีชีวิต และดวงวิญญาณที่อับเฉาจะได้รับการกระตุ้นโดยพระวิญญาณที่ไม่มีสิ้นสุด ?ดูกร ภราดรของเรา จงเร่งรีบ เพื่อว่าขณะที่ยังมีเวลาริมฝีปากของเราจะได้ลิ้มน้ำอมตะ เพราะสายลมแห่งชีวิตที่เวลานี้กำลังพัดมาจากนครของพระผู้เป็นที่รักยิ่งจะไม่พัดตลอดไป ?สายธารแห่งวาทะศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังหลั่งไหลจะต้องหยุด และอานนของเรซวานไม่สามารถเปิดอยู่ตลอด วันนั้นจะมาถึงอย่างแน่นอน คือวันที่นกไนติงเกลแห่งสวรรค์จะบินจากที่พำนักบนโลกของตนขึ้นไปยังรังบนพิมาน ?เมื่อนั้นจะไม่มีทำนองเพลงของนกนี้ให้ได้ยินอีกต่อไป และความงามของดอกกุหลาบจะหยุดเฉิดฉาย ดังนั้นจงรีบเข้า ก่อนที่ความรุ่งโรจน์ของวสันตฤดูแห่งจิตวิญญาณจะสิ้นสุดลง และวิหคแห่งนิรันดรกาลจะหยุดขับขานทำนองเพลง ?เพื่อว่าการได้ยินด้วยจิตของเจ้าจะไม่ถูกพรากจากการสดับฟังเสียงร้องเรียกของวิหคนี้ นี้คือคำแนะนำของเราสำหรับเจ้าและผู้เป็นที่รักยิ่งของพระผู้เป็นเจ้า ใครก็ตามที่ปรารถนาจะหันมา ขอให้เขาหันมา ใครก็ตามที่ปรารถนาจะหันหนีไป ?ขอให้เขาหันหนีไป แท้จริงแล้วพระผู้เป็นเจ้าไม่ขึ้นกับเขาและสิ่งที่เขาอาจเห็นหรือเป็นพยาน

เหล่านี้คือทำนองที่ร้องโดยพระเยซูบุตรของแมรี่ ?ด้วยสำเนียงแห่งอานุภาพอันน่าเกรงขามในเรซวานแห่งกอสเปว? เป็นการเปิดเผยสัญลักษณ์ต่างๆ ที่จะต้องนำมาก่อนการเสด็จมาของพระศาสดาหลังจากพระองค์ ?ในกอสเปวเล่มแรกโดยแมทธิว ?เป็นที่บันทึกไว้ว่า?:?และเมื่อพวกเขาถามพระเยซูเกี่ยวกับสัญลักษณ์ต่างๆ ของการเสด็จมาของพระองค์ ?พระองค์ทรงกล่าวต่อพวกเขาว่า?:?ทันใดหลังจากการกดขี่ในสมัยนั้น ?ดวงอาทิตย์จะมืดมน ดวงจันทร์จะไม่เรืองแสง ?ดวงดาวทั้งหลายจะตกลงมาจากนภา และมหาอำนาจทั้งหลายของโลกจะสั่นสะเทือน?:?เมื่อนั้นสัญลักษณ์ของบุตรแห่งมนุษย์จะปรากฏขึ้นบนนภา?:?เมื่อนั้นชนเผ่าทั้งหมดของโลกจะเศร้าโศก ?และพวกเขาจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาในก้อนเมฆบนนภาด้วยอานุภาพและความรุ่งโรจน์ที่ยิ่งใหญ่ ?และพระองค์จะส่งเทวดาทั้งหลายของพระองค์มากับเสียงแตรที่เกรียงไกร ?(แมทธิว 24:29-31)? เมื่อถ่ายทอดด้วยภาษาเปอร์เซีย?(วรรคนี้คัดมาเป็นภาษาอาหรับและตีความเป็นภาษาเปอร์เซีย)?ความหมายของวาทะเหล่านี้คือดังต่อไปนี้?:?เมื่อการกดขี่และความเดือดร้อนที่จะบังเกิดกับมนุษยชาติจะเกิดขึ้น ?เมื่อนั้นดวงอาทิตย์จะไม่ส่องแสง ดวงจันทร์จะไม่เรืองแสง ดวงดาวทั้งหลายบนนภาจะตกลงมาบนพิภพ ?และเสาทั้งหลายของโลกจะสั่นสะท้าน ในเวลานั้นสัญลักษณ์ทั้งหลายของบุตรแห่งมนุษย์จะปรากฏขึ้นบนนภา ?นั่นคือ เมื่อสัญลักษณ์เหล่านี้ปรากฏขึ้น พระผู้ทรงความงามตามพันธสัญญาและเป็นเนื้อหาของชีวิต จะก้าวออกจากอาณาจักรที่มองไม่เห็นมาสู่โลกที่มองเห็น ?และพระองค์ทรงกล่าวว่า?:?ในเวลานั้นชนชาติและวงศ์ตระกูลทั้งหมดที่อาศัยอยู่บนโลกจะร่ำไห้และเศร้าโศก ?และพวกเขาจะเห็นพระผู้ทรงความงามสวรรค์นี้เสด็จมาจากนภาโดยการขี่ก้อนเมฆด้วยอานุภาพ ?ความโอฬารและความสง่างาม และส่งเทวดาทั้งหลายของพระองค์มากับเสียงแตรที่เกรียงไกร ทำนองคล้ายกันในกอสเปวอีกสามเล่มโดย ?ลุค มาร์คและจอห์น ?ถ้อยคำเดียวกันเหล่านี้ถูกบันทึกไว้ ?เนื่องด้วยเราได้กล่าวถึงสามเล่มนี้ไว้ยาวแล้วในธรรมจารึกต่างๆ ของเราที่เปิดเผยเป็นภาษาอาหรับ ?เราไม่ขอกล่าวถึงสามเล่มนี้ในหน้าเหล่านี้ และจำกัดการอ้างอิงอยู่ที่เล่มเดียว

เนื่องด้วยนักบวชคริสเตียนทั้งหลายไม่เข้าใจความหมายและมองไม่เห็นจุดหมายและจุดประสงค์ของวาทะเหล่านี้ ?และยึดถือการตีความวาทะของพระเยซูตามตัวอักษร พวกเขาจึงถูกพรากจากกรุณาธิคุณและพระพรที่หลั่งมาจากการเปิดเผยพระธรรมของพระโมฮัมหมัด ?พวกคนเขลาในชุมชนคริสเตียนที่เป็นสาวกของผู้นำศาสนาของตน ก็ถูกขวางกั้นไม่ให้เห็นความงามของกษัตริย์แห่งความรุ่งโรจน์เช่นกัน เพราะสัญลักษณ์ต่างๆ ที่จะมากับรุ่งอรุณของดวงอาทิตย์ของยุคศาสนาของพระโมฮัมหมัด ?ไม่บังเกิดขึ้น ดังนี้ยุคและศตวรรษทั้งหลายได้ผ่านไป และพระวิญญาณที่บริสุทธิ์ที่สุดนี้ได้กลับไปยังสถานที่วิเวกในอธิปไตยโบราณกาลของตน อีกครั้งหนึ่งที่พระวิญญาณนิรันดร์หายใจเข้าไปในแตรลี้ลับ และดลให้คนตายรีบออกมาจากหลุมศพหินแห่งความไม่เอาใจใส่และความหลงผิดของตน ?ไปยังอาณาจักรแห่งการนำทางและกรุณาธิคุณ ถึงกระนั้นชุมชนที่คาดหวังรอคอยนี้ก็ยังร้องว่า?:?สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อใด ??เมื่อใดที่พระศาสดาตามพันธสัญญาผู้เป็นจุดหมายของการคาดหวังรอคอยของเรา ?จะถูกแสดงให้เห็นชัด เพื่อว่าเราจะลุกขึ้นเพื่อชัยชนะของศาสนาของพระองค์ ?เสียสละทรัพย์สมบัติของเราเพื่อเห็นแก่พระองค์ และสละชีวิตของเราในหนทางของพระองค์ ??ทำนองเดียวกันจินตนาการผิดๆ ดังกล่าวได้ทำให้ชุมชนอื่นๆ หลงไปจากโควซาร์แห่งความปรานีที่ไม่มีสิ้นสุดของพระผู้ทรงบริบาล ?และสาละวนอยู่กับความคิดที่เหลวไหลของตน

นอกจากวรรคนี้ยังมีวาทะอีกท่อนหนึ่งในกอสเปวซึ่งพระองค์ทรงกล่าวว่า?:? สวรรค์และโลกจะมลายไป?:?แต่วาทะของเราจะไม่มลายไป ?(ลุค 21:33)? ดังนี้บรรดาผู้สนับสนุนพระเยซูได้ยืนยันว่า ?กฎของกอสเปวจะไม่มีวันถูกยกเลิก และเมื่อใดก็ตามที่พระผู้ทรงความงามตามพันธสัญญาถูกแสดงให้เห็นชัด? พระองค์จะต้องยืนยันและสถาปนากฎที่ประกาศไว้ในกอสเปว ?เพื่อว่าจะไม่มีศาสนาใดเหลืออยู่ในโลกนอกจากศาสนาของพระองค์ ?นี้คือความเชื่อขั้นมูลฐานของพวกเขา และพวกเขามั่นใจถึงขนาดว่า ?หากบุคคลหนึ่งถูกแสดงให้เห็นชัดด้วยสัญลักษณ์ทั้งหมดตามพันธสัญญา และเผยแพร่สิ่งที่ขัดกับกฎตามลายลักษณ์อักษรของกอสเปว ?วางใจได้ว่าพวกเขาจะไม่เอาบุคคลนั้น จะไม่ยอมจำนนต่อกฎของเขา จะประกาศว่าเขาเป็นคนไม่มีศาสนา และจะหัวเราะเยาะเย้ยเขาอย่างดูถูก ?นี้ได้รับการพิสูจน์โดยสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์แห่งการเปิดเผยพระธรรมของพระโมฮัมหมัดถูกเปิดเผย? หากพวกเขาใช้ปัญญาอย่างถ่อมตัวแสวงหาความหมายที่แท้จริงของวาทะเหล่านี้จากพระศาสดาทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้าในทุกยุคศาสนา ?ที่เปิดเผยไว้ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ซึ่งการเข้าใจผิดวาทะเหล่านี้ได้ทำให้มนุษย์ถูกพรากจากการยอมรับซาดราตูร โมนทาฮา ?พระผู้เป็นจุดประสงค์สุดท้าย แน่นอนว่าพวกเขาจะได้รับการนำทางไปสู่แสงสว่างของดวงอาทิตย์แห่งสัจธรรม และจะค้นพบความลึกลับต่างๆ ของความรู้และอัจฉริยภาพสวรรค์

บัดนี้คนรับใช้ผู้นี้จะแบ่งปันหยดน้ำค้างจากมหาสมุทรแห่งสัจธรรมที่หยั่งไม่ถึงให้แก่เจ้า ?ซึ่งถนอมไว้ในวจนะศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ เพื่อว่าหัวใจที่หยั่งเห็นจะเข้าใจคำพาดพิงและนัยต่างๆ ของวาทะของพระผู้แสดงความวิสุทธิ์ทั้งหลาย ?เพื่อว่าราชศักดาที่ทรงอานุภาพของพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า จะไม่ขัดขวางพวกเขามิให้ไปถึงมหาสมุทรแห่งนามและคุณลักษณะทั้งหลายของพระองค์ หรือพรากพวกเขาจากการยอมรับตะเกียงของพระผู้เป็นเจ้า ?ซึ่งเป็นศูนย์กลางแห่งการเปิดเผยสาระอันเป็นที่สดุดีของพระองค์

เกี่ยวกับวาทะ ?ทันใดหลังจากการกดขี่ในสมัยนั้น ??วาทะเหล่านี้หมายถึงเวลาที่มนุษย์จะถูกกดขี่และเดือดร้อน ?เวลาที่ร่องรอยสุดท้ายของดวงอาทิตย์แห่งสัจธรรมและผลไม้ของพฤกษาแห่งความรู้และอัจฉริยภาพ ?จะอันตรธานไปจากหมู่มนุษย์ เมื่อบังเหียนของมนุษยชาติจะตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกโง่เง่าเบาปัญญา ?เมื่ออานนแห่งความเข้าใจและเอกภาพสวรรค์ซึ่งเป็นจุดประสงค์สูงสุดที่แท้จริงในสรรพโลก จะถูกปิด เมื่อความรู้บางอย่างจะเปิดทางให้ความเพ้อฝันอันเหลวไหล ?และความทุจริตจะช่วงชิงสถานะของความชอบธรรม สภาพดังกล่าวเป็นที่เห็นได้ในยุคนี้เมื่อบังเหียนของทุกชุมชนตกอยู่ในเงื้อมมือของบรรดาผู้นำที่โง่เง่า ที่นำไปตามอำเภอใจและกิเลสของตน ?พระผู้เป็นเจ้าที่กล่าวโดยลิ้นของพวกเขากลายเป็นนามที่ว่างเปล่า พระวจนะศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ในหมู่พวกเขากลายเป็นอักษรที่ตาย ดังกล่าวคืออิทธิพลของกิเลสที่ครอบงำพวกเขา จนตะเกียงแห่งมโนธรรมและการใช้เหตุผลถูกดับไปในหัวใจของพวกเขา ?และแม้ว่าองคุลีแห่งอานุภาพสวรรค์ได้ไขอานนไปสู่ความรู้ของพระผู้เป็นเจ้า และแสงสว่างแห่งความรู้และกรุณาธิคุณสวรรค์ได้ให้ความสว่างและแรงบันดาลใจแก่สาระของทุกสรรพสิ่ง จนในทุกสิ่งมีประตูไปสู่ความรู้เปิดอยู่ และภายในทุกอะตอมมีร่องรอยของดวงอาทิตย์ที่เห็นชัด ?กระนั้นแม้จะมีการเปิดเผยความรู้สวรรค์อย่างอเนกอนันต์ทั้งหมดนี้ที่ห้อมล้อมโลก พวกเขาก็ยังจินตนาการอย่างไร้สาระว่า ประตูไปสู่ความรู้ถูกปิดและการหลั่งไหลความปรานีหยุดลง ด้วยยึดติดกับความเพ้อฝันอันเหลวไหล พวกเขาหลงไกลไปจากอูวาโทลโวสกาแห่งความรู้สวรรค์ หัวใจของพวกเขาดูเหมือนจะไม่โอนเอียงเข้าหาความรู้และประตูไปสู่ความรู้ ?พวกเขาไม่คิดถึงการมาปรากฏของความรู้ เนื่องด้วยในความเพ้อฝันอันเหลวไหล พวกเขาได้พบประตูไปสู่ความร่ำรวยทางโลก ขณะที่ในการปรากฏองค์ของพระผู้เปิดเผยความรู้ พวกเขาไม่พบสิ่งใดนอกจากเสียงร้องเรียกให้เสียสละตนเอง ดังนั้นเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะยึดมั่นสิ่งแรกและหนีไปจากสิ่งหลัง แม้ว่าพวกเขายอมรับในหัวใจว่า กฎของพระผู้เป็นเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ?กระนั้นพวกเขาออกบทบัญญัติใหม่จากทุกทิศทาง และประกาศโองการใหม่ในทุกฤดูกาล ไม่มีสองคนไหนที่เห็นพ้องกันในกฎเดียวกัน เพราะพวกเขาไม่ได้แสวงหาพระผู้เป็นเจ้าแต่แสวงหากิเลสของตนเอง และไม่ได้ย่างเท้าบนหนทางใดนอกจากหนทางแห่งความหลงผิด พวกเขามองเห็นจุดหมายสุดท้ายของความอุตสาหะของตนในความเป็นผู้นำ และถือว่าความทะนงและความจองหองคือการบรรลุความปรารถนาสูงสุดของหัวใจ ?พวกเขาวางกลอุบายที่ไม่ซื่อของตนไว้เหนือโองการสวรรค์ ไม่ยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า สาละวนอยู่กับการวางแผนที่เห็นแก่ตัว และเดินในหนทางของผู้เสแสร้งเป็นคนดี พวกเขาพยายามด้วยอำนาจและพลังทั้งหมดที่จะตั้งมั่นอยู่ในการไขว่คว้าอย่างใจแคบ เพราะกลัวว่าการเสียความน่าเชื่อถือแม้เพียงน้อยนิด จะบั่นทอนอำนาจและการอวดความสง่างามของตน หากดวงตาได้รับการเจิมและสว่างด้วยน้ำยาหยอดตาแห่งความรู้ของพระผู้เป็นเจ้า ?ดวงตานั้นจะค้นพบอย่างแน่นอนว่า สัตร์ป่าที่ตะกละจำนวนหนึ่งมารุมกันเขมือบซากวิญญาณของมนุษย์

การกดขี่ ?ใดหรือที่ร้ายกว่าที่เล่ามานี้ ???การกดขี่ ?ใดหรือที่สาหัสกว่าการที่วิญญาณดวงหนึ่งแสวงหาสัจธรรม ?และปรารถนาจะเข้าถึงความรู้ของพระผู้เป็นเจ้า แต่ไม่รู้ว่าจะไปหาที่ไหนและจากใคร ??เพราะความคิดเห็นแตกต่างกันยิ่งนัก และหนทางเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้าทวีจำนวนขึ้น ?การกดขี่ ?นี้คือลักษณะสำคัญของการเปิดเผยพระธรรมทุกครั้ง ?ดวงอาทิตย์แห่งสัจธรรมจะไม่ถูกแสดงให้เห็นชัดนอกจากว่าจะเกิดการกดขี่นี้ เพราะรุ่งอรุณแห่งการนำทางสวรรค์จะต้องตามมาหลังจากความมืดของกลางคืนแห่งความหลงผิด ?ด้วยเหตุผลนี้ในบันทึกเหตุการณ์และคำพยากรณ์ทั้งหมดจึงมีการกล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ กล่าวคือ ความไม่เป็นธรรมนี้จะปกคลุมผิวโลกและความมืดจะปกคลุมมนุษยชาติ เนื่องด้วยคำพยากรณ์ที่กล่าวถึงเป็นที่รู้จักกันดี ?และคนรับใช้ผู้นี้มีจุดประสงค์จะกล่าวอย่างย่อ พระองค์จะละเว้นการคัดเนื้อหาของคำพยากรณ์เหล่านี้มาไว้ที่นี่

หาก ?การกดขี่ ?นี้?(ซึ่งตามตัวอักษรหมายความว่าการกดดัน)?ถูกตีความว่าโลกจะหดตัว ?หรือหากความเพ้อฝันอันเหลวไหลของมนุษย์จินตนาการถึงความหายนะต่างๆ ที่คล้ายกันที่จะบังเกิดกับมนุษยชาติ ?เป็นที่ชัดเจนและแจ่มแจ้งว่าสิ่งต่างๆ ดังกล่าวจะไม่มีวันเกิดขึ้น พวกเขาจะคัดค้านอย่างแน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้ที่จะต้องเกิดก่อนการเปิดเผยพระธรรมสวรรค์ยังไม่ถูกแสดงให้เห็นชัด ?ดังกล่าวคือการโต้แย้งของพวกเขาที่ผ่านมาและเวลานี้ ทวา ?การกดขี่ ?หมายถึงการขาดแคลนความสามารถที่จะได้มาซึ่งความรู้ทางธรรมและเข้าใจพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า นี้หมายความว่าเมื่อดวงตะวันแห่งสัจธรรมลับฟ้าไป ?และกระจกทั้งหลายที่สะท้อนแสงสว่างของพระองค์จากไป มนุษยชาติจะเดือดร้อนด้วย ?การกดขี่ ?และความยากลำบาก ไม่รู้ว่าจะหันไปหาการนำทางที่ไหน ดังนี้เราสั่งสอนเจ้าในการตีความคำสอน และเปิดเผยความลึกลับของอัจฉริยภาพสวรรค์ต่อเจ้า ?เพื่อว่าเจ้าจะเข้าใจความหมายของคำสอน และเป็นพวกที่ได้ดื่มถ้วยแห่งความรู้และความเข้าใจสวรรค์

และบัดนี้เกี่ยวกับวาทะของพระองค์ ?ดวงอาทิตย์จะมืดมน ?ดวงจันทร์จะไม่เรืองแสง ดวงดาวทั้งหลายจะตกลงมาจากนภา ??พจน์ ?ดวงอาทิตย์ ?และ ?ดวงจันทร์ ?ที่กล่าวไว้ในธรรมลิขิตของศาสนทูตทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้า ?มิได้หมายถึงดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ในจักรวาลที่เห็นเท่านั้น ไม่เลย ความหมายที่อยู่ในพจน์ทั้งสองมีนานัปการ ?ในทุกกรณีมีนัยสำคัญเฉพาะแนบอยู่ ดังนี้ ?ดวงอาทิตย์ ?นัยหนึ่งหมายถึงดวงอาทิตย์แห่งสัจธรรมทั้งหลายที่ขึ้นมาจากอรุโณทัยแห่งความรุ่งโรจน์บรมโบราณ ?และเติมโลกด้วยกรุณาธิคุณที่หลั่งไหลมาจากเบื้องบนอย่างมากล้น ดวงอาทิตย์แห่งสัจธรรมเหล่านี้คือพระศาสดาสากลทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้าในภพต่างๆ แห่งคุณลักษณะและนามของพระองค์ ?ดังเช่นดวงอาทิตย์ที่เราเห็นช่วยพัฒนาการของทุกสิ่งบนโลกเช่น ต้นไม้ ผลไม้ สีของต้นไม้และผลไม้ แร่ธาตุต่างๆ ของพิภพ และทุกสิ่งที่เห็นได้ในสรรพโลก ซึ่งเป็นไปตามที่ประกาศิตไว้โดยพระผู้เป็นเจ้า ?พระผู้เป็นหนึ่งที่แท้จริง พระผู้เป็นที่บูชา เช่นกันโดยการดูแลรักใคร่และอิทธิพลการอบรม ดวงอาทิตย์แห่งธรรมทำให้ต้นไม้แห่งเอกภาพสวรรค์ ผลไม้แห่งความเป็นหนึ่งของพระองค์ ใบไม้แห่งการปล่อยวาง ดอกไม้แห่งความรู้และความมั่นใจ ?พุ่มไม้แห่งอัจฉริยภาพและวาทะ ดำรงอยู่และเป็นที่เห็นชัด ดังนี้โดยการรุ่งขึ้นมาของดวงทิตย์เหล่านี้ของพระผู้เป็นเจ้า โลกเปลี่ยนใหม่ ธาราแห่งชีวิตนิรันดร์หลั่งไหล คลื่นแห่งความเมตตารักใคร่สาดซัด ก้อนเมฆแห่งกรุณาธิคุณรวมตัวกัน ?และสายลมแห่งความอารีพัดมายังทุกสรรพสิ่ง ความอบอุ่นที่ดวงอาทิตย์เหล่านี้ของพระผู้เป็นเจ้าแผ่ออกมาและไฟที่ไม่มีดับที่พวกเขาจุดขึ้นมานี้เอง ที่ทำให้ประทีปแห่งความรักของพระผู้เป็นเจ้าลุกอย่างร้อนแรงในหัวใจของมนุษยชาติ โดยกรุณาธิคุณอันเหลือล้นของพระผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งความปล่อยวางนี้เอง ?ที่พระวิญญาณแห่งชีวิตนิรันดร์ถูกหายใจเข้าไปในร่างกายของคนตาย จงวางใจได้ว่าดวงอาทิตย์ที่เราเห็นเป็นเพียงสัญลักษณ์หนึ่งของความอำไพของดวงตะวันแห่งสัจธรรม ซึ่งเป็นดวงอาทิตย์ที่ไม่มีที่เสมอ ไม่มีความคล้ายคลึงหรือคู่แข่ง ทุกสิ่งมีชีวิต เคลื่อนไหวและอาศัยอยู่โดยพระองค์ ทุกสิ่งถูกแสดงให้เห็นชัดโดยกรุณาธิคุณของพระองค์ ?และทุกสิ่งกลับไปหาพระองค์ ทุกสิ่งปรากฏขึ้นมาจากพระองค์ และกลับไปยังคลังแห่งการเปิดเผยพระธรรมของพระองค์ สรรพสิ่งทั้งปวงมาจากพระองค์และกลับไปสู่ที่เก็บรักษากฎของพระองค์

การที่ดวงอาทิตย์แห่งธรรมเหล่านี้บางเวลาดูเหมือนถูกจำกัดอยู่กับชื่อที่ตั้งไว้และคุณลักษณะเฉพาะ ?ดังที่เจ้าสังเกตมาและกำลังสังเกตอยู่เวลานี้ ก็เป็นเพราะความเข้าใจที่ไม่สมบูรณ์และจำกัดของปัญญาของบางคนเท่านั้น ?ไม่เช่นนั้นแล้วพระศาสดาทั้งหลายทรงความประเสริฐเหนือทุกนามที่ใช้สรรเสริญ และวิสุทธิ์พ้นจากทุกคุณลักษณะที่ใช้พรรณนาในทุกเวลาและตลอดไปชั่วนิรันดร์ ?สาระสวรรค์ของทุกนามไม่มีหวังจะเข้าถึงราชสำนักแห่งความวิสุทธิ์ และคุณลักษณะที่สูงส่งและบริสุทธิ์ที่สุดไม่มีทางเข้าหาอาณาจักรแห่งความรุ่งโรจน์ของพระองค์ ?ศาสนทูตทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้าทรงความสูงส่งอย่างวัดไม่ได้และประเสริฐเหนือความเข้าใจของมนุษย์ ผู้ซึ่งไม่มีทางรู้จักพระศาสดาเว้นแต่โดยตัวของพระศาสดาเอง การสรรเสริญบรรดาผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าเลือกสรรโดยคนอื่นใดนอกจากโดยตัวพวกเขาเอง ?หาใช่ความรุ่งโรจน์ของพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาเป็นที่สดุดีเหนือการสรรเสริญของมนุษย์ และทรงความประเสริฐเหนือความเข้าใจของมนุษย์!

พจน์ ?ดวงอาทิตย์ ?ในธรรมลิขิตต่างๆ ของ ?ดวงวิญญาณที่สะอาดหมดจด ?ถูกนำมาใช้หลายครั้งหมายความถึงศาสนทูตทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้า ?ผู้เป็นตราสัญลักษณ์ที่เรืองรองแห่งความปล่อยวาง ในธรรมลิขิตเหล่านั้นมีวจนะดังต่อไปนี้บันทึกอยู่ใน ?บทอธิษฐานแห่งโนดเบห์ ?( ความเศร้าโศก ?ซึ่งเชื่อว่าลิขิตโดยอิหม่ามที่สิบสอง)?:? ดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้าไปไหน ??ดวงจันทร์ที่เรืองแสงและดวงดาวที่เป็นประกายจากไปไหน? ? ดังนี้เป็นที่ประจักษ์ว่าพจน์ ?ดวงอาทิตย์ ??ดวงจันทร์ ?และ ?ดวงดาว ?โดยเบื้องต้นนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่หมายถึงศาสนทูตทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้า ?นักบุญ สหายของพวกเขา และดวงอาทิตย์แห่งธรรม ซึ่งแสงสว่างแห่งความรู้ของพวกเขาได้สาดความสว่างมายังโลกทั้งหลายที่มองเห็นและมองไม่เห็น

อีกนัยหนึ่งพจน์เหล่านี้หมายถึงนักบวชของยุคศาสนาก่อน ?ซึ่งมีชีวิตอยู่ในสมัยของการเปิดเผยพระธรรมครั้งถัดไป และกุมบังเหียนของศาสนาไว้ในเงื้อมมือ ?หากนักบวชเหล่านี้สว่างด้วยแสงของการเปิดเผยพระธรรมครั้งหลัง พวกเขาจะเป็นที่ยอมรับของพระผู้เป็นเจ้าและจะส่องแสงนิรันดร์ ?ไม่เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะถูกประกาศว่ามืดมน ถึงแม้ว่าดูภายนอกพวกเขาจะเป็นผู้นำของมนุษย์ก็ตาม เนื่องด้วยความเชื่อและความไม่เชื่อ ?การนำทางและความหลงผิด ความสุขและทุกขเวทนา แสงสว่างและความมืด ล้วนขึ้นกับการรับรองของพระผู้เป็นดวงตะวันแห่งสัจธรรม ในทุกยุคนักบวชคนใดก็ตามที่ได้รับการยืนยันความศรัทธาจากพระผู้เป็นบ่อเกิดของความรู้ที่แท้จริงในวันแห่งการคิดบัญชี ?แท้จริงแล้วเขากลายเป็นผู้รับวิชาความรู้ ความโปรดปรานสวรรค์ และแสงสว่างแห่งความเข้าใจที่แท้จริง ไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะถูกตีตราว่ามีความผิดฐานโง่เง่า ปฏิเสธ หมิ่นประมาทศาสนาและกดขี่

เป็นที่ประจักษ์และเห็นชัดสำหรับผู้สังเกตที่หยั่งเห็นทุกคนว่า ?ดังเช่นแสงสว่างของดวงดาวที่เลือนหายไปเมื่อเผชิญกับความโชติช่วงของดวงอาทิตย์ ?ผู้ที่เป็นแสงสว่างของความรู้ทางโลก อัจฉริยภาพ และความเข้าใจ อันตรธานไปเมื่อเผชิญกับความรุ่งโรจน์ที่สว่างไสวของดวงอาทิตย์แห่งสัจธรรม ?ซึ่งเป็นดวงตะวันแห่งความรู้แจ้งของพระผู้เป็นเจ้า

การที่พจน์ ?ดวงอาทิตย์ ?ถูกนำมาใช้หมายถึงบรรดาผู้นำศาสนาก็เป็นเพราะตำแหน่งที่สูงส่ง ?ชื่อเสียงและกิตติศัพท์ของพวกเขา ดังกล่าวคือนักบวชทั้งหลายที่ได้การยอมรับจากทุกคนในทุกยุค ?ผู้ซึ่งพูดด้วยอำนาจ และชื่อเสียงของพวกเขาเป็นที่ยอมรับกันดี หากพวกเขามีความคล้ายคลึงกับดวงอาทิตย์แห่งสัจธรรม ?พวกเขาจะถูกนับว่าเป็นดวงอาทิตย์ที่ประเสริฐสุด ไม่เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะถูกถือว่าเป็นศูนย์กลางแห่งไฟนรก ดังที่พระองค์ทรงกล่าวไว้ว่า?:? แท้จริงแล้วทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ต่างก็ถูกตัดสินลงโทษโดยการทรมานด้วยไฟนรก ?(โกรอ่าน 55:5)? ไม่ต้องสงสัยว่าเจ้าคุ้นเคยกับการตีความพจน์ ?ดวงอาทิตย์ ?และ ?ดวงจันทร์ ?ที่กล่าวไว้ในวจนะตอนนี้ ?ดังนั้นไม่จำเป็นอ้างอิงถึง ใครก็ตามที่เป็นพวกของ ?ดวงอาทิตย์ ?และ ?ดวงจันทร์ ?นี้ นั่นคือ เอาอย่างผู้นำเหล่านี้ในการมุ่งหน้าหาความจอมปลอม ?และหันหนีจากสัจธรรม ไม่ต้องสงสัยว่าเขาออกมาจากนรกมืดและจะกลับไปที่นั่น

ดูกร ?ผู้แสวงหา ?และบัดนี้เป็นความถูกต้องแน่ๆ ที่เราจะยึดถืออูวาโทลโวสกา ?เพื่อว่าเราจะลาจากกลางคืนมืดแห่งความหลงผิด และอ้าแขนรับแสงอรุณแห่งการนำทางสวรรค์ ?เราจะไม่หนีไปจากใบหน้าแห่งการปฏิเสธและแสวงหาร่มเงากำบังแห่งความมั่นใจหรือ ?เราจะไม่ปลดตัวเองให้เป็นอิสระจากความมืดของซาตานที่สยองขวัญ ?แล้วรีบไปหาแสงสว่างของพระผู้ทรงความงามสวรรค์ที่กำลังรุ่งขึ้นมาหรือ ?ดังนี้เราประทานผลไม้จากพฤกษาแห่งความรู้ของพระผู้เป็นเจ้าให้แก่เจ้า เพื่อว่าเจ้าจะอาศัยอยู่ในเรซวานแห่งอัจฉริยภาพสวรรค์ด้วยความดีใจและเบิกบาน

อีกนัยหนึ่งพจน์ ?ดวงอาทิตย์ ??ดวงจันทร์ ?และ ?ดวงดาว ?หมายถึงกฎและคำสอนต่างๆ ที่สถาปนาและประกาศไว้ในทุกยุคศาสนาเช่น ?กฎของการอธิษฐานและการถือศีลอด ตามกฎของคัมภีร์โกรอ่านเมื่อความงามของศาสนทูตโมฮัมหมัดผ่านพ้นม่านไป กฎทั้งสองนี้ถือว่าเป็นกฎขั้นมูลฐานและผูกมัดที่สุดในยุคศาสนาของพระองค์ ?เนื้อหาของคำสอนและบันทึกเรื่องราวต่างๆ ให้การยืนยันสิ่งนี้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องนำมาอ้างอิงที่นี่เพราะเป็นที่ทราบกันกว้างขวาง ไม่เพียงเท่านั้น ในทุกยุคศาสนากฎเกี่ยวกับการอธิษฐานเป็นที่เน้นและบังคับใช้กับทุกคน ?บันทึกคำสอนต่างๆ ที่เชื่อว่ามาจากบรรดาผู้เป็นแสงสว่างที่ส่องมาจากดวงตะวันแห่งสัจธรรม ซึ่งเป็นสาระของศาสนทูตโมฮัมหมัด ให้การยืนยันเรื่องนี้

บันทึกคำสอนดังกล่าวแสดงให้เห็นความจริงที่ว่า ?ในทุกยุคศาสนากฎของการอธิษฐานเป็นองค์ประกอบมูลฐานของการเปิดเผยพระธรรมของศาสนทูตทุกองค์ของพระผู้เป็นเจ้า ?ซึ่งรูปแบบและวิธีปฏิบัติของกฎนี้ถูกปรับให้เข้ากับความจำเป็นที่ต่างกันในแต่ละยุค เนื่องด้วยการเปิดเผยพระธรรมครั้งถัดไปทุกครั้งได้ยกเลิกธรรมเนียมปฏิบัติ ?นิสัยและคำสอนต่างๆ ที่สถาปนาไว้อย่างชัดเจน เจาะจงและมั่นคงโดยยุคศาสนาก่อน ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จึงแสดงออกเป็นสัญลักษณ์ด้วยพจน์? ดวงอาทิตย์ ?และ? ดวงจันทร์ ?? เพื่อว่าพระองค์จะพิสูจน์เจ้าว่า ?ใครในพวกเจ้าที่เป็นเลิศกว่าในการกระทำ ?(โกรอ่าน 67:2)

ยิ่งไปกว่านั้นในคำสอนดังกล่าว ?พจน์ ?ดวงอาทิตย์ ?และ ?ดวงจันทร์ ?ยังถูกนำมาใช้หมายถึงการอธิษฐานและการถือศีลอด ?ดังที่มีการกล่าวไว้ว่า?:? การถือศีลอดคือความสว่าง ?การอธิษฐานคือแสงสว่าง ?วันหนึ่งนักบวชที่รู้จักกันดีคนหนึ่งมาเยี่ยมเรา ?ขณะที่เรากำลังสนทนากับเขา เขากล่าวถึงคำสอนที่คัดมาข้างบนนี้ เขากล่าวว่า ?เนื่องด้วยการถือศีลอดทำให้ความร้อนในร่างกายเพิ่มขึ้น ?การถือศีลอดจึงถูกเปรียบเป็นแสงสว่างของดวงอาทิตย์ และการอธิษฐานในยามกลางคืนทำให้มนุษย์สดชื่น การอธิษฐานจึงถูกเปรียบเป็นรัศมีของดวงจันทร์ ??ครั้นแล้วเราตระหนักเลยว่า ชายผู้น่าสงสารนี้ไม่ได้รับการโปรดแม้แต่หยดเดียวจากมหาสมุทรแห่งความเข้าใจที่แท้จริง และหลงไปไกลจากพุ่มไม้ลุกไหม้แห่งอัจฉริยภาพสวรรค์ ?จากนั้นเราให้ข้อสังเกตแก่เขาอย่างสุภาพโดยกล่าวว่า ?การตีความคำสอนนี้ของท่านเป็นที่นิยมกันในหมู่ประชาชน จะตีความให้ต่างจากนี้ไม่ได้หรือ? ?เขาถามเราว่า ?จะตีความว่าอย่างไร? ??เราตอบว่า?:? พระโมฮัมหมัดผู้เป็นตราประทับของศาสนทูตทั้งหลาย ?และเป็นพระศาสดาที่พระผู้เป็นเจ้าเลือกสรรที่โดดเด่นที่สุด ?ได้เปรียบยุคศาสนาของคัมภีร์โกรอ่านเป็นนภาเพราะความสูงส่ง อิทธิพลที่เกรียงไกรที่สุดและราชศักดาของยุคศาสนานี้ ?และเพราะความจริงที่ว่ายุคศาสนานี้รวมศาสนาทั้งปวงไว้ เนื่องด้วยดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นดาวที่สว่างไสวและโดดเด่นที่สุดในนภา ?ทำนองคล้ายกันในนภาแห่งศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า ดาวที่เรืองแสงสองดวงถูกบัญญัติไว้ นั่นคือการถือศีลอดและการอธิษฐาน? อิสลามคือนภา ?การถือศีลอดคือดวงอาทิตย์ ?การอธิษฐานคือดวงจันทร์ในนภา

นี้คือจุดประสงค์ที่เป็นรากฐานของวจนะที่เป็นสัญลักษณ์ของพระศาสดาทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้า ?ดังนั้นการนำพจน์ ?ดวงอาทิตย์ ?และ ?ดวงจันทร์ ?มาใช้กับสิ่งต่างๆ ที่กล่าวไว้แล้ว ได้รับการสาธิตและมีเหตุผลสนับสนุนอยู่ในเนื้อหาของวจนะศักดิ์สิทธิ์และคำสอนที่บันทึกไว้ ?ดังนั้นเป็นที่ชัดเจนและแจ่มแจ้งว่า วาทะ ?ดวงอาทิตย์จะมืดมน ดวงจันทร์จะไม่เรืองแสง ดวงดาวทั้งหลายจะตกลงมาจากนภา ?หมายถึงความหลงผิดของบรรดานักบวช และการยกเลิกกฎต่างๆ ที่สถาปนาไว้อย่างมั่นคงโดยการเปิดเผยพระธรรมสวรรค์ ???ซึ่งทั้งหมดนี้พระศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าด้วยภาษาที่เป็นสัญลักษณ์ ไม่มีใครยกเว้นผู้ชอบธรรมที่จะได้ดื่มจากถ้วยนี้ ไม่มีใครนอกจากผู้มีศีลธรรมที่ได้ส่วนแบ่งจากถ้วยนี้ ?ผู้ชอบธรรมจะดื่มจากถ้วยที่เจือด้วยน้ำพุการบูร ?(โกรอ่าน 76:5)

ไม่มีข้อสงสัยว่าในการเปิดเผยพระธรรมถัดไปทุกครั้ง ??ดวงอาทิตย์ ?และ ?ดวงจันทร์ ?แห่งคำสอน กฎ บทบัญญัติ ?และข้อห้ามต่างๆ ที่สถาปนาไว้ในยุคศาสนาที่มาก่อน และทอดเงาปกคลุมประชาชนในยุคนั้น ?กลับมืดมน นั่นคือ หมดแรงและหมดอิทธิพล บัดนี้จงพิจารณาดู หากประชาชนแห่งกอสเปวมองเห็นความหมายของพจน์ที่เป็นสัญลักษณ์ ?ดวงอาทิตย์ ?และ ?ดวงจันทร์ ??หากพวกเขาไม่เป็นเหมือนกับพวกที่ดื้อรั้นและวิปริต แล้วแสวงหาความรู้แจ้งจากพระผู้เปิดเผยความรู้สวรรค์ ?พวกเขาจะเข้าใจจุดประสงค์ของพจน์เหล่านี้อย่างแน่นอน และจะไม่เดือดร้อนหรือถูกกดขี่ด้วยความมืดมนของกิเลสที่เห็นแก่ตัวของตน ?ใช่แล้ว แต่เนื่องด้วยพวกเขาไม่ได้ความรู้ที่แท้จริงจากบ่อเกิดแห่งความรู้ พวกเขาจึงมอดม้วยอยู่ในหุบเขาอันตรายแห่งความหลงผิดและความเชื่อที่ผิด? พวกเขายังคงไม่ตื่นขึ้นมาสังเกตดูว่า ?สัญลักษณ์ทั้งหมดที่ทำนายไว้ถูกแสดงให้เห็นชัดแล้ว ?ดวงอาทิตย์ตามพันธสัญญารุ่งอรุณขึ้นมาบนขอบฟ้าแห่งการเปิดเผยพระธรรมสวรรค์แล้ว ?และ ?ดวงอาทิตย์ ?และ ?ดวงจันทร์ ?แห่งคำสอน กฎและวิชาของยุคศาสนาก่อน มืดลงและลับฟ้าไปแล้ว

และบัดนี้ด้วยสายตาที่จ้องมองและปีกที่มั่นคง ?จงเข้าไปในหนทางแห่งความมั่นใจและสัจธรรม ?จงกล่าวว่า?:?นั่นคือพระผู้เป็นเจ้า ?เช่นนั้นจงปล่อยให้พวกเขาสนุกกับตนเองด้วยการหาเรื่อง ?(โกรอ่าน 6:91)?? ดังนี้เจ้าจะได้รับการนับเป็นสหายที่พระองค์กล่าวถึงว่า : ?พวกที่กล่าวว่า? พระผู้เป็นนายของเราคือพระผู้เป็นเจ้า ?และยังคงแน่วแน่ในหนทางของพระองค์ ?แท้จริงแล้วเทวดาจะลงมาหาพวกเขา ?(โกรอ่าน 41:30)? เจ้าจะเป็นพยานต่อความลึกลับเหล่านี้ทั้งหมดด้วยตาของเจ้าเอง

ดูกร ?ภราดรของเรา!? จงเดินด้วยก้าวของวิญญาณ ?เพื่อว่าด้วยความรวดเร็วราวพริบตา ?เจ้าจะผ่านที่รกร้างแห่งความห่างไกลและการพลัดพรากไปถึงเรซวานแห่งการกลับมาอยู่ร่วมกันชั่วนิรันดร์ ?และสนทนากับพระวิญญาณสวรรค์ในลมหายใจเดียว เพราะด้วยเท้าของมนุษย์ เจ้าไม่มีหวังจะเดินทางผ่านระยะทางที่วัดไม่ได้เหล่านี้หรือไปถึงเป้าหมายของเจ้า ?ขอสันติสุขจงมีแด่ผู้ที่แสงสว่างแห่งสัจธรรมนำทางไปสู่สัจธรรมทั้งหมด และผู้ที่ในนามของพระผู้เป็นเจ้ายืนอยู่ในหนทางของศาสนาของพระองค์ บนชายฝั่งแห่งความเข้าใจที่แท้จริง

นี้คือความหมายของวจนะศักดิ์สิทธิ์?:? แต่ไม่เลย!? เราขอสาบาญต่อพระผู้เป็นนายแห่งตะวันออกและตะวันตก ?(โกรอ่าน 70:40)? เนื่องด้วย ?ดวงอาทิตย์ ?ทั้งหลายที่กล่าวถึงต่างก็มีสถานที่ขึ้นและตกโดยเฉพาะของตนเอง ?และเนื่องด้วยบรรดาผู้เชี่ยวชาญในคัมภีร์โกรอ่านไม่เข้าใจความหมายที่เป็นสัญลักษณ์ของ ?ดวงอาทิตย์ ?เหล่านี้ ?พวกเขาจึงพยายามอย่างหนักที่จะตีความวจนะท่อนที่คัดมาข้างบน พวกเขาบางคนยืนยันว่า เพราะความจริงที่ว่าดวงอาทิตย์แต่ละวันขึ้นมาจากตำแหน่งที่ต่างกัน ?พจน์ ?ตะวันออก ?และ ?ตะวันตก ?จึงกล่าวไว้เป็นพหูพจน์ บางคนเขียนว่าวจนะท่อนนี้หมายถึงสี่ฤดูของปี เนื่องด้วยการรุ่งอรุณและการตกของดวงอาทิตย์ต่างกันไปตามการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ?ดังกล่าวนี้คือความเข้าใจขั้นลึกซึ้งของพวกเขา!? ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยืนกรานที่จะโยนความหลงผิดและความโง่เง่าไปให้บรรดาพระผู้เป็นมณีแห่งความรู้ ?ผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งอัจฉริยภาพที่ไม่มีที่ติและบริสุทธิ์ที่สุด

ทำนองเดียวกันจากคำกล่าวที่แจ่มแจ้ง ?มีพลัง แน่แท้และไม่คลุมเครือเหล่านี้ ?จงพยายามเข้าใจความหมายของ ?การผ่านภา ?ซึ่งเป็นสัญลัษณ์หนึ่งที่จะต้องนำมาก่อนการมาถึงของชั่วโมงสุดท้าย ?วันแห่งการฟื้นคืนชีพ ดังที่พระองค์ทรงกล่าวว่า?:? เมื่อนภาจะถูกผ่าให้แยกออก ?(โกรอ่าน 82:1)?? นภา ?หมายถึงนภาแห่งการเปิดเผยพระธรรมสวรรค์ ?ซึ่งได้รับการชูขึ้นมาพร้อมกับพระศาสดาทุกพระองค์ ?และถูกฉีกจนขาดสะบั้นพร้อมกับพระศาสดาองค์ถัดไปทุกครั้ง ??ถูกผ่าให้แยกออก ?หมายความว่า ยุคศาสนาก่อนถูกแทนที่และยกเลิก ?เราขอสาบาญต่อพระผู้เป็นเจ้า!? สำหรับผู้ที่สังเกตเห็น ?การที่นภานี้ถูกผ่าให้แยกออกเป็นการกระทำที่ยิ่งใหญ่กว่าการผ่าท้องฟ้า!? จงไตร่ตรองดูสักพัก ?การที่การเปิดเผยพระธรรมสวรรค์หนึ่งซึ่งได้รับการสถาปนาไว้อย่างมั่นคงมาหลายปี ?ซึ่งภายใต้ร่มเงาของการเปิดเผยศาสนานี้ทุกคนที่ยอมรับศาสนาได้รับการเลี้ยงดูและอุ้มชู ?โดยแสงสว่างของกฎของศาสนานี้มนุษย์หลายชั่วคนได้รับการฝึกวินัย ความล้ำเลิศของศาสนานี้มนุษย์ได้ยินบิดาของตนเล่าให้ฟัง ?จนดวงตาของมนุษย์ไม่เห็นสิ่งใดนอกจากอิทธิพลแทรกซอนของกรุณาธิคุณของศาสนานี้ และหูที่จะต้องตายไม่ได้ยินสิ่งใดนอกจากราชศักดาที่ก้องกังวานของบัญชาของศาสนานี้ ?การกระทำใดหรือที่ยิ่งใหญ่กว่าการที่ศาสนาดังกล่าวถูก ?ผ่าให้แยกออก ?โดยอานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า และถูกล้มเลิกด้วยการมาปรากฏของวิญญาณดวงเดียว ?จงใคร่ครวญดู ?นี้คือการกระทำที่ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่มนุษย์ที่ไร้ศักดิ์ศรีและโง่เง่าเหล่านี้ได้จินตนาการความหมายของ ?การผ่านภา ?หรือไม่

ยิ่งไปกว่านั้นจงพิจารณาดูความยากลำบากและความขมขื่นในชีวิตของพระผู้เปิดเผยความงามสวรรค์ทั้งหลาย ?จงใคร่ครวญดู โดยลำพังและโดดเดี่ยวพวกเขาเผชิญโลกและประชาชนทั้งหมดของโลก และเผยแพร่กฎของพระผู้เป็นเจ้าอย่างไร!? ไม่ว่าการประหัตประหารที่กระทำต่อดวงวิญญาณที่วิสุทธิ์ ?ล้ำค่าและอ่อนโยนเหล่านี้จะรุนแรงเพียงไร พวกเขาก็ยังอดทนทั้งๆ ที่มีอานุภาพเหลือล้น ?และทนความทุกข์ทรมานทั้งๆ ที่มีอำนาจเหนือกว่า

ทำนองเดียวกันจงพยายามเข้าใจความหมายของ ?การเปลี่ยนแปลงแผ่นดิน ??จงรู้ไว้ว่าหัวใจใดก็ตามที่ความปรานีจาก ?นภา ?แห่งการเปิดเผยพระธรรมสวรรค์หลั่งมาให้อย่างเหลือล้น ?แผ่นดินของหัวใจเหล่านั้นจะถูกเปลี่ยนเป็นแผ่นดินแห่งความรู้และอัจฉริยภาพสวรรค์อย่างแท้จริง พุ่มไม้แห่งเอกภาพเช่นใดที่ดินของหัวใจของพวกเขาทำให้งอกขึ้นมา!? ดอกไม้แห่งความรู้และอัจฉริยภาพที่แท้จริงเช่นใดที่งอกออกมาจากอกที่เรืองรองของพวกเขา!? หากแผ่นดินของหัวใจของดวงวิญญาณเหล่านี้ยังไม่เปลี่ยน ?พวกเขาซึ่งไม่ได้รับการสอนหนังสือแม้แต่อักษรเดียว ไม่ได้ไปหาครู ?ไม่ได้เข้าโรงเรียน จะสามารถเอ่ยวจนะและแสดงความรู้ที่ไม่มีใครสามารถเข้าใจได้อย่างไร ??เราคิดว่าพวกเขาถูกหล่อจากดินเหนียวแห่งความรู้ที่ไม่มีสิ้นสุด และนวดด้วยน้ำแห่งอัจฉริยภาพสวรรค์ ?ดังนั้นจึงเป็นที่กล่าวไว้ว่า?:? ความรู้คือแสงสว่างที่พระผู้เป็นเจ้าสาดมายังหัวใจของใครก็ตามที่พระองค์ประสงค์ ???ความรู้ชนิดนี้นี่เองที่น่าสรรเสริญ ไม่ใช่ความรู้อันจำกัดที่เกิดจากปัญญาที่ถูกบดบังและม่านปิดกั้น ?ความรู้ที่จำกัดนี้พวกเขาถึงกับแอบยืมกันและกันและภูมิใจกับสิ่งนี้อย่างไร้ประโยชน์!

ขอให้หัวใจของมนุษย์ทั้งหลายได้รับการชำระให้ปลอดจากข้อจำกัดที่มนุษย์สร้างขึ้นและความคิดที่เข้าใจยากที่ยัดเยียดมา!? เพื่อว่าพวกเขาจะสว่างด้วยแสงของดวงอาทิตย์แห่งความรู้ที่แท้จริง ?และเข้าใจความลึกลับทั้งหลายของอัจฉริยภาพสวรรค์ บัดนี้จงพิจารณาดู ?หากดินที่ไม่ดีและแห้งแล้งของหัวใจเหล่านี้ยังคงไม่เปลี่ยน พวกเขาจะกลายเป็นผู้รับการเปิดเผยความลึกลับทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้า ?และเป็นผู้เปิดเผยสาระของพระองค์ได้อย่างไร ?ดังนี้พระองค์ทรงกล่าวไว้ว่า?:? ในวันนั้น ?วันที่แผ่นดินจะเปลี่ยนไปเป็นอีกแผ่นดินหนึ่ง ?(โกรอ่าน 14:48)

สายลมแห่งความอารีของกษัตริย์แห่งสรรพโลกได้ทำให้แม้แต่แผ่นดินของโลกเปลี่ยน ?หากเจ้าไตร่ตรองความลึกลับทั้งหลายของการเปิดเผยพระธรรมสวรรค์ในหัวใจของเจ้า

และบัดนี้จงทำความเข้าใจความหมายของวจนะท่อนนี้?:? ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพแผ่นดินทั้งหมดจะเป็นแค่กำมือของพระองค์ ?นภาทั้งหลายจะถูกพับไว้ด้วยกันในมือขวาของพระองค์ ขอความสรรเสริญจงมีแด่พระองค์!? พระองค์ถูกยกไว้สูงเหนือบรรดาผู้ที่ตีเสมอกับพระองค์! ?(โกรอ่าน 39:67)? และบัดนี้จงเป็นธรรมในการวินิจฉัย ?หากวจนะท่อนนี้มีความหมายตามที่มนุษย์เชื่อกัน ?อาจมีคนถามว่าจะมีประโยชน์อะไรสำหรับมนุษย์ ?ยิ่งไปกว่านั้นเป็นที่ประจักษ์และเห็นชัดว่า ?ไม่มีมือที่ดวงตามนุษย์มองเห็นได้สามารถกระทำสิ่งดังกล่าว หรือถิอได้ว่าสิ่งนี้ที่เกิดจากสาระอันประเสริฐของพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงองค์เดียว ?ไม่เพียงเท่านั้น การยอมรับสิ่งนี้ไม่ใช่อื่นใดนอกจากการหมิ่นประมาทศาสนาล้วนๆ การบิดเบือนสัจธรรมล้วนๆ และหากเป็นที่เชื่อกันว่า วจนะท่อนนี้หมายถึงพระศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าที่จะถูกร้องขอให้กระทำสิ่งดังกล่าวในวันแห่งการพิพากษา ?นี้เช่นกันดูเหมือนจะห่างไกลจากความจริงและไม่มีประโยชน์แน่นอน ในทางตรงกันข้าม พจน์ ?แผ่นดิน ?หมายถึงแผ่นดินแห่งความเข้าใจและความรู้ และ ?นภา ?หมายถึงนภาแห่งการเปิดเผยพระธรรมสวรรค์ จงใคร่ครวญดู ด้วยเงื้อมมืออันทรงอำนาจพระองค์ทรงพับแผ่นดินแห่งความรู้และความเข้าใจที่แต่เดิมกางออกให้เหลือแค่กำมือไว้ในมือหนึ่ง ?และอีกมือหนึ่งทรงกางแผ่นดินใหม่ที่ประเสริฐยิ่งในหัวใจของมนุษย์ทั้งหลาย เป็นการทำให้ดอกไม้ที่สดและสวยงามที่สุด ต้นไม้ที่ยิ่งใหญ่และสูงส่งที่สุด งอกออกมาจากอกที่เรืองรองของมนุษย์

ทำนองเดียวกันจงใคร่ครวญดูว่า ?นภาทั้งหลายที่ถูกชูขึ้นมาในยุคศาสนาทั้งหลายในอดีตถูกพับไว้ด้วยกันอย่างไรในมือขวาแห่งอานุภาพ ?นภาทั้งหลายแห่งการเปิดเผยพระธรรมสวรรค์ถูกชูขึ้นมาอย่างไรโดยบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า และประดับด้วยดวงอาทิตย์ ?ดวงจันทร์และดวงดาวแห่งบทบัญญัติอันน่าพิศวงของพระองค์ ดังกล่าวคือความลึกลับทั้งหลายของพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งถูกเปิดม่านคลุมออกให้เห็นชัด ?เพื่อว่าด้วยอานุภาพแห่งการวางใจและละวาง เจ้าจะได้เข้าใจแสงอรุณแห่งการนำทางสวรรค์ จะได้ดับตะเกียงแห่งความเพ้อฝันอันเหลวไหล จินตนาการอันไร้สาระ ?ความลังเลและสงสัย และจุดแสงสว่างแห่งความมั่นใจและความรู้สวรรค์ที่เกิดใหม่ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจของเจ้า

แท้จริงแล้วจงรู้ไว้ว่า ?จุดประสงค์ที่เป็นรากฐานของพจน์ที่เป็นสัญลักษณ์และการพาดพิงที่เข้าใจยากทั้งหมดเหล่านี้ ?ที่มาจากบรรดาพระผู้เปิดเผยศาสนาที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า คือเพื่อจะทดสอบและพิสูจน์ประชาชนทั้งหลายของโลก ?เพื่อว่าแผ่นดินแห่งหัวใจที่บริสุทธิ์และสว่างจะแยกได้จากดินไม่ดีที่จะเสื่อมสภาพ ตั้งแต่โบราณกาลนี้คือวิธีการที่พระผู้เป็นเจ้าใช้กับบรรดาผู้ที่พระองค์สร้าง ?และบันทึกของคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้การยืนยันเรื่องนี้

และทำนองเดียวกันจงใคร่ครวญดูวจนะที่เปิดเผยไว้เกี่ยวกับ ?เกบเบร ?(ทิศทางที่ต้องหันหน้าไปหาเวลาอธิษฐาน)? เมื่อพระโมฮัมหมัดผู้เป็นดวงอาทิตย์แห่งความเป็นศาสนทูต ?หนีจากอรุโณทัยแห่งบาสะ?(เมกกะ)?ไปยังยาสริบ?(เมดินา)? พระองค์ยังคงหันหน้าขณะอธิษฐานไปยังเยรูซาเลมซึ่งเป็นนครศักดิ์สิทธิ์ ?จนกระทั่งถึงเวลาที่ชาวยิวเริ่มเอ่ยถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมต่อพระองค์ ซึ่งหากนำมากล่าวในหน้าเหล่านี้จะไม่บังควร ?และจะทำให้ผู้อ่านเหนื่อยหน่าย พระโมฮัมหมัดเคืองใจถ้อยคำเหล่านี้เป็นอย่างยิ่ง ขณะที่อยู่ในภวังค์ของสมาธิและความพิศวง ?พระองค์จ้องมองขึ้นไปบนนภาและได้ยินสุรเสียงที่อ่อนโยนของเกเบรียวกล่าวว่า?:? เราเห็นเจ้าจากเบื้องบนกำลังหันหน้าขึ้นหานภา ?แต่เราจะให้เจ้าหันไปหาเกบเบรที่จะทำให้เจ้ายินดี ?(โกรอ่าน 2:144)? วันต่อมาขณะที่ศาสนทูตพร้อมกับบรรดาสหายของพระองค์กำลังสวดบทอธิษฐานเที่ยงวัน ?และได้ทำริคัทที่บัญญัติไว้ไปแล้วสองครั้ง สุรเสียงของเกเบรียวเป็นที่ได้ยินอีกครั้งว่า?:? จงหันหน้าของเจ้าไปหาสุเหร่าศักดิ์สิทธิ์ ?(ที่เมกกะ)? ในขณะที่อธิษฐานอยู่นี้พระโมฮัมหมัดทรงหันหน้าออกจากเยรูซาเลมไปหาคาเบห์ทันที ?ครั้นแล้วสหายทั้งหลายของศาสนทูตเกิดความความยุ่งใจอย่างหนักโดยทันใด ความศรัทธาของพวกเขาสั่นคลอนอย่างหนัก ?พวกเขาตกใจอย่างยิ่งจนหลายคนหยุดอธิษฐานกลางคันและเลิกนับถือศาสนา แท้จริงแล้วพระผู้เป็นเจ้าก่อให้เกิดความสับสนนี้ก็เพื่อจะทดสอบและพิสูจน์คนรับใช้ทั้งหลายของพระองค์ ?ไม่เช่นนั้นแล้วพระองค์ผู้ทรงเป็นกษัตริย์ในอุดมคติสามารถให้เกบเบรอยู่ที่เดิม และให้เยรูซาเลมเป็นตำแหน่งของการบูชาต่อไปสำหรับยุคศาสนาของพระองค์ก็ได้ เพื่อว่าเกียรติของการเป็นที่ยอมรับที่ประทานให้แก่นครศักดิ์สิทธิ์นี้จะไม่สิ้นสุดลง

ศาสนทูตมากมายที่ถูกส่งลงมาในฐานะธรรมทูตของพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้านับตั้งแต่พระโมเสสถูกแสดงให้เห็นชัดเช่น ?เดวิด พระเยซู และพระศาสดาองค์อื่นๆที่ได้รับการชูไว้สูงกว่า ที่มาปรากฏในช่วงเวลาระหว่างการเปิดเผยพระธรรมของพระโมเสสและพระโมฮัมหมัด ?ไม่มีองค์ใดเคยเปลี่ยนแปลงกฎของเกบเบร ธรรมทูตทุกองค์เหล่านี้ของพระผู้เป็นนายแห่งสรรพโลก ล้วนกำกับประชาชนให้หันไปในทิศทางเดียวกัน ในสายตาของพระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นกษัตริย์ในอุดมคติ ?สถานที่ทั้งหมดบนพิภพเป็นหนึ่งเดียวกัน ยกเว้นสถานที่ที่พระองค์กำหนดไว้เพื่อจุดประสงค์ที่เจาะจงเป็นพิเศษในสมัยของพระศาสดาทั้งหลายของพระองค์ ดังที่พระองค์ทรงกล่าวว่า?:? ตะวันออกและตะวันตกเป็นของพระผู้เป็นเจ้า?:?ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะหันไปทางไหน ?ก็มีพระพักตร์ของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ ?(โกรอ่าน 2:115)? แม้ว่ามีสัจธรรมในข้อเท็จจริงนี้ ?ไฉนเกบเบรจึงถูกเปลี่ยนซึ่งก่อให้เกิดความยุ่งใจดังกล่าวในหมู่ประชาชน ?ทำให้สหายทั้งหลายของศาสนทูตหวั่นไหวและสับสนเป็นการใหญ่ ใช่แล้ว สิ่งทั้งหลายดังกล่าวที่ก่อความอกสั่นขวัญหนีในหัวใจของมวลมนุษย์ ?บังเกิดขึ้นก็เพียงเพื่อว่า วิญญาณแต่ละดวงจะถูกทดสอบโดยเกณฑ์ของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อว่าคนจริงจะเป็นที่ทราบและแยกได้จากคนจอมปลอม ดังนี้พระองค์ทรงเปิดเผยหลังจากที่เกิดรอยแยกในหมู่ประชาชนว่า?:? เราไม่ได้กำหนดสิ่งที่จะให้เจ้ามีไว้เป็นเกบเบร ?แต่เพื่อให้เราแยกผู้ที่ปฏิบัติตามอัครสาวกจากผู้ที่สะบัดหน้าหนี ?(โกรอ่าน 2:143)?? ลาโง่ที่ตื่นกลัวหนีสิงโต ?(โกรอ่าน 74:50)

หากเจ้าไตร่ตรองวาทะเหล่านี้ในหัวใจเพียงสักพัก ?เจ้าจะพบอานนไปสู่ความเข้าใจไขออกต่อหน้าเจ้าอย่างแน่นอน ?และจะเห็นความรู้ทั้งปวงและความลึกลับของความรู้เหล่านั้นถูกเปิดม่านคลุมออกต่อสายตาของเจ้า ?สิ่งทั้งหลายดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงเพื่อว่า วิญญาณทั้งหลายของมนุษย์จะพัฒนาและได้รับการปลดปล่อยจากกรงขังแห่งอัตตาและกิเลส ?ไม่เช่นนั้นแล้วกษัตริย์ในอุดมคตินี้ในสาระของพระองค์ไม่ขึ้นกับความเข้าใจของทุกชีวิตมาตลอดนิรันดรกาล และในสภาวะของพระองค์เองจะยังคงประเสริฐเหนือการบูชาของทุกดวงวิญญาณชั่วนิรันดร์ ?สายลมเดียวแห่งความมั่งคั่งของพระองค์เพียงพอที่จะสวมมวลมนุษยชาติด้วยเสื้อคลุมแห่งความมั่งคั่ง และหยดเดียวจากมหาสมุทรแห่งกรุณาธิคุณอันเหลือล้นของพระองค์เพียงพอที่จะประสาทความรุ่งโรจน์ของชีวิตนิรันดร์ให้แก่ทุกชีวิต ?แต่เนื่องด้วยจุดประสงค์สวรรค์มีโองการว่า คนจริงควรแยกจากคนจอมปลอม และดวงอาทิตย์ควรแยกจากเงา ดังนั้นในทุกฤดูกาลพระองค์จึงหลั่งบททดสอบจากอาณาจักรแห่งความรุ่งโรจน์ของพระองค์มายังมนุษยชาติ

หากมนุษย์ทำสมาธิใคร่ครวญดูชีวิตของศาสนทูตทั้งหลายในอดีต ?พวกเขาจะรู้และเข้าใจวิธีการต่างๆ ของศาสนทูตเหล่านี้ได้โดยง่าย ?จนไม่ถูกบังตาด้วยการกระทำและวจนะต่างๆ ที่ขัดกับความต้องการทางโลกของตนอีกต่อไป ?และดังนี้จะเผาผลาญม่านปิดกั้นทุกผืนด้วยไฟที่กำลังลุกอยู่ในพุ่มไม้แห่งความรู้สวรรค์ ?และจะอาศัยอย่างปลอดภัยอยู่บนบัลลังก์แห่งสันติสุขและความมั่นใจ ตัวอย่างเช่น จงพิจารณาดูพระโมเสสผู้เป็นบุตรของอิมราน ?ซึ่งเป็นหนึ่งในศาสนทูตที่ประเสริฐทั้งหลายและเป็นผู้เปิดเผยคัมภีร์จากสวรรค์เล่มหนึ่ง ในช่วงแรกของชีวิตก่อนการประกาศภารกิจของพระองค์ ?วันหนึ่งขณะที่เดินผ่านตลาดพระองค์เห็นชายสองคนต่อสู้กัน คนหนึ่งขอความช่วยเหลือจากพระโมเสสเพื่อสู้กับคู่ต่อสู้ ครั้นแล้วพระโมเสสเข้าช่วยและสังหารเขา ?บันทึกในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ให้การยืนยันเรื่องนี้ หากนำรายละเอียดมากล่าวจะยืดยาวและขัดจังหวะการอภิปรายเหตุผล รายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมือง ?และตามที่เนื้อหาในคัมภีร์เป็นพยาน พระโมเสสกลัวมาก เมื่อคำเตือน?:? ดูกร ?โมเสส!? ความจริงแล้วเหล่าหัวหน้าปรึกษากันเพื่อจะสังหารเจ้า ?(โกรอ่าน 28:20)? มาถึงหูของพระองค์ ?พระโมเสสออกจากเมืองและไปพักอาศัยอยู่ในมีเดียนโดยเป็นผู้รับใช้โชเอ็บ ?ระหว่างทางที่กลับมาพระโมเสสเข้าไปในหุบเขาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งตั้งอยู่ในที่รกร้างแห่งไซนาย ?และที่นั่นทรงเห็นจินตภาพของกษัตริย์แห่งความรุ่งโรจน์จาก ?พฤกษาที่มิใช่ของตะวันออกหรือตะวันตก ?(โกรอ่าน 24:35)? ที่นั่นพระองค์ได้ยินสุรเสียงปลุกวิญญาณของพระวิญญาณพูดมาจากไฟที่จุดขึ้นมา ?บัญชาพระองค์ให้สาดแสงแห่งการนำทางสวรรค์ให้กับประชาชนของฟาโรห์ เพื่อว่าโดยการปลดปล่อยพวกเขาให้พ้นจากเงาของหุบเขาแห่งอัตตาและกิเลสโดยซัลซาบิลแห่งการละวาง ?พระองค์จะช่วยให้พวกเขาสามารถไปถึงทุ่งหญ้าแห่งธรรมปีติ และโดยการทำให้พวกเขาหายสับสนเพราะความห่างไกล จะทรงพาให้พวกเขาเข้าไปในนครสันติสุขแห่งการปรากฏองค์ของพระผู้เป็นเจ้า ?เมื่อพระโมเสสไปหาฟาโรห์และส่งมอบธรรมสารให้แก่เขาตามที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชา ?ฟาโรห์พูดอย่างดูถูกว่า?:? เจ้าไม่ใช่ผู้ที่ก่อฆาตรกรรมและกลายเป็นคนไม่มีศาสนาหรอกหรือ? ??ดังนี้ตามที่พระผู้เป็นนายแห่งราชศักดาเล่า ฟาโรห์พูดกับพระโมเสสว่า?:? การกระทำอะไรที่เจ้าทำลงไป !? เจ้าเป็นหนึ่งในพวกที่ไม่รู้คุณ ?พระองค์ทรงกล่าวว่า?:? เราทำเช่นนั้นจริงๆ ?และเราเป็นหนึ่งในพวกที่ผิดพลาด ?และเราหนีท่านไปตอนที่เรากลัวท่าน ?แต่พระผู้เป็นนายของเราประทานอัจฉริยภาพให้แก่เรา ?และทำให้เราเป็นหนึ่งในอัครสาวกของพระองค์? ?(โกรอ่าน 26:19)

และบัดนี้จงไตร่ตรองดูในหัวใจของเจ้าเกี่ยวกับความสับสนอลหม่านที่พระผู้เป็นเจ้าปลุกขึ้นมา ?จงใคร่ครวญดูบททดสอบแปลกประหลาดนานัปการที่พระองค์ใช้ทดสอบคนรับใช้ทั้งหลายของพระองค์ จงพิจารณาดูว่า ?พระองค์ทรงเลือกบุคคลหนึ่งจากบรรดาคนรับใช้ของพระองค์ และทรงฝากฝังพันธกิจแห่งการนำทางสวรรค์ให้แก่เขา ผู้ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ามีความผิดฐานฆ่าคนตาย ?ผู้ซึ่งยอมรับความโหดร้ายของตนเอง ผู้ซึ่งในสายตาของโลกได้รับการเลี้ยงดูในบ้านของฟาโรห์ และรับอาหารที่โต๊ะของเขาเป็นเวลาเกือบสามสิบปี พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นกษัตริย์ที่ทรงอำนาจเบ็ดเสร็จ ?ไม่สามารถหรือที่จะรั้งมือของพระโมเสสมิให้ก่อฆาตกรรม เพื่อไม่ให้มีการโทษพระองค์ว่าเป็นผู้สังหาร ซึ่งก่อให้เกิดความสับสนและความรังเกียจในหมู่ประชาชน

ทำนองเดียวกันจงใคร่ครวญดูสภาวะและสภาพของแมรี่ ?โฉมหน้าที่งดงามที่สุดของเธอแสดงความฉงนอย่างยิ่ง ?และกรณีของเธอสาหัสยิ่งนัก จนเธอขมขื่นใจที่ได้เกิดมา ?พยานต่อเรื่องนี้คือเนื้อหาของวจนะศักดิ์สิทธิ์ที่มีการกล่าวไว้ว่า ?หลังจากที่แมรี่ให้กำเนิดพระเยซู เธอคร่ำครวญต่อความระกำลำบากของเธอและร้องว่า?:? โอ ?ขอให้ข้าได้ตายก่อนนี้ ?และกลายเป็นสิ่งที่ถูกลืม ?ถูกลืมไปเลย! ?(โกรอ่าน 19:22)? เราขอสาบาญต่อพระผู้เป็นเจ้า!? ความเศร้าโศกดังกล่าวกลืนกินหัวใจและเขย่าชีวิต ?ความอกสั่นขวัญหนีของวิญญาณดังกล่าว ความสิ้นหวังดังกล่าว ?จะมีเหตุมาจากสิ่งอื่นใดไม่ได้นอกจากการตำหนิของศัตรูและการหาเรื่องของพวกที่ไม่มีศาสนาและวิปริต ?จงใคร่ครวญดู แมรี่จะให้คำตอบอะไรแก่ประชาชนรอบๆ เธอได้ ?เธอจะอ้างได้อย่างไรว่าเด็กทารกซึ่งบิดาของเขาไม่เป็นที่ทราบ ?ตั้งครรภ์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ?ดังนั้นแมรี่ผู้คลุมโฉมหน้าอมตะไว้ จึงอุ้มลูกของเธอแล้วกลับบ้าน ทันใดที่ดวงตาของประชาชนมองมาที่เธอ ?พวกเขาเปล่งเสียงว่า?:? ดูกร ?ภคินีแห่งเอรอน!? บิดาของเจ้าไม่ใช่บุรุษแห่งความชั่วร้าย ?มารดาของเจ้าหาใช่สาวไม่บริสุทธิ์ ?(โกรอ่าน 19:28)

และบัดนี้จงทำสมาธิใคร่ครวญดูความโกลาหลครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดนี้ ?บททดสอบที่สาหัสที่สุดนี้ แม้ด้วยสิ่งทั้งหมดเหล่านี้ก็ตาม พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงประทานความรุ่งโรจน์แห่งความเป็นศาสนทูตให้แก่สาระของพระวิญญาณ ?ผู้เป็นที่รู้กันในหมู่ประชาชนว่าไม่มีบิดา และทำให้พระเยซูเป็นข้อยืนยันของพระองค์สำหรับทุกคนที่อยู่ในสวรรค์และบนโลก

จงดูซิว่า ?วิธีการของพระศาสดาทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้าตามที่บัญญัติไว้โดยกษัตริย์แห่งสรรพโลก ?ต่างจากวิธีการและความต้องการของมนุษย์อย่างไร!? เมื่อเจ้าเริ่มเข้าใจสาระของความลึกลับเหล่านี้ของสวรรค์ ?เจ้าก็จะเข้าใจจุดประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้มีเสน่ห์ ?พระผู้เป็นที่รักยิ่ง เจ้าจะถือว่าถ้อยคำและการกระทำของพระผู้เป็นประมุขที่ทรงมหิทธานุภาพนี้เป็นหนึ่งเดียวกัน ?อะไรก็ตามที่เจ้าเห็นในการกระทำของพระองค์ เจ้าจะพบสิ่งเดียวกันในคำพูดของพระองค์ อะไรก็ตามที่เจ้าอ่านจากคำพูดของพระองค์ ?เจ้าจะเห็นสิ่งนั้นในการกระทำของพระองค์ ดังนี้นี่เองที่ดูภายนอกแล้วการกระทำและวาทะดังกล่าวคือไฟแห่งความพยาบาทสำหรับคนชั่วร้าย ?แต่ภายในแล้วคือน้ำแห่งความปรานีสำหรับผู้ที่ชอบธรรม หากดวงตาของหัวใจเปิดออก หัวใจนั้นจะสังเกตเห็นว่า วจนะที่เปิดเผยจากนภาแห่งพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับการกระทำที่มาจากอาณาจักรแห่งอานุภาพสวรรค์

ดูกร ?ภราดร!? และบัดนี้จงเอาใจใส่ ?หากสิ่งทั้งหลายดังกล่าวถูกเปิดเผยในยุคศาสนานี้ ?และเหตุการณ์ต่างๆ ดังกล่าวเกิดขึ้นในเวลานี้ ประชาชนจะทำอะไร ??เราขอสาบาญต่อพระผู้เป็นผู้ให้การศึกษามนุษยชาติที่แท้จริง และเป็นผู้เปิดเผยพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าว่า ?ประชาชนจะประกาศอย่างทันใดโดยไม่ต้องสงสัยว่า พระองค์เป็นคนไม่มีศาสนา และจะตัดสินประหารชีวิตพระองค์ พวกเขาไม่เงี่ยหูฟังเสียงที่ประกาศเลยว่า?:?ดูซิ!? พระเยซูปรากฏขึ้นมาจากลมหายใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ?และพระโมเสสถูกเรียกให้มารับงานที่กำหนดโดยพระผู้เป็นเจ้า!? หากเสียงมากมายเปล่งขึ้นก็จะไม่มีหูใดฟังถ้าเรากล่าวว่า ?เด็กที่ไม่มีบิดาได้รับการประสาทพันธกิจของความเป็นศาสนทูต ?หรือฆาตกรได้นำธรรมสาร ?แท้จริงแล้ว แท้จริงแล้วเราคือพระผู้เป็นเจ้า ?มาจากเปลวไฟของพุ่มไม้ลุกไหม้

หากดวงตาแห่งความยุติธรรมถูกเปิดออก ?ดวงตานั้นจะมองเห็นตามที่กล่าวมาเลยว่า ?พระองค์ พระผู้เป็นเหตุและจุดประสงค์สุดท้ายของสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ?ถูกแสดงให้เห็นชัดในยุคนี้ แม้ว่าเหตุการณ์คล้ายๆ กันยังไม่เกิดขึ้นในยุคศาสนานี้ ?กระนั้นประชาชนยังคงยึดติดกับจินตนาการที่ไร้สาระของพวกประพฤติทราม ข้อกล่าวหาที่ใช้กับพระองค์ร้ายแรงเพียงไร!? การประหัตประหารที่กระทำต่อพระองค์รุนแรงเพียงไหน!? เป็นข้อกล่าวหาและการประหัตประหารที่มนุษย์ไม่เคยเห็นหรือได้ยินที่คล้ายกันมาก่อน!

พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงความยิ่งใหญ่!? เมื่อสายธารแห่งวาทะมาถึงขั้นนี้ ?เรามองเห็นและดูซิ!? สุคนธรสของพระผู้เป็นเจ้ากำลังโชยมาจากอรุโณทัยแห่งการเปิดเผยพระธรรม ?และสายลมยามเช้ากำลังพัดมาจากชีบาของพระผู้ทรงความนิรันดร์ ข่าวการเปิดเผยพระธรรมนี้ทำให้หัวใจสำราญและยังความดีใจที่วัดไม่ได้ให้แก่วิญญาณ ?การเปิดเผยพระธรรมนี้ทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนใหม่ และนำของขวัญที่นับและประเมินไม่ได้จากพระผู้เป็นมิตรที่ไม่อาจรู้มาให้ เสื้อคลุมแห่งการสรรเสริญของมนุษย์ไม่สามารถหวังจะสวมได้พอดีกับความสูงส่งของการเปิดเผยพระธรรมนี้ ?และเสื้อกั๊กแห่งวาทะไม่มีวันเข้ารูปกับร่างกายที่เรืองรองของการเปิดเผยพระธรรมนี้ การเปิดเผยพระธรรมนี้คลี่คลายความลึกลับซ่อนเร้นโดยไม่ใช้ถ้อยคำ เปิดเผยความลับของพจนาสวรรค์โดยไม่ต้องพูด สอนความเศร้าโศกและคร่ำครวญให้แก่นกไนติงเกลที่ขับขานอยู่บนคบไม้แห่งความห่างไกลและการพลัดพราก ?สั่งสอนศิลปะของหนทางแห่งความรักและแสดงความลับของการยอมจำนนหัวใจให้แก่นกเหล่านั้น สำหรับบุษบาในเรซวานแห่งการกลับมาอยู่ร่วมกันในสวรรค์ การเปิดเผยพระธรรมนี้เปิดเผยการแสดงความรักของคนรักที่คลั่งไคล้ เปิดม่านให้เห็นเสน่ห์ของผู้ที่เป็นธรรม ประทานความลึกลับของสัจธรรมให้แก่บุหงาในอุทยานแห่งความรัก ?และฝากฝังสัญลักษณ์แห่งความล้ำลึกในสุดไว้ในอุราของคนรัก ณ ชั่วโมงนี้กรุณาธิคุณของการเปิดเผยพระธรรมนี้หลั่งไหลอย่างเหลือล้นจนพระวิญญาณบริสุทธิ์เองอิจฉา!? การเปิดเผยพระธรรมนี้ส่งคลื่นในทะเลมาให้หยดน้ำ ?และประสาทผงธุลีด้วยความอำไพของดวงอาทิตย์ ความอารีของการเปิดเผยพระธรรมนี้หลั่งไหลทะลักมามากล้น ?จนด้วงที่เหม็นสาปที่สุดแสวงหาน้ำหอมของชะมดเชียง และค้างคาวแสวงหาแสงอาทิตย์ การเปิดเผยพระธรรมนี้ได้กระตุ้นคนตายด้วยลมหายใจแห่งชีวิต ?และดลให้พวกเขารีบออกมาจากหลุมศพหินที่ฝังร่างของตน ?การเปิดเผยพระธรรมนี้สถาปนาคนเขลาบนเก้าอี้แห่งวิชา ?และยกผู้กดขี่ขึ้นมาบนบัลลังก์แห่งความยุติธรรม

จักรวาลเปี่ยมไปด้วยพระพรอเนกอนันต์เหล่านี้ ?กำลังรอคอยชั่วโมงที่อิทธิพลของพรสวรรค์ที่มองไม่เห็นของการเปิดเผยพระธรรมนี้ ?จะถูกแสดงให้เห็นชัดในโลกนี้ เมื่อผู้ที่ระโหยและกระหายจัดจะไปถึงโควซาร์แห่งชีวิตของพระผู้เป็นที่รักยิ่งของตน ?และผู้พเนจรที่ผิดพลาดซึ่งหลงทางอยู่ในที่รกร้างแห่งความห่างไกลและศูนยภาพ ?จะเข้าไปในวิหารแห่งชีวิตและได้กลับมาอยู่ร่วมกันกับผู้เป็นที่ปรารถนาของหัวใจของตน ?เมล็ดพืชศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้จะงอกในดินของหัวใจของผู้ใด ?ดอกไม้แห่งสภาวะที่มองไม่เห็นจะงอกออกมาจากอุทยานของวิญญาณของผู้ใด ??แท้จริงแล้วเรากล่าวว่า ไฟของพุ่มไม้แห่งความรักกำลังลุกอย่างร้อนแรงในไซนายแห่งหัวใจ จนสายธารของวาทะศักดิ์สิทธิ์ไม่มีวันดับเปลวไฟนี้ได้ ?มหาสมุทรทั้งหลายไม่มีวันบรรเทาความกระหายจัดของอสุรกายน้ำนี้ได้ และนกฟีนิกซ์แห่งไฟที่ไม่มีดับนี้ไม่สามารถอาศัยอยู่ที่ใดนอกจากในความเปล่งปลั่งของพระพักตร์ของพระผู้เป็นที่รักยิ่ง ?ดูกร ภราดร!? ดังนั้นจงจุดตะเกียงแห่งวิญญาณภายในหัวใจห้องในสุดของเจ้าด้วยน้ำมันแห่งอัจฉริยภาพ ?และปกป้องตะเกียงนี้ด้วยครอบแก้วแห่งความเข้าใจ เพื่อว่าลมหายใจของพวกไม่มีศาสนาจะดับเปลวไฟหรือลดความเจิดจ้าของตะเกียงนี้ไม่ได้? ดังนี้เราได้ให้ความสว่างแก่นภาแห่งวาทะด้วยความอำไพของดวงอาทิตย์แห่งความเข้าใจและอัจฉริยภาพสวรรค์ ?เพื่อว่าหัวใจของเจ้าจะพบความสงบ และเจ้าจะได้เป็นพวกที่เหินด้วยปีกแห่งความมั่นใจ ขึ้นไปบนนภาแห่งความรักของพระผู้เป็นนายของพวกเขา ?พระผู้ทรงปรานี

และบัดนี้เกี่ยวกับวาทะของพระองค์?:? และเมื่อนั้นสัญลักษณ์ของบุตรแห่งมนุษย์จะปรากฏบนนภา ??วาทะเหล่านี้หมายความว่า เมื่อดวงอาทิตย์แห่งคำสอนสวรรค์ถูกบดบัง ?ดวงดาวแห่งกฎที่สถาปนาไว้โดยพระผู้เป็นเจ้าตกลงมา และดวงจันทร์แห่งความรู้ที่แท้จริงซึ่งเป็นผู้ให้ความรู้มนุษยชาติถูกบังแสง ?เมื่อมาตรฐานทั้งหลายแห่งการนำทางสวรรค์และความสุขย้อนกลับ และยามเช้าแห่งสัจธรรมและความชอบธรรมจมลงไปในรัตติกาล เมื่อนั้นสัญลักษณ์ของบุตรแห่งมนุษย์จะปรากฏบนนภา ??นภา ?หมายถึงนภาที่มองเห็น เนื่องด้วยเมื่อใกล้จะถึงชั่วโมงที่ดวงตะวันบนนภาแห่งความยุติธรรมจะถูกแสดงให้เห็นชัด เรือแห่งการนำทางสวรรค์จะแล่นบนทะเลแห่งความรุ่งโรจน์ ?ดวงดาวจะปรากฏบนนภา เป็นการนำมาก่อนการมาถึงของแสงสว่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนี้เพื่อบอกประชาชนล่วงหน้า ทำนองเดียวกันบนนภาที่มองไม่เห็น ดาวดวงหนึ่งจะถูกแสดงให้เห็นชัด ซึ่งจะเป็นสัญญาณนำมาก่อนรุ่งอรุณของยามเช้าที่แท้จริงและสูงส่งนี้สำหรับประชาชนทั้งหลายของโลก ?สัญลักษณ์สองประการนี้บนนภาที่มองเห็นและมองไม่เห็น ได้ประกาศการเปิดเผยพระธรรมของศาสนทูตแต่ละองค์ของพระผู้เป็นเจ้า ตามที่เชื่อกันโดยทั่วไป

หนึ่งในศาสนทูตเหล่านี้คือพระอับราฮัม ?ผู้เป็นพระสหายของพระผู้เป็นเจ้า ก่อนที่พระองค์จะแสดงองค์ให้ปรากฏ ?นิมรอดได้ฝัน ครั้นแล้วเขาเรียกบรรดาโหรมา ซึ่งพวกเขาทำนายให้นิมรอดทราบว่า ?ดาวดวงหนึ่งจะรุ่งขึ้นมาบนนภา ทำนองเดียวกันมีผู้นำข่าวมาประกาศการเสด็จมาของพระอับราฮัมไปทั่วดินแดน

หลังจากพระอับราฮัม ?พระโมเสสผู้ทรงสนทนากับพระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา ?บรรดาโหรในสมัยของพระองค์เตือนฟาโรห์ด้วยถ้อยคำเหล่านี้?:? ดาวดวงหนึ่งได้ขึ้นมาบนนภา ?และดูซิ!? นี้คาดการณ์ถึงการตั้งครรภ์เด็กคนหนึ่งซึ่งจะกุมชะตาของเจ้าและชะตาของประชาชนของเจ้าไว้ในมือของเขา ??ทำนองเดียวกันมีปราชญ์คนหนึ่งมาปรากฏซึ่งยามกลางคืนที่มืดมน เขานำข่าวที่น่ายินดีมาบอกประชาชนของอิสราเอล ?เป็นการปลอบโยนวิญญาณและให้ความอุ่นใจแก่พวกเขา บันทึกต่างๆ ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ให้การยืนยันเรื่องนี้ หากจะกล่าวถึงรายละเอียดทั้งหมด ?สารนี้จะหนาจนเป็นหนังสือ ยิ่งไปกว่านั้นเราไม่ปรารถนาจะเล่าเรื่องต่างๆ ในสมัยที่ผ่านไปแล้ว พระผู้เป็นเจ้าเป็นพยานให้เราว่า แม้แต่สิ่งที่เรากล่าวตอนนี้ก็เป็นเพราะความเมตตารักใคร่ของเราที่มีต่อเจ้า ?เพื่อว่าคนยากไร้ของโลกจะไปถึงชายฝั่งทะเลแห่งความมั่งคั่ง คนเขลาจะได้รับการนำไปสู่มหาสมุทรแห่งความรู้สวรรค์ และบรรดาผู้ที่กระหายความเข้าใจจะได้ดื่มซัลซาบิลแห่งอัจฉริยภาพของพระผู้เป็นเจ้า ไม่เช่นนั้นแล้วคนรับใช้ผู้นี้ถือว่าการพิจารณาบันทึกเหล่านั้นเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงและการละเมิดที่สาหัส

ทำนองเดียวกันเมื่อชั่วโมงแห่งการเปิดเผยพระธรรมของพระเยซูใกล้เข้ามา ?นักบวชเมกัสสามสี่คนตระหนักว่าดวงดาวของพระเยซูมาปรากฏบนนภา จึงออกติดตามแสวงหาจนกระทั่งมาถึงนครซึ่งเป็นบัลลังก์ของอาณาจักรของฮีรอด ?ซึ่งอิทธิพลของอธิปไตยของเขาในสมัยนั้นห้อมล้อมทั่วทั้งดินแดนนั้น

นักบวชมากัสเหล่านี้กล่าวว่า?:? ผู้ที่กำเนิดมาเป็นกษัตริย์ของชาวยิวอยู่ที่ไหน ??เพราะเราเห็นดวงดาวของเขาทางตะวันออกและมาเพื่อบูชาเขา! ?(แมธทิว 2:2)? เมื่อพวกเขาได้ออกแสวงหาก็พบว่า ?ในเบทเลเฮมในดินแดนแห่งจูเดีย เด็กคนนั้นคลอดออกมาแล้ว ?นี้คือสัญลักษณ์ที่ถูกแสดงให้ปรากฏบนนภาที่มองเห็น สำหรับสัญลักษณ์บนนภาที่มองไม่เห็น ?นภาแห่งความเข้าใจและความรู้สวรรค์ ยาห์ยอบุตรของเซคาไรยาคือผู้ที่ให้ข่าวการปรากฏองค์ของพระเยซูแก่ประชาชน ?ดังที่พระองค์ทรงเปิดเผยไว้ว่า?:? พระผู้เป็นเจ้าประกาศยาห์ยอต่อเจ้า ?ซึ่งเขาจะเป็นพยานต่อพระวจนะจากพระผู้เป็นเจ้า ?ต่อผู้ที่ยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์ ?(โกรอ่าน 3:39)? พจน์ ?พระวจนะ ?หมายถึงพระเยซู ?ซึ่งการเสด็จมาของพระองค์ยาห์ยอทำนายไว้ ?ยิ่งไปกว่านั้นในคัมภีร์สวรรค์ทั้งหลายเป็นที่ลิขิตไว้ว่า?:? จอห์นเดอะแบพติสกำลังเทศน์ในที่รกร้างแห่งจูเดีย ?และกล่าวว่า จงสำนึกผิด?:?เพราะอาณาจักรสวรรค์อยู่ใกล้แล้ว ?(แมธทิว 3:1-2)? จอห์นหมายถึงยาห์ยอ

ทำนองเดียวกันก่อนที่ความงามของพระโมฮัมหมัดจะถูกเปิดม่านคลุมออก ?สัญลักษณ์ทั้งหลายบนนภาที่มองเห็นถูกแสดงให้เห็นชัด สำหรับสัญลักษณ์บนนภาที่มองไม่เห็น ?มีชายสี่คนมาปรากฏและสืบทอดกันประกาศข่าวที่น่ายินดีของการรุ่งขึ้นมาของดวงอาทิตย์แห่งธรรมนี้ต่อประชาชน ?รูซเบห์ซึ่งภายหลังชื่อว่าซัลมาน ได้รับเกียรติที่ได้รับใช้พวกเขา เมื่อจุดจบของหนึ่งในสี่คนนี้ใกล้เข้ามา ?เขาจะส่งรูซเบห์ไปให้อีกคนหนึ่ง จนกระทั่งถึงคนที่สี่เมื่อรู้สึกว่าความตายของตนใกล้แล้ว เขากล่าวต่อรูซเบห์ว่า?:? ดูกร ?รูซเบห์!? เมื่อเจ้านำร่างของเราไปฝังแล้ว ?จงไปยังฮีจาซ เพราะที่นั่นดวงตะวันของพระโมฮัมหมัดจะรุ่งขึ้นมา ?ขอความสุขจงมีแด่เจ้าเพราะเจ้าจะได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์!

และบัดนี้เกี่ยวกับศาสนาที่น่าพิศวงและประเสริฐสุดนี้ ?แท้จริงแล้วจงรู้ไว้ว่า นักดาราศาสตร์มากมายได้ประกาศการมาปรากฏของดวงดาวของศาสนานี้บนนภาที่มองเห็น ?ทำนองเดียวกันบนพิภพมีอาหมัดและกาซิมมาปรากฏ?(เชค อาหมัด และ ซียิด กาซิม)? ผู้เป็นประทีปคู่แฝดที่อำไพ ?ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้สุสานของทั้งคู่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์!

จากทั้งหมดที่เรากล่าวมาเป็นที่ชัดเจนและแจ่มแจ้งว่า ?ก่อนการเปิดเผยพระธรรมของพระผู้เป็นกระจกสะท้อนสาระของพระผู้เป็นเจ้าแต่ละองค์ ?จะต้องมีสัญลักษณ์ต่างๆ นำมาก่อนการมาถึงของพวกเขา ซึ่งสัญลักษณ์เหล่านี้จะถูกเปิดเผยให้เห็นบนนภาที่มองเห็น ?และบนนภาที่มองไม่เห็นซึ่งเป็นที่ตั้งของดวงอาทิตย์แห่งความรู้ ดวงจันทร์แห่งอัจฉริยภาพ ดวงดาวแห่งความเข้าใจและวาทะ ?สัญลักษณ์บนนภาที่มองไม่เห็นจะต้องถูกเปิดเผยในตัวตนของบุรุษที่สมบูรณ์ ผู้ซึ่งก่อนที่พระศาสดาแต่ละองค์จะปรากฏ จะอบรมและตระเตรีนมวิญญาณทั้งหลายของมนุษย์สำหรับการมาถึงของดวงอาทิตย์แห่งธรรม ?พระผู้เป็นแสงสว่างแห่งเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้าในหมู่มนุษย์

และบัดนี้ในเรื่องของวาทะของพระองค์ที่ว่า?:? เมื่อนั้นชนเผ่าทั้งหมดของโลกจะเศร้าโศก ?และพวกเขาจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาในก้อนเมฆบนนภาด้วยอานุภาพและความรุ่งโรจน์ที่ยิ่งใหญ่ ? วาทะเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์หมายความว่า ?ในสมัยนั้นมนุษย์จะเศร้าโศกต่อการการสูญเสียดวงอาทิตย์แห่งความงามสวรรค์ ?ดวงจันทร์แห่งความรู้ และดวงดาวแห่งอัจฉริยภาพสวรรค์ ครั้นแล้วพวกเขาจะเห็นพระพักตร์ของพระศาสดาตามพันธสัญญา ?พระผู้ทรงความงามอันเป็นที่บูชา เสด็จลงมาจากนภาและขี่ก้อนเมฆ นี้หมายความว่าพระผู้ทรงความงามสวรรค์จะถูกแสดงให้เห็นชัดจากนภาแห่งพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ?และจะมาปรากฏในรูปของตัวตนมนุษย์ พจน์ ?นภา ?เป็นสัญลักษณ์แห่งความสูงส่งและความประเสริฐ เนื่องด้วยนภาเป็นสถานที่เปิดเผยองค์ของบรรดาพระผู้แสดงความวิสุทธิ์ พระผู้เป็นอรุโณทัยแห่งความรุ่งโรจน์บรมโบราณ ?แม้จะคลอดออกมาจากครรภ์มารดา พระผู้ทรงบรมโบราณเหล่านี้ในความเป็นจริงแล้วเสด็จลงมาจากนภาแห่งพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า แม้จะอาศัยอยู่บนโลกนี้ ที่อาศัยที่แท้จริงของพวกเขาคือสถานที่วิเวกแห่งความรุ่งโรจน์ในอาณาจักรเบื้องบน ?ขณะที่เดินอยู่ในหมู่ผู้ที่จะต้องตาย พวกเขาเหินอยู่บนนภาแห่งการปรากฏองค์ของพระผู้เป็นเจ้า ?พวกเขาย่างเท้าบนหนทางแห่งวิญญาณโดยปราศจากเท้า ?และขึ้นไปสู่ยอดอันประเสริฐแห่งเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้าโดยปราศจากปีก ?ทุกลมหายใจที่ชั่วแล่นพวกเขาท่องไปทั่วอวกาศที่ไพศาล และทุกขณะพวกเขาข้ามอาณาจักรที่มองเห็นและมองไม่เห็น ?บนบัลลังก์ของพวกเขาเป็นที่ลิขิตไว้ว่า?:? ไม่มีสิ่งใดขัดขวางพระองค์ไม่ให้สาละวนอยู่กับสิ่งอื่น ??และบนที่ประทับของพวกเขาเป็นที่จารึกไว้ว่า?:? แท้จริงแล้ววิธีของพระองค์ต่างกันทุกวัน ?(โกรอ่าน 55:29)? พวกเขาถูกส่งมาโดยอานุภาพที่เหนือธรรมดาของพระผู้ทรงดำรงอยู่ก่อนยุคสมัย ?และได้รับการเชิดชูโดยพระประสงค์อันประเสริฐของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่ทุด ?นี้คือความหมายของวจนะ?:? เสด็จมาในก้อนเมฆบนนภา

ในวาทะต่างๆ ของดวงอาทิตย์แห่งธรรมทั้งหลาย ?พจน์ ?นภา ?ถูกนำมาใช้หมายถึงสิ่งต่างๆ มากมายเช่น ?นภาแห่งบัญชา ???นภาแห่งพระประสงค์ ??นภาแห่งจุดประสงค์สวรรค์ ??นภาแห่งควมรู้สวรรค์ ???นภาแห่งความมั่นใจ ??นภาแห่งวาทะ ??นภาแห่งการเปิดเผยพระธรรม ??นภาแห่งการปกปิด ??และที่คล้ายกัน? ในทุกกรณีพระองค์ให้ความหมายพิเศษอย่างหนึ่งแก่พจน์ ?นภา ??ซึ่งนัยของแต่ละความหมายไม่ได้เปิดเผยต่อผู้ใด นอกจากบรรดาผู้ที่เข้ามาถึงความลึกลับสวรรค์ ?และได้ดื่มจากถ้วยแห่งชีวิตอมตะ ตัวอย่างเช่นพระองค์กล่าวว่า?:? นภามีสิ่งยังชีพสำหรับเจ้า ?และบรรจุสิ่งที่สัญญาไว้กับเจ้า ?(โกรอ่าน 51:22)? ทวาแผ่นดินนี่เองที่ให้สิ่งยังชีพ ?ทำนองเดียวกันเป็นที่กล่าวไว้ว่า?:? นามทั้งหลายมาจากนภา ??ทวานามเหล่านั้นออกมาจากปากของมนุษย์ ?หากเจ้าชำระกระจกแห่งหัวใจของเจ้าให้ปลอดจากธุลีแห่งความประสงค์ร้าย ?เจ้าก็จะเข้าใจความหมายของพจน์ที่เป็นสัญลักษณ์ต่างๆ ที่เปิดเผยโดยพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าที่ครอบคลุมทุกสิ่ง ?ซึ่งถูกแสดงให้เห็นชัดในทุกยุคศาสนา และจะค้นพบความลึกลับทั้งหลายของความรู้สวรรค์ อย่างไรก็ตามจนกว่าเจ้าจะเผาผลาญม่านแห่งวิชาที่เหลวไหลที่ใช้กันในหมู่มนุษย์ ?ด้วยเปลวไฟแห่งความปล่อยวางอย่างสิ้นเชิง เจ้าจึงจะสามารถเห็นยามเช้าที่อำไพแห่งความรู้ที่แท้จริง

แท้จริงแล้วจงรู้ไว้ว่าความรู้มีสองชนิด?:?ความรู้ของพระผู้เป็นเจ้าและความรู้ของซาตาน ?ความรู้หนึ่งเอ่อล้นมาจากน้ำพุแห่งแรงบันดาลใจสวรรค์ ?อีกความรู้หนึ่งเป็นเพียงการสะท้อนความคิดที่ไร้สาระและเข้าใจยาก ?บ่อเกิดของความรู้แรกคือพระผู้เป็นเจ้าเอง แรงจูงใจของความรู้หลังคือการกระซิบของกิเลสที่เห็นแก่ตัว ?ความรู้แรกได้รับการนำทางด้วยหลักธรรม?:? จงเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า ?พระผู้เป็นเจ้าจะสอนเจ้า ?(โกรอ่าน 2:282)? อีกความรู้หนึ่งเป็นเพียงการยืนยันสัจธรรมที่ว่า?:? ความรู้คือม่านที่ร้ายกาจที่สุดระหว่างมนุษย์และพระผู้สร้างของเขา ??ความรู้แรกออกผลเป็นความอดทน ความปรารถนายิ่ง ความเข้าใจที่แท้จริงและความรัก ?ขณะที่ความรู้หลังไม่ออกผลอะไรนอกจากความจองหอง ความทะนงและความถือดี กลิ่นสาปของคำสอนที่มืดมนเหล่านี้ที่ปกคลุมโลก ?ไม่สามารถพบได้ในคำพูดของท่านนายแห่งวาทะศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ผู้อรรถาธิบายความหมายของความรู้ที่แท้จริง ต้นไม้ของคำสอนดังกล่าวไม่สามารถออกผลอะไรนอกจากความไม่เป็นธรรมและความพยศ ?ความเกลียดชังและความอิจฉา ผลไม้ของต้นไม้นี้มีพิษถึงตาย ร่มเงาของต้นไม้นี้คือไฟที่เผาผลาญ เป็นที่กล่าวไว้อย่างเข้าท่าเพียงไรว่า?:? จงจับเสื้อคลุมของพระผู้เป็นยอดปรารถนาของหัวใจของเจ้า ?และเก็บความอับอายทั้งหมดของเจ้าไป จงบอกผู้ชาญฉลาดทางโลกให้ไปซะ ?ไม่ว่าชื่อของพวกเขาจะยิ่งใหญ่เพียงไร

ดังนั้นหัวใจจะต้องได้รับการชำระให้ปลอดจากคำพูดเหลวไหลของมนุษย์ ?เพื่อว่าหัวใจนั้นจะค้นพบความหมายซ่อนเร้นของแรงบันดาลใจจากพระผู้เป็นเจ้า ?และกลายเป็นคลังแห่งความลึกลับของความรู้สวรรค์ ดังนี้เป็นที่กล่าวไว้ว่า?:? ผู้ที่ย่างเท้าบนหนทางหิมะขาวและเดินตามรอยเท้าของเสาคริมซัน ?จะไม่มีวันไปถึงที่พำนักของตน นอกจากว่ามือของเขาจะไม่มีสิ่งต่างๆ ทางโลกที่มนุษย์หวงแหน ??นี้คือสิ่งที่จำเป็นก่อนอื่นสำหรับใครก็ตามที่ย่างเท้าบนหนทางนี้ จงไตร่ตรองดูสิ่งนี้เพื่อว่าด้วยดวงตาที่ไม่ถูกม่านบัง เจ้าจะ สังเกตเห็นสัจธรรมของถ้อยคำเหล่านี้

เราได้ออกไปนอกจุดประสงค์ของการอภิปรายเหตุผลของเรา ?แม้ว่าสิ่งใดก็ตามที่กล่าวถึงมีแต่ช่วยยืนยันจุดประสงค์ของเราเท่านั้น ?พระผู้เป็นเจ้าเป็นพยาน!? ไม่ว่าเราปรารถนายิ่งเพียงไรที่จะกล่าวอย่างย่อ ?กระนั้นเรารู้สึกว่าเราไม่สามารถรั้งปากกาของเราได้ ?แม้ทั้งหมดที่เรากล่าวมานี้ ไข่มุกที่ยังไม่ถูกเจาะรูซึ่งอยู่ในเปลือกหอยแห่งหัวใจของเรามีสุดคณานับเพียงไร!? ฮูริแห่งความหมายซ่อนเร้นมากมายเพียงไรที่ยังถูกปกปิดอยู่ในห้องแห่งอัจฉริยภาพสวรรค์ ?ไม่มีใครเคยเข้าหาพวกเธอ ฮูริ ?ที่ไม่มีมนุษย์หรือวิญญาณเคยแตะต้องมาก่อน ?(โกรอ่าน 55?:56)? แม้ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ?ดูเหมือนว่าไม่มีจุดประสงค์ของเราแม้อักษรเดียวเอ่ยออกมา ?ไม่มีแม้สัญลักษณ์เดียวเกี่ยวกับจุดหมายของเราถูกเปิดเผยออกมา ?เมื่อไรจะพบผู้แสวงหาที่ซื่อสัตย์ที่จะสวมชุดแสวงบุญ ไปถึงคาเบห์แห่งความปรารถนาของหัวใจ ?และค้นพบความลึกลับทั้งหลายของวาทะสวรรค์โดยปราศจากหูหรือลิ้น

ด้วยคำกล่าวที่เรืองรอง ?แน่แท้และแจ่มแจ้งเหล่านี้ ?ความหมายของ ?นภา ?ในวจนะท่อนที่กล่าวมาก่อนนี้จึงเป็นที่ชัดเจนและประจักษ์ ?และบัดนี้เกี่ยวกับวจนะของพระองค์ที่ว่า บุตรแห่งมนุษย์จะ ?เสด็จมาในก้อนเมฆบนนภา ??พจน์ ?ก้อนเมฆ ?หมายถึงสิ่งต่างๆ ที่ขัดกับวิธีและความปรารถนาของมนุษย์ ?ดังที่พระองค์เปิดเผยไว้ในวจนะที่คัดมากล่าวแล้วว่า?:? ทุกครั้งที่พระผู้เป็นอัครสาวกเสด็จมากับสิ่งที่วิญญาณของเจ้าไม่ปรารถนา ?เจ้าลำพองด้วยความทะนง โดยกล่าวหาบางองค์ว่าเป็นผู้หลอกลวง และสังหารองค์อื่น ?(โกรอ่าน 2:87)?? ก้อนเมฆ ?เหล่านี้นัยหนึ่งเป็นสัญลักษณ์หมายถึงการยกเลิกกฎต่างๆ ?การยกเลิกยุคศาสนาก่อน การยกเลิกพิธีกรรมและธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันในหมู่มนุษย์ ?การเชิดชูผู้ซื่อสัตย์ที่ไม่รู้หนังสือให้อยู่เหนือบรรดาผู้รู้ที่ต่อต้านศาสนา อีกนัยหนึ่งก้อนเมฆเหล่านี้หมายถึงการมาปรากฏของพระผู้ทรงความงามที่ไม่ตาย ?ในรูปของมนุษย์ที่จะต้องตาย พร้อมกับข้อจำกัดของความเป็นมนุษย์เช่น การกินและดื่ม ความยากจนและความร่ำรวย ความรุ่งโรจน์และความตกต่ำ การนอนและการเดิน และสิ่งอื่นๆ ที่ทอดความสงสัยเข้ามาในจิตใจของมนุษย์ ?และทำให้มนุษย์หันหนีไป ม่านทั้งหมดดังกล่าวถูกกล่าวไว้เป็นสัญลักษณ์ว่า ?ก้อนเมฆ

เหล่านี้คือ ?ก้อนเมฆ ?ที่ทำให้นภาแห่งความรู้และความเข้าใจของทุกคนที่อาศัยอยู่บนพิภพถูกผ่าให้แยกออก ?ดังที่พระองค์ทรงเปิดเผยไว้ว่า?:? ในวันนั้นนภาจะถูกผ่าโดยก้อนเมฆ ??(โกรอ่าน 25:25)? ดังที่ก้อนเมฆบังดวงตาของมนุษย์ไม่ให้เห็นดวงอาทิตย์ ?เช่นกันสิ่งเหล่านี้ขวางวิญญาณไม่ให้มองเห็นแสงสว่างของดวงอาทิตย์แห่งธรรม ?สิ่งที่เป็นพยานต่อเรื่องนี้ออกมาจากปากของบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อที่เปิดเผยไว้ในคัมภีร์?:? และพวกเขากล่าวว่า?:? อัครสาวกอะไรมีกิริยาเช่นนี้ ??เขากินอาหาร และเดินตามถนน เราจะไม่เชื่อนอกจากว่าเทวดาจะถูกส่งมาและมีส่วนร่วมในการให้คำเตือนของเขา?? ?(โกรอ่าน 25:7)? ทำนองคล้ายกันศาสนทูตองค์อื่นๆ ก็ไม่พ้นจากความยากจนและความเดือดร้อน ?ความหิว ความยุ่งยากและความบังเอิญของโลกนี้ เนื่องด้วยบุคคลศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ไม่หลุดจากสิ่งจำเป็นและความต้องการดังกล่าว ?ประชาชนจึงหลงทางอยู่ในที่รกร้างแห่งความสงสัยเคลือบแคลงใจ และเดือดร้อนด้วยความสับสนฉงนใจ พวกเขาแปลกใจว่า บุคคลดังกล่าวถูกส่งลงมาจากพระผู้เป็นเจ้า ?อ้างว่ามีอำนาจเหนือประชาชนและวงศ์ตระกูลทั้งหมดของโลก และอ้างตนเป็นเป้าหมายของสรรพโลกได้อย่างไร ดังที่พระองค์ทรงกล่าวว่า?:? หากไม่ใช่เพราะเจ้า ?เราย่อมไม่สร้างทุกสิ่งที่อยู่ในสวรรค์และบนโลก ??และกระนั้นบุคคลนี้กลับไม่พ้นจากเรื่องเล็กน้อยดังกล่าว ??ไม่ต้องสงสัยว่าเจ้าต้องรับทราบความทุกข์ทรมาน ความยากจน ความยุ่งยาก ?และความตกต่ำที่บังเกิดกับศาสนทูตทุกองค์ของพระผู้เป็นเจ้าและบรรดาสหายของพระองค์ ?เจ้าต้องได้ยินมาแล้วว่า ศีรษะของเหล่าสาวกของพระศาสดาทั้งหลายถูกส่งเป็นของขวัญไปให้เมืองต่างๆ ?และพวกเขาถูกขัดขวางอย่างร้ายกาจเพียงไรไม่ให้ทำสิ่งที่ตนได้รับบัญชา พวกเขาแต่ละคนตกเป็นเหยื่อในมือของศัตรูศาสนาของพระองค์ ?และต้องทนทุกข์ทรมานกับสิ่งใดก็ตามที่ศัตรูสั่งการ

เป็นที่ประจักษ์ว่า ?การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่เกิดขึ้นในทุกยุคศาสนา ?เป็นก้อนเมฆมืดที่คั่นอยู่ระหว่างดวงตาแห่งความเข้าใจของมนุษย์และดวงอาทิตย์แห่งธรรมที่ส่องแสงมาจากอรุโณทัยแห่งสาระของพระผู้เป็นเจ้า ?จงพิจารณาดูว่า มนุษย์หลายชั่วคนได้เลียนแบบบิดาของตนอย่างตาบอด และได้รับการฝึกฝนตามวิธีและธรรมเนียมปฏิบัติที่กำหนดไว้ตามบงการของศาสนาของตนอย่างไร ?ดังนั้นหากพวกเขาค้นพบบุรุษคนหนึ่งอย่างทันใดซึ่งมีชีวิตอยู่ท่ามกลางพวกเขา และเท่าเทียมกับพวกเขาในแง่ของข้อจำกัดในความเป็นมนุษย์ แต่ได้ลุกขึ้นยกเลิกหลักธรรมทุกข้อที่สถาปนาไว้โดยศาสนาของพวกเขา ?ซึ่งเป็นหลักธรรมที่ใช้ฝึกวินัยพวกเขามาหลายศตวรรษ และผู้ที่ต่อต้านและปฏิเสธศาสนานี้พวกเขาถือว่าเป็นพวกไม่มีศาสนา ฟุ่มเฟือยและชั่วร้าย แน่นอนว่าพวกเขาย่อมถูกม่านบังและขัดขวางมิให้ยอมรับสัจธรรมของพระองค์ ?สิ่งเหล่านี้เป็นเสมือน ?ก้อนเมฆ ?ที่บังตาบรรดาผู้ที่ชีวิตส่วนลึกของตนไม่ได้ลิ้มซัลซาบิลแห่งการปล่อยวาง หรือดื่มจากโควซาร์แห่งความรู้ของพระผู้เป็นเจ้า เมื่อคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมเหล่านี้คนพวกนี้จะถูกม่านบังจนไม่เฉลียวใจสักนิด ?แล้วประกาศว่าพระศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ไม่มีศาสนา และตัดสินประหารชีวิตพระองค์ เจ้าต้องได้ยินเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในทุกยุค และเวลานี้ก็กำลังสังเกตเห็นสิ่งเดียวกันอยู่ในยุคนี้

ดังนั้นเป็นความถูกต้องที่เราจะพยายามเต็มที่ ?เพื่อว่าโดยความช่วยเหลือที่มองไม่เห็นของพระผู้เป็นเจ้า ?ม่านมืดเหล่านี้ ก้อนเมฆแห่งการทดสอบที่สวรรค์ส่งมาเหล่านี้ ?จะไม่ขัดขวางเรามิให้เห็นความงามของพระพักตร์ที่เรืองรองของพระองค์ ?เพื่อว่าเราจะมองเห็นพระองค์โดยตัวพระองค์เองเท่านั้น และหากเราขอข้อยืนยันสัจธรรมของพระองค์ ?เราควรพึงพอใจกับข้อยืนยันเดียวเท่านั้น เพื่อว่าเราจะเข้าถึงพระผู้ทรงเป็นบ่อเกิดของกรุณาธิคุณที่ไม่มีสิ้นสุด ?ซึ่ง ณ เบื้องหน้าของพระองค์ ความอุดมทั้งหมดในโลกเลือนหายไปสิ้น เพื่อว่าเราจะหยุดหาเรื่องพระองค์ทุกวัน และเลิกยึดถือความเพ้อฝันอันเหลวไหลของตนเอง

พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกรุณา!? แม้ว่าจะมีคำเตือนเป็นภาษาสัญลักษณ์ที่น่าพิศวงและคำพาดพิงที่ล้ำลึกในยุคทั้งหลายในอดีต ?ซึ่งมุ่งหมายจะปลุกประชาชนทั้งหลายของโลก และป้องกันพวกเขาไม่ให้ถูกพรากจากส่วนแบ่งของมหาสมุทรแห่งกรุณาธิคุณของพระผู้เป็นเจ้า ?กระนั้นสิ่งดังกล่าวเหล่านี้ที่ได้เห็นมาแล้วก็ได้เกิดขึ้น!? ในคัมภีร์กุรมีอ่านการกล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ ?ดังที่เป็นพยานโดยวจนะท่อนนี้?:? พวกเขาจะคาดหวังสิ่งใดได้นอกจากว่า ?พระผู้เป็นเจ้าควรเสด็จลงมาหาพวกเขาในเงาของก้อนเมฆ ?(โกรอ่าน 2:210)? นักบวชจำนวนหนึ่งซึ่งยึดมั่นตามตัวอักษรของพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า ?ได้ถือวจนะท่อนนี้ว่าเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ทั้งหลายของการฟื้นคืนชีพ ตามความคาดหวังที่เกิดจากความเพ้อฝันอันเหลวไหลของพวกเขา ?แม้จะเป็นความจริงที่ว่า คำกล่าวคล้ายๆ กันมีอยู่ในคัมภีร์สวรรค์เกือบทุกเล่ม และถูกบันทึกไว้ในวรรคที่เกี่ยวเนื่องกับสัญลักษณ์ทั้งหลายของพระศาสดาที่เสด็จมา

ทำนองเดียวกันพระองค์ทรงกล่าวว่า?:? ในวันที่นภาจะปล่อยควันออกมาปกคลุมมนุษยชาติ?:?นี้จะเป็นการทรมานที่เจ็บปวด ?(โกรอ่าน 44:10)? สิ่งเหล่านี้ซึ่งขัดกับความต้องการของคนชั่วร้าย ?พระผู้ทรงความรุ่งโรจน์ทรงประกาศิตไว้เป็นเกณฑ์และมาตรฐานสำหรับใช้พิสูจน์คนรับทั้งหลายของพระองค์ ?เพื่อว่าผู้ยุติธรรมจะแยกได้จากคนชั่วร้าย ผู้ซื่อสัตย์จะแยกได้จากคนไม่มีศาสนา พจน์ที่เป็นสัญลักษณ์ ?ควัน ?หมายถึงการพิพาทอย่างร้ายแรง ?การยกเลิกและล้างมาตรฐานต่างๆ ที่ยอมรับกัน และการทำลายผู้ที่ใจแคบทั้งหลายที่อรรถาธิบายสนับสนุนมาตรฐานเหล่านั้นจนหมดสิ้น ควันใดหรือที่ทึบและมีพลังกว่าควันที่ห่อหุ้มประชาชนทั้งหลายของโลกอยู่เวลานี้ ?ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรมานพวกเขา และพวกเขาปลดปล่อยตัวเองให้หลุดออกมาไม่ได้อย่างสิ้นหวัง ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงไร ?ไฟแห่งอัตตานี้ลุกอยู่ในตัวพวกเขาอย่างร้อนแรงจนดูเหมือนว่า พวกเขาจะถูกทรมานด้วยการทรมานใหม่ๆ อยู่ทุกขณะ ?พวกเขาได้รับการบอกมากเท่าไรว่า ศาสนาที่น่าพิศวงของพระผู้เป็นเจ้านี้ การเปิดเผยพระธรรมจากพระผู้ทรงความสูงส่งที่สุดนี้ ถูกแสดงให้เห็นชัดต่อมวลมนุษยชาติแล้ว และกำลังยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ไฟที่อยู่ในหัวใจของพวกเขาก็ยิ่งร้อนแรงขึ้นเท่านั้น ?ยิ่งพวกเขาสังเกตเห็นความเข้มแข็งที่ไม่ยอมแพ้ การสละที่เป็นเยี่ยม ความไม่ผันแปรอย่างไม่หวั่นไหวของสหายทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้ามากเท่าไร ผู้ซึ่งโดยความช่วยเหลือของพระผู้เป็นเจ้า กำลังเติบโตอย่างประเสริฐและรุ่งโรจน์ขึ้นทุกวัน ความยุ่งใจก็ยิ่งกัดกินวิญญาณพวกเขาลึกมากเท่านั้น ?ขอความสรรเสริญจงมีแด่พระผู้เป็นเจ้า ในสมัยนี้อานุภาพของพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้ามีอำนาจเหนือมนุษย์จนพวกเขาไม่กล้าเอ่ยสักคำ หากพวกเขาเผชิญกับสหายคนหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งหากสามารถทำได้ ก็จะสละหมื่นชีวิตอย่างอิสระและเบิกบานเป็นพลีแด่พระผู้เป็นที่รักยิ่งของตน พวกเขาจะกลัวอย่างยิ่งจนประกาศความศรัทธาในพระองค์ทันที ?แต่ก็จะแอบว่าให้เสียและสาปแช่งพระนามของพระองค์เป็นการส่วนตัว!? ดังที่พระองค์ทรงเปิดเผยไว้ว่า?:? และเมื่อพวกเขาพบเจ้า ?พวกเขากล่าวว่า? เราเชื่อ ?แต่เมื่อพวกเขาแยกตัวไป ?พวกเขากัดปลายนิ้วมือของตนใส่เจ้าด้วยความเดือดดาล ?จงกล่าวว่า?:? จงตายในความเดือดดาลของเจ้า! ? พระผู้เป็นเจ้ารู้สิ่งที่อยู่ในอกส่วนลึกของเจ้าอย่างแท้จริง ?(โกรอ่าน 3:119)

อีกไม่นานดวงตาของเจ้าจะได้เห็นธงแห่งอานุภาพสวรรค์คลี่ออกมาทั่วทุกภูมิภาค ?และสัญลักษณ์แห่งอำนาจที่มีชัยและอธิปไตยของพระองค์จะเป็นที่เห็นชัดในทุกดินแดน ?เนื่องด้วยนักบวชเกือบทั้งหมดไม่เข้าใจความหมายของวจนะเหล่านี้ และไม่เข้าใจนัยของวันแห่งการฟื้นคืนชีพ ?พวกเขาจึงตีความวจนะเหล่านี้อย่างโง่เง่าตามความคิดผิดๆ ที่เหลวไหลของตน พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงองค์เดียวคือพยานของเรา!? พวกเขาต้องอาศัยปัญญาสักหน่อยจึงจะสามารถรวบรวมทุกสิ่งที่เราตั้งใจจะเสนอไว้ในวจนะสองท่อนนี้ด้วยภาษาที่เป็นสัญลักษณ์ ?และดังนี้จะเข้าถึงรุ่งเช้าที่อำไพแห่งความมั่นใจโดยกรุณาธิคุณของพระผู้ทรงปรานี ดังกล่าวนี้คือทำนองดนตรีสวรรค์ ที่วิหคอมตะแห่งสวรรค์บนซัดเดร่ย์แห่งบาฮาขับขานให้เจ้าฟัง ?เพื่อว่าโดยการอนุญาติของพระผู้เป็นเจ้า เจ้าจะได้ย่างเท้าบนหนทางแห่งความรู้และอัจฉริยภาพสวรรค์

และบัดนี้เกี่ยวกับวาทะของพระองค์?:? และพระองค์จะส่งเทวดาทั้งหลายของพระองค์… ???เทวดา ?หมายถึงบรรดาผู้ที่ได้รับการเสริมพลังโดยอานุภาพของวิญญาณ ?และเผาผลาญคุณสมบัติและข้อจำกัดทั้งหมดของความเป็นมนุษย์ด้วยไฟแห่งความรักของพระผู้เป็นเจ้า ?และสวมตนเองด้วยเสื้อผ้าแห่งคุณลักษณะของพระผู้ทรงสภาวะที่ประเสริฐสุดและของเชรูบิม ???บุรุษผู้วิสุทธิ์อิหม่ามซาเดค?(อิหม่ามที่หกของนิกายชีอะห์)?ในคำสรรเสริญเชรูบิมได้กล่าวไว้ว่า?:? ที่นั่นเหล่าสหายชีอะห์ของเรายืนอยู่หลังบัลลังก์ ??การตีความถ้อยคำ ?หลังบัลลังก์ ?มีมากมายนานัปการ นัยหนึ่งชี้บ่งว่าไม่มีชาวชีอะห์ที่แท้จริง ?ดังที่เขากล่าวไว้ในอีกวรรคหนึ่งว่า?:? ศาสนิกชนที่แท้จริงเปรียบได้กับสสารที่สามารถเปลี่ยนโลหะเป็นทอง ??ต่อมาเขากล่าวต่อผู้ที่ฟังเขาว่า ?เจ้าเคยเห็นสสารที่สามารถเปลี่ยนโลหะเป็นทองหรือไม่? ??จงใคร่ครวญดูว่าภาษาที่เป็นสัญลักษณ์นี้ซึ่งคมคายกว่าคำพูดใดๆไม่ว่าจะตรงแค่ไหน ให้การยืนยันอย่างไรว่าไม่มีศาสนิกชนที่แท้จริง ?ดังกล่าวคือข้อยืนยันของอิหม่ามซาเดค และบัดนี้จงพิจารณาดูว่า บรรดาผู้ที่แม้ว่าตนไม่ได้สูดสุคนธรสแห่งความเชื่อ แต่ไปประณามผู้อื่นว่าเป็นคนไม่มีศาสนา ?ทั้งๆ ที่ถ้อยคำของผู้นั้นทำให้ความเชื่อนั้นเป็นที่ยอมรับและพิสูจน์ คนเช่นนี้มีจำนวนมากมายเพียงไรและพวกเขาไม่เป็นธรรมอย่างไร

และบัดนี้เนื่องด้วยชีวิตที่วิสุทธิ์เหล่านี้ได้หลุดพ้นจากข้อจำกัดทุกอย่างของความเป็นมนุษย์ ?ได้รับการประสาทด้วยคุณลักษณะของผู้มีธรรม และได้รับการประดับด้วยคุณสมบัติของผู้ที่ได้พร ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับการระบุว่าเป็น ?เทวดา ??ดังกล่าวคือความหมายของวาทะเหล่านี้ ซึ่งแต่ละถ้อยคำได้รับการอรรถาธิบายโดยการช่วยเหลือของพระธรรมที่แจ่มแจ้งที่สุด การอภิปรายเหตุผลที่ให้ความมั่นใจที่สุด ?และหลักฐานที่ยอมรับกันดีที่สุด

เนื่องด้วยบรรดาผู้สนับสนุนพระเยซูไม่เคยเข้าใจความหมายที่ซ่อนเร้นของวาทะเหล่านี้ ?และเนื่องด้วยสัญลักษณ์ทั้งหลายที่พวกเขาและบรรดาผู้นำศาสนาของพวกเขาคาดหมายมิได้ปรากฏ ?พวกเขาจึงไม่ยอมรับสัจธรรมของพระผู้แสดงความวิสุทธิ์ทั้งหลายตั้งแต่สมัยที่พระเยซูถูกแสดงให้เห็นชัดแม้จนกระทั่งบัดนี้ ?ดังนี้พวกเขาได้พรากตนเองจากกรุณาธิคุณอันวิสุทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าที่หลั่งมา และความมหัศจรรย์ของวาทะสวรรค์ของพระองค์ ?ดังกล่าวนี้คือสภาพที่ต่ำของพวกเขาในวันแห่งการฟื้นคืนชีพนี้!? พวกเขาหาได้เข้าใจว่า ?หากสัญลักษณ์ทั้งหลายของพระศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าในทุกยุคมาปรากฏให้เห็นตำตาตามที่เขียนไว้ในคำพยากรณ์ที่ยอมรับกัน ?จะไม่มีใครสามารถปฏิเสธหรือหันหนีไป ผู้ที่ได้พรจะแยกไม่ได้จากผู้น่าเวทนา ผู้ละเมิดจะแยกไม่ได้จากผู้ที่เกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า ?จงวินิจฉัยอย่างเที่ยงธรรม?:?หากคำพยากรณ์ทั้งหลายที่บันทึกไว้ในกอสเปวบังเกิดขึ้นจริงตามตัวอักษร ?หากพระเยซูบุตรของแมรี่เสด็จลงมาจากนภาบนก้อนเมฆให้เห็นตำตาพร้อมกับเทวดา ?ใครหรือจะกล้าไม่เชื่อ ใครหรือจะกล้าปฏิเสธสัจธรรมและดูหมิ่น ?ไม่เพียงเท่านั้น ?ความอกสั่นขวัญหนีจะครอบงำทุกคนที่อาศัยอยู่บนพิภพอย่างทันใด จนไม่มีดวงวิญญาณใดสามารถเอ่ยสักคำ ?ไหนเลยจะปฏิเสธหรือยอมรับสัจธรรม เป็นเพราะความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสัจธรรมเหล่านี้เอง นักบวชคริสเตียนหลายคนจึงปฏิเสธพระโมฮัมหมัด ?และพูดคัดค้านด้วยถ้อยคำว่า?:? หากท่านเป็นศาสนทูตตามพันธสัญญาจริง ?เช่นนั้นทำไมท่านไม่มีเทวดามาด้วยตามที่คัมภีร์ศักดิ์สิทธ์ของเราทำนายไว้ ?ซึ่งจะต้องลงมากับพระผู้ทรงความงามตามพันธสัญญา เพื่อช่วยเหลือพระองค์ในการเปิดเผยพระธรรมและกระทำตนเป็นผู้เตือนประชาชนของพระองค์? ??ดังที่พระผู้ทรงความรุ่งโรจน์บันทึกคำพูดของพวกเขาไว้ว่า?:? ทำไมไม่มีเทวดาถูกส่งลงมาให้เขา ?เพื่อว่าเขาจะได้เป็นผู้เตือนกับพระองค์? ?(โกรอ่าน 25:7)

ข้อคัดค้านและข้อขัดแย้งดังกล่าวคงอยู่มาในทุกยุคและทุกศตวรรษ ?ประชาชนมักสาละวนอยู่กับปาฐกถาจอมปลอมดังกล่าวเสมอ โดยคัดค้านอย่างไร้สาระว่า?:? ทำไมไม่มีสัญลักษณ์นี้หรือสัญลักษณ์นั้นมาปรากฏ? ??ความยุ่งยากเช่นนี้บังเกิดขึ้นกับพวกเขาก็เพียงเพราะว่า ?พวกเขายึดแนวทางของนักบวชในยุคที่พวกเขามีชีวิตอยู่ และเลียนแบบนักบวชอย่างตาบอดในการยอมรับหรือปฏิเสธพระผู้เป็นสาระแห่งการปล่อยวางเหล่านี้ ?พระผู้มีสภาวะเป็นเจ้าที่วิสุทธิ์เหล่านี้ ด้วยจมอยู่ในกิเลสที่เห็นแก่ตัวและใฝ่หาสิ่งที่ไม่ยั่งยืนและโสมม ผู้นำเหล่านี้ถือว่าดวงอาทิตย์แห่งธรรมเหล่านี้มาต่อต้านมาตรฐานความรู้ความเข้าใจของตน ?และเป็นปรปักษ์ต่อแนวทางและการวินิจฉัยของตน เนื่องด้วยพวกเขาตีความพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า คำพูดและคำพยากรณ์ของบรรดาอักษรแห่งเอกภาพตามตัวอักษร และอรรถาธิบายไปตามความเข้าใจที่บกพร่องของตน พวกเขาจึงได้พรากตนเองและประชาชนทั้งหมดของพวกเขาจากกรุณาธิคุณและความปรานีของพระผู้เป็นเจ้าที่หลั่งมาอย่างเหลือล้น ?และกระนั้นพวกเขาก็เป็นพยานต่อคำสอนที่รู้จักกันดีนี้?:? แท้จริงแล้วพระวจนะของเราเข้าใจยาก ?เข้าใจยากอย่างน่าสับสน ?ในอีกกรณีหนึ่งเป็นที่กล่าวว่า?:? ศาสนาของเราเป็นบททดสอบที่เจ็บปวดและน่าฉงนยิ่งนัก ?ไม่มีใครสามารถทนได้เว้นแต่ผู้ที่สวรรค์โปรดปราน ศาสนทูตที่ได้รับแรงดลใจ ?หรือผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทดสอบความศรัทธาของเขาแล้ว ?บรรดาผู้นำศาสนาเหล่านี้ยอมรับว่าตนไม่อยู่ในข้อยกเว้นทั้งสามนี้ ?สองข้อแรกอยู่เกินเอื้อมของพวกเขาอย่างเห็นชัด สำหรับข้อที่สามเป็นที่ประจักษ์ว่า ไม่เคยมีเวลาใดที่พวกเขาสามารถต้านบททดสอบทั้งหลายที่พระผู้เป็นเจ้าส่งมา ?และเมื่อเกณฑ์สวรรค์มาปรากฏ พวกเขามิได้แสดงตัวเป็นอื่นใดนอกจากขี้โลหะ

พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงความยิ่งใหญ่!? แม้ว่ายอมรับสัจธรรมของคำพยากรณ์นี้ ?นักบวชเหล่านี้ที่ยังคงสงสัยและโต้ถียงกันเกี่ยวกับศาสนศาสตร์ที่เข้าใจยากในศาสนาของตน ?กลับอ้างตนเป็นผู้อรรถาธิบายความล้ำลึกของกฎของพระผู้เป็นเจ้า ?และความลึกลับที่เป็นสาระของพระวจนะศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ พวกเขายืนยันอย่างมั่นใจว่า ?คำพยากรณ์ต่างๆ ที่ชี้บ่งการเสด็จมาของอิหม่ามกาอิมยังไม่บรรลุ ขณะที่พวกเขาเองหาได้สูดสุคนธรสแห่งความหมายของคำพยากรณ์เหล่านั้น ?และยังคงไม่รู้ความจริงที่ว่าสัญลักษณ์ทั้งหมดที่ทำนายไว้บังเกิดขึ้นแล้ว หนทางของศาสนาศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าถูกเปิดเผยแล้ว ?และแม้กระทั่งเวลานี้ผู้ซื่อสัตย์ทั้งหลายกำลังผ่านไปตามหนทางนี้อย่างฉับไวประดุจสายฟ้าแลบ ทวานักบวชโง่เง่าเหล่านี้ยังคอยด้วยความคาดหวังที่จะได้เห็นสัญลักษณ์ที่ทำนายไว้ ?จงกล่าวว่า ดูกร พวกเจ้าผู้โง่เง่าทั้งหลาย! ?จงรอไปเถิด ?ดังเช่นพวกก่อนหน้าเจ้ากำลังรอ!

หากพวกเขาถูกถามเกี่ยวเกี่ยวกับสัญลักษณ์ต่างๆ ที่จะต้องนำมาก่อนการเปิดเผยและการขึ้นมาของดวงอาทิตย์ของยุคศาสนาของพระโมฮัมหมัด ?ซึ่งเรากล่าวถึงไว้แล้ว และยังไม่มีสัญลักษณ์ใดเหล่านั้นบังเกิดขึ้นตามตัวอักษร และหากกล่าวต่อพวกเขาว่า?:? ไฉนเจ้าปฏิเสธคำกล่าวอ้างของคริสเตียนและประชาชนของศาสนาอื่นๆ ?และถือว่าพวกเขาเป็นคนไม่มีศาสนา ?ด้วยไม่รู้ว่าจะให้คำตอบอะไร พวกเขาจะตอบว่า?:? คัมภีร์เหล่านี้ถูกเปลี่ยนแปลงเนื้อหา ?และไม่ใช่และไม่เคยเป็นของพระผู้เป็นเจ้า ??จงใคร่ครวญดู?:?ถ้อยคำท่อนนี้เองให้การยืนยันความจริงอย่างคมคายว่า ?คัมภีร์เหล่านี้เป็นของพระผู้เป็นเจ้า ถ้อยคำอีกท่อนที่คล้ายกันถูกเปิดเผยไว้ในคัมภีร์โกรอ่านเช่นกัน ?หากเจ้าเป็นพวกที่เข้าใจ แท้จริงแล้วเรากล่าวว่า ตลอดช่วงเวลานี้พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่า อะไรหมายถึงการเปลี่ยนแปลงเนื้อหา

ใช่แล้ว ?ในข้อเขียนและวาทะของบรรดาผู้ที่เป็นกระจกสะท้อนดวงอาทิตย์แห่งยุคศาสนาของพระโมฮัมหมัด ?มีการกล่าวถึง ?การดัดแปลงโดยผู้ประเสริฐ ?และ ?การเปลี่ยนแปลงโดยผู้ดูหมิ่น ?อย่างไรก็ตามวรรคทั้งหลายดังกล่าวอ้างอิงถึงเฉพาะบางกรณีเท่านั้น ?หนึ่งในกรณีเหล่านี้คือเรื่องราวของอิบเน่สุรียา เมื่อประชาชนแห่งเคย์บาร์ถามศูนย์กลางแห่งการเปิดเผยพระธรรมของพระโมฮัมหมัด เกี่ยวกับการลงโทษการมีชู้ระหว่างชายที่แต่งงานแล้วและหญิงที่แต่งงานแล้ว ?พระโมฮัมหมัดตอบว่า?:? กฎของพระผู้เป็นเจ้าคือขว้างก้อนหินใส่จนตาย ??ครั้นแล้วพวกเขาคัดค้านว่า?:? ไม่มีกฎดังกล่าวเปิดเผยไว้ในเพนทาทุค ??พระโมฮัมหมัดตอบว่า?:? นักบวชยิวคนไหนของเจ้าที่เจ้าถือว่าเป็นที่ยอมรับนับถือ ?และมีความรู้ที่แน่นอนเกี่ยวกับสัจธรรม? ?พวกเขาเห็นพ้องกันว่าอิบเนสุรียา ?ครั้นแล้วพระโมฮัมหมัดเรียกเขามาและกล่าวว่า?:? พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงแยกทะเลสำหรับเจ้า ?บันดาลให้อาหารลงมายังเจ้า บันดาลให้ก้อนเมฆทอดเงาคลุมเจ้า ?ผู้ทรงปลดปล่อยเจ้าจากฟาโรห์และประชาชนของเขา และเชิดชูเจ้าไว้เหนือมวลมนุษย์ ?ทรงเป็นพยาน เราขอให้เจ้าบอกเราว่า พระโมเสสมีโองการไว้อย่างไรเกี่ยวกับการมีชู้ระหว่างชายที่แต่งงานแล้วและหญิงที่แต่งงานแล้ว ??เขาตอบว่า ?ข้าแต่พระโมฮัมหมัด!? กฎคือขว้างก้อนหินใส่จนตาย ??พระโมฮัมหมัดให้ข้อสังเกตว่า ?เช่นนั้นทำไมกฎนี้ถูกยกเลิกและไม่ใช้กันต่อในหมู่ชาวยิว? ??เขาตอบว่า?:? เมื่อเนบูซัดเนซาร์เผาเยรูซาเลมและสังหารชาวยิว ?มีผู้รอดชีวิตเหลือเพียงไม่กี่คน นักบวชทั้งหลายในยุคนั้นเมื่อพิจารณาถึงชาวยิวที่มีจำนวนจำกัดมาก ?และชาวอมาลีไคท์ที่มีจำนวนมาก ได้ปรึกษากันและได้ข้อสรุปว่า หากพวกเขาบังคับใช้กฎของเพนทาทุค ผู้รอดชีวิตทุกคนที่ได้รับการปลดปล่อยจากมือของเนบูซัดเนซาร์ ?จะถูกสังหารตามการตัดสินของคัมภีร์นี้ ด้วยคำนึงถึงสิ่งนี้พวกเขาจึงยกเลิกการลงโทษประหารชีวิตทั้งหมด ?ระหว่างนั้นเกเบรียวดลหัวใจที่สว่างของพระโมฮัมหมัดด้วยวจนะเหล่านี้?:? พวกเขาบิดเบือนเนื้อหาของพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า ?(โกรอ่าน 4:45)

นี้คือหนึ่งในกรณีทั้งหลายที่กล่าวมา ?แท้จริงแล้ว ?การบิดเบือน ?เนื้อหา ไม่ได้หมายถึงสิ่งที่ดวงวิญญาณที่โง่เง่าและน่าสังเวชเหล่านี้เพ้อฝัน ?ดังที่บางคนยืนยันว่า บรรดานักบวชยิวและคริสเตียนได้ลบวาทะที่ยกย่องสรรเสริญพระพักตร์ของพระโมฮัมหมัดออกไปจากคัมภีร์ ?และใส่ข้อความที่ตรงกันข้ามเข้าไปแทน ถ้อยคำเหล่านี้ไร้สาระและไม่จริงเลยเพียงไร!? ชายคนหนึ่งที่เชื่อในคัมภีร์เล่มหนึ่ง ?และถือว่าคัมภีร์นั้นได้รับแรงดลใจจากพระผู้เป็นเจ้า ?จะทำให้คัมภีร์นั้นเสียหายได้หรือ ?ยิ่งไปกว่านั้นเพนทาทุคได้แพร่กระจายไปบนพื้นผิวโลกทั้งหมด ?และไม่ถูกจำกัดอยู่ที่เมกกะและเมดินา เพื่อว่าพวกเขาจะได้แอบเปลี่ยนแปลงและบิดเบือนเนื้อหาของคัมภีร์นี้เป็นการส่วนตัว ?ไม่เลย แต่การเปลี่ยนแปลงเนื้อหาหมายความถึงสิ่งที่บรรดานักบวชมุสลิมทำอยู่ในปัจจุบันนี้ นั่นคือการตีความคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าตามจิตนาการที่เหลวไหลและความต้องการที่ไร้สาระของตน ?และเนื่องด้วยชาวยิวในสมัยของพระโมฮัมหมัดได้ตีความวาทะในเพนทาทุคที่กล่าวถึงการปรากฏองค์ของพระองค์ตามความเพ้อฝันของตนเอง และไม่พอใจกับวาทะศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ พวกเขาจึงถูกข้อหา ?การบิดเบือน ?เนื้อหา ?ทำนองคล้ายกันในยุคนี้เป็นที่ชัดเจนว่า ประชาชนแห่งคัมภีร์โกรอ่านได้บิดเบือนเนื้อหาของคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าอย่างไร เกี่ยวกับสัญลักษณ์ต่างๆ ของพระศาสดาที่คาดหมาย และตีความเนื้อหานั้นตามที่ตนต้องการและอยากจะให้เป็น

ในอีกกรณีหนึ่งพระองค์ทรงกล่าวว่า?:? พวกเขาส่วนหนึ่งได้ยินพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า ?และหลังจากที่เข้าใจแล้ว พวกเขาบิดเบือนพระวจนะนั้น ?และรู้ว่าตนได้ทำไป ?(โกรอ่าน 2:75)? เช่นกันวจนะท่อนนี้ชี้บ่งว่า ?ความหมายของพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าถูกบิดเบือน ?หาใช่ตัววจนะเองถูกลบออก บรรดาผู้ที่จิตใจปกติให้การยืนยันสัจธรรมนี้

เช่นกันในอีกกรณีหนึ่งพระองค์ทรงกล่าวว่า?:? ความยุ่งยากจงบังเกิดกับผู้ที่ลอกคัมภีร์ให้ผิดไปด้วยมือของตนเองแล้วกล่าวว่า?:? นี้มาจากพระผู้เป็นเจ้า ? เพื่อว่าพวกเขาจะขายสิ่งนั้นด้วยราคาที่ขูดเลือด ?(โกรอ่าน 2:79)? วจนะท่อนนี้ถูกเปิดเผยเป็นการกล่าวถึงนักบวชและผู้นำทั้งหลายของศาสนายิว ?เพื่อที่จะเอาใจคนร่ำรวย เอาค่าตอบแทนทางโลก และระบายความอิจฉาและความเชื่อที่ผิดของตน ?นักบวชเหล่านี้ได้เขียนสารนิพนธ์จำนวนหนึ่ง เป็นการแย้งคำกล่าวอ้างของพระโมฮัมหมัด สนับสนุนการใช้เหตุผลของตนด้วยหลักฐานต่างๆ ที่ไม่เหมาะที่จะกล่าวถึง ?และกล่าวอ้างว่าการใช้เหตุผลเหล่านี้มาจากเนื้อหาของเพนทาทุค

สิ่งเดียวกันนี้อาจเห็นได้ในปัจจุบัน ?จงพิจารณาดูว่าการประณามเหลือล้นเพียงใด ?ที่เหล่านักบวชโง่เง่าในยุคนี้เขียนต่อต้านศาสนาที่น่าพิศวงที่สุดนี้!? พวกเขาจินตนาการอย่างไร้สาระเพียงไรว่า ?การใส่ร้ายเหล่านี้คล้องจองกับวจนะในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า ?และสอดคล้องกับวาทะของบุรุษผู้หยั่งเห็น!

จุดประสงค์ของเราในการเล่าเรื่องเหล่านี้คือเพื่อจะเตือนเจ้าว่า ?หากพวกเขายืนยันว่ามีการบิดเบือนวจนะบางท่อนที่กล่าวถึงสัญลักษณ์ที่กล่าวไว้ในกอสเปว ?หากพวกเขาปฏิเสธวจนะเหล่านี้ และยึดถือวจนะและคำสอนอื่นๆ แทน เจ้าควรรู้ไว้ว่าถ้อยคำของพวกเขาไม่จริงเลยและเป็นการใส่ร้ายสิ้นดี ?ใช่แล้ว ?การเปลี่ยนแปลง ?เนื้อหาตามนัยที่เรากล่าวถึงได้เกิดขึ้นจริงในบางกรณี ซึ่งเราได้กล่าวถึงมาบ้างแล้ว เพื่อให้เป็นที่เห็นชัดสำหรับผู้สังเกตทุกคนที่หยั่งเห็นว่า ?บุรุษศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ได้เล่าเรียนสามสี่ท่านนี้มีความเชี่ยวชาญในวิชาของมนุษย์ เพื่อว่าผูกดขี่ที่คิดร้ายจะเลิกโต้แย้งเสียทีว่า วจนะบางท่อนชี้บ่ง ?การเปลี่ยนแปลง ?เนื้อหา ?และพูดเป็นเชิงว่าเรากล่าวถึงสิ่งเหล่านี้โดยไม่มีความรู้ ยิ่งไปกว่านั้นวจนะเหล่านี้เกือบทุกท่อนที่ชี้บ่ง ?การเปลี่ยนแปลง ?เนื้อหา ถูกเปิดเผยเป็นการพาดพิงถึงประชาชนชาวยิว หากเจ้าสำรวจเกาะแห่งการเปิดเผยคัมภีร์โกรอ่าน

เรายังได้ยินผู้โง่เง่าของโลกจำนวนหนึ่งยืนยันว่า ?เนื้อหาที่แท้จริงของกอสเปวจากสวรรค์ไม่มีอยู่ในหมู่คริสเตียน ?เนื้อหานั้นได้ขึ้นไปบนสวรรค์แล้ว พวกเขาหลงผิดอย่างร้ายแรงเพียงไร!? คำพูดดังกล่าวเป็นการโยนการใช้อำนาจบาตรใหญ่และความอยุติธรรมที่ร้ายกาจที่สุดไปให้พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงรักใคร่และกรุณาโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงเพียงไร!? เมื่อดวงตะวันแห่งความงามของพระเยซูหายไปจากสายตาของประชาชนของพระองค์ ?และขึ้นไปสู่สวรรค์ที่สี่ พระผู้เป็นเจ้าจะบันดาลให้คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ?ซึ่งเป็นข้อยืนยันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่ผู้ที่พระองค์สร้าง ให้หายไปด้วยได้อย่างไร ??จะมีอะไรเหลือจากดวงตะวันของพระเยซูที่ลับฟ้าไปให้ประชาชนยึดถือ จนกว่าดวงตะวันแห่งยุคศาสนาของพระโมฮัมหมัดจะรุ่งขึ้นมา ??กฎอะไรจะสามารถเป็นสิ่งค้ำจุนและนำทางพวกเขา ?ประชาชนดังกล่าวจะกลายเป็นเหยื่อของความพิโรธที่พยาบาทของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้ทรงพยาบาทที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ?ได้อย่างไร ?พวกเขาจะเดือดร้อนจากการลงโทษโดยกษัตริย์แห่งสวรรค์ได้อย่างไร ?เหนืออื่นใดการหลั่งกรุณาธิคุณของพระผู้ทรงโอบอ้อมอารีจะถูกหยุดได้อย่างไร ?มหาสมุทรแห่งความเมตตาปรานีจะหยุดนิ่งได้อย่างไร ??เราแสวงหาที่พักพิงกับพระผู้เป็นเจ้า ให้พ้นจากสิ่งที่บรรดาผู้ที่พระองค์สร้างเพ้อฝันเกี่ยวกับพระองค์!? พระองค์ทรงความประเสริฐเหนือความเข้าใจของพวกเขา!

สหายที่รัก!? เวลานี้ขณะที่แสงสว่างของยามเช้านิรันดร์ของพระผู้เป็นเจ้ากำลังปรากฏขึ้นมา ?ขณะที่รัศมีของวจนะศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์?:? พระผู้เป็นเจ้าคือแสงสว่างของสวรรค์และโลก ?(โกรอ่าน 29:35)?กำลังสาดความสว่างมายังมวลมนุษยชาติ ?ขณะที่วาทะศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์?:? พระผู้เป็นเจ้าประสงค์จะทำให้แสงสว่างของพระองค์เจิดจ้า ?(โกรอ่าน 9:33)?กำลังประกาศความล่วงล้ำไม่ได้ของวิหารของพระองค์ ??และพระหัตถ์ที่ทรงอำนาจเบ็ดเสร็จที่แสดงข้อยืนยันของพระองค์?:? พระองค์ทรงกุมอาณาจักรของทุกสิ่งไว้ในเงื้อมมือของพระองค์ ??กำลังเหยียดออกมาหาประชาชนและวงศ์ตระกูลทั้งหมดของโลก เป็นความถูกต้องที่เราจะเตรียมความอุตสาหะ ?เพื่อว่าโดยกรุณาธิคุณและความอารีของพระผู้เป็นเจ้า เราอาจจะได้เข้าไปในนครสวรรค์?:? แท้จริงแล้วเราเป็นของพระผู้เป็นเจ้า ??และอาศัยอยู่ภายในที่อาศัยอันประเสริฐ?:? และเรากลับไปสู่พระองค์ ??โดยการอนุญาตของพระผู้เป็นเจ้า ?เป็นหน้าที่ของเจ้าที่จะชำระดวงตาแห่งหัวใจของเจ้าให้ปลอดจากโลกีย์ ?เพื่อว่าเจ้าจะตระหนักในความไม่มีสิ้นสุดของความรู้สวรรค์ และเห็นสัจธรรมอย่างชัดเจนจนไม่จำเป็นต้องมีข้อพิสูจน์มาสาธิตสภาวะของพระองค์ ?หรือหลักฐานใดมาเป็นพยานต่อข้อยืนยันของพระองค์

ดูกร ?ผู้แสวงหาที่รักใคร่!? หากเจ้าเหินอยู่ในอาณาจักรอันวิสุทธิ์ของวิญญาณ ?เจ้าจะเห็นพระผู้เป็นเจ้าชัดแจ้งและประเสริฐเหนือสิ่งทั้งปวง ?จนดวงตาของเจ้าจะไม่เห็นสิ่งใดนอกจากพระองค์ ?พระผู้เป็นเจ้าอยู่โดยลำพัง ?ไม่มีใครอื่นนอกจากพระองค์ ?สถานะนี้สูงส่งยิ่งจนไม่มีข้อยืนยันใดเป็นพยานให้ได้ ?หรือหลักฐานใดยืนยันสัจธรรมนี้ได้ดีพอ หากเจ้าสำรวจอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของสัจธรรม ?เจ้าจะพบว่าทุกสิ่งเป็นที่รู้โดยแสงสว่างแห่งการยอมรับพระองค์เท่านั้น พระองค์เป็นที่รู้โดยพระองค์เองเสมอมาและตลอดไป ?และหากเจ้าอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งข้อยืนยัน จงพอใจกับสิ่งที่พระองค์เองเปืดเผยไว้ว่า?:? ไม่เพียงพอสำหรับพวกเขาหรือที่เราส่งคัมภีร์ลงมาให้เจ้า? ?(โกรอ่าน 29:51)? นี้คือข้อยืนยันที่พระองค์เองบัญญัติไว้ ?ไม่มีและจะไม่มีทางมีข้อพิสูจน์ที่ยิ่งใหญ่กว่านี้?:? ข้อพิสูจน์นี้คือพระวจนะของพระองค์ ?ตัวพระองค์เองคือข้อยืนยันสัจธรรมของพระองค์

และบัดนี้เราขอวิงวอนประชาชนแห่งคัมภีร์บายัน ?ผู้รู้ทั้งปวง บรรดาปราชญ์ นักบวช และพยานทั้งหลายในหมู่พวกเขา ?อย่าได้ลืมความปรารถนาและคำตักเตือนที่เปิดเผยไว้ในคัมภีร์ของพวกเขา ?ขอให้พวกเขาจ้องมองแก่นแท้ของศาสนาของพระองค์ทุกเวลา เพื่อว่าเมื่อพระองค์ผู้ทรงเป็นสาระสวรรค์ของสัจธรรม ?เป็นสภาวะที่ซ่อนเร้นของสิ่งทั้งปวง เป็นบ่อเกิดของแสงสว่างทั้งหมด ถูกแสดงให้เห็นชัด พวกเขาจะไม่ยึดติดกับบางวรรคในคัมภีร์ ?และทำให้พระองค์ทุกข์ทรมานอย่างที่เกิดขึ้นในยุคศาสนาของคัมภีร์โกรอ่าน เพราะแท้จริงแล้วพระองค์ พระผู้ทรงเป็นกษัตริย์แห่งอำนาจสวรรค์ ?ทรงอานุภาพที่จะดับลมหายใจแห่งชีวิตของคัมภีร์บายันทั้งเล่มและประชาชนแห่งคัมภีร์บายันทั้งหมด ด้วยอักษรเดียวจากวจนะที่น่าพิศวงของพระองค์ ?และประทานชีวิตใหม่นิรันดร์ให้แก่พวกเขาด้วยอักษรดียว ทำให้พวกเขาลุกขึ้นแล้วรีบออกมาจากหลุมศพหินแห่งกิเลสที่เห็นแก่ตัวและไร้สาระของตน ???จงเอาใจใส่และระวังระไว และระลึกไว้ว่า สิ่งทั้งปวงมีจุดสมบูรณ์อยู่ที่ความเชื่อในพระองค์ ?การมาถึงยุคของพระองค์ และการมาปรากฏองค์ของพระองค์ ??ไม่มีความเคร่งศาสนาในการหันหน้าไปทางตะวันออกหรือตะวันตก ?แต่ผู้เคร่งศาสนาคือผู้ที่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้าและยุคสุดท้าย ?(โกรอ่าน 2:176)? ดูกร ?ประชาชนแห่งคัมภีร์บายัน ?จงเงี่ยหูฟังสัจธรรมที่เราตักเตือนเจ้า ?เพื่อว่าเจ้าจะแสวงหาที่กำบังในร่มเงาที่แผ่คลุมมวลมนุษยชาติในยุคของพระผู้เป็นเจ้า

จบภาคที่หนึ่ง

ภาคที่สอง

แท้จริงแล้วพระองค์ผู้ทรงเป็นดวงตะวันแห่งสัจธรรม ?และเป็นผู้เปิดเผยพระผู้มีสภาวะสูงสุด ทรงมีอธิปไตยที่โต้แย้งไม่ได้เหนือทุกคนที่อยู่ในสวรรค์และบนโลกตลอดกาล ?แม้ว่าจะไม่พบมนุษย์คนใดในโลกที่เชื่อฟังพระองค์ แท้จริงแล้วพระองค์ไม่ขึ้นกับอำนาจทางโลกทั้งปวงแม้ว่าพระองค์จะขัดสนเป็นที่สุด ?ดังนี้เราเปิดเผยความลึกลับทั้งหลายของศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าต่อเจ้า และประทานมณีแห่งอัจฉริยภาพสวรรค์ให้แก่เจ้า เพื่อว่าเจ้าจะเหินด้วยปีกแห่งการละวางขึ้นไปสู่ระดับสูงที่ถูกซ่อนเร้นจากดวงตาของมนุษย์

นัยและจุดประสงค์สำคัญที่เป็นรากฐานของวจนะเหล่านี้คือ ?เพื่อจะเปิดเผยและสาธิตต่อผู้ที่มีหัวใจและจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ว่า ?บรรดาพระผู้เป็นดวงอาทิตย์แห่งสัจธรรมและเป็นกระจกสะท้อนแสงแห่งเอกภาพสวรรค์ ?ไม่ว่าจะถูกส่งลงมายังโลกนี้จากที่อาศัยแห่งความรุ่งโรจน์บรมโบราณที่มองไม่เห็น ?เพื่ออบรมวิญญาณของมนุษย์และประสาททุกสรรพสิ่งด้วยกรุณาธิคุณในยุคหรือวัฏจักรใดก็ตาม ?ล้วนได้รับการประสาทด้วยอานุภาพบีบบังคับและอธิปไตยที่เอาชนะไม่ได้ เพราะพระผู้เป็นมณีที่ซ่อนเร้นเหล่านี้ ?เป็นทรัพย์สมบัติที่ปกปิดไว้และมองไม่เห็นเหล่านี้ เป็นที่เห็นชัดในตัวพระองค์เอง และทรงพิสูจน์ความเป็นจริงของวจนะศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้?:? แท้จริงแล้วพระผู้เป็นเจ้ากระทำตามที่พระองค์ประสงค์และบัญญัติสิ่งที่พระองค์ปรารถนา

สำหรับทุกหัวใจที่สว่างและหยั่งเห็น ?เป็นที่ประจักษ์ว่าพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นสาระที่ไม่อาจรู้ ?พระผู้มีสภาวะเป็นเจ้า ทรงความประเสริฐยิ่งเหนือทุกคุณลักษณะของมนุษย์เช่น ?รูปกาย การขึ้นการลง การออกมาการถอยกลับ ความรุ่งโรจน์ของพระองค์อยู่เกินกว่าลิ้นของมนุษย์จะสรรเสริญพระองค์ได้เพียงพอ ?เกินกว่าหัวใจของมนุษย์จะเข้าใจความลึกลับที่หยั่งไม่ถึงของพระองค์ พระองค์ทรงซ่อนเร้นอยู่ในอนันตกาลบรมโบราณของสาระของพระองค์ ?และจะคงอยู่ในสภาวะที่ซ่อนเร้นจากสายตาของมนุษย์ชั่วนิรันดร์ ??ไม่มีใครมองเห็นพระองค์ แต่พระองค์มองเห็นทุกสิ่ง พระองค์คือพระผู้ทรงความล้ำลึก ?พระผู้ทรงสังเกตเห็นทุกสิ่ง ?(โกรอ่าน 6:103)? ไม่มีสายสัมพันธ์ของการสื่อสารโดยตรงที่สามารถเชื่อมต่อพระผู้เป็นเจ้ากับผู้ที่พระองค์สร้าง? พระองค์ทรงความประเสริฐเหนือการพรากจากกันและการกลับมาอยู่ร่วมกันทั้งปวง ?เหนือความใกล้ชิดและความห่างไกลทั้งปวง ไม่มีสัญลักษณ์ใดชี้บ่งว่าพระองค์อยู่หรือไม่อยู่ ?เนื่องด้วยทุกสิ่งที่อยู่ในสวรรค์และบนโลกเกิดขึ้นมาโดยวจนะเดียวแห่งบัญชาของพระองค์ และทุกสิ่งก้าวออกจากศูนยภาพเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งการดำรงอยู่ซึ่งเป็นโลกที่มองเห็น ?โดยความปรารถนาของพระองค์ซึ่งเป็นพระประสงค์ดั้งเดิมในตัวเอง

พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกรุณา!? มีความสัมพันธ์ใดที่ดำรงอยู่หรือความเชื่อมโยงใดที่เป็นไปได้ระหว่างพระวจนะของพระองค์กับบรรดาผู้ที่ถูกสร้างด้วยพระวจนะนั้น ?ให้นึกคิดได้หรือ ?วจนะ?:? พระผู้เป็นเจ้าจะให้เจ้าระวังพระองค์เอง ?(โกรอ่าน 3:28)?เป็นพยานที่แน่ใจได้ต่อความเป็นจริงของการอภิปรายเหตุผลของเรา ?และวจนะ ?พระผู้เป็นเจ้าอยู่โดยลำพัง ?ไม่มีใครอื่นนอกจากพระองค์ ?คือข้อยืนยันที่แน่นอนของสัจธรรมของการใช้เหตุผลนี้ ?ศาสนทูตทั้งหมดของพระผู้เป็นเจ้าและบรรดาผู้ที่พระองค์เลือกสรร ?นักบวช ปราชญ์ และผู้ชาญฉลาดทั้งปวงของทุกรุ่น ต่างยอมรับอย่างเป็นเอกฉันท์ต่อความไม่สามารถของตนที่จะเข้าใจสาระสวรรค์ของสัจธรรมทั้งหมดนี้ ?และสารภาพความไม่สามารถของตนที่จะเข้าใจพระองค์ พระผู้เป็นสภาวะที่ซ่อนเร้นของทุกสิ่ง

ดังนี้ประตูไปสู่ความรู้เกี่ยวกับพระผู้ทรงดำรงอยู่ก่อนยุคสมัยจึงถูกปิดต่อทุกชีวิต ?ตามคำกล่าวของพระองค์?:? กรุณาธิคุณของพระองค์อยู่เหนือทุกสิ่ง ?กรุณาธิคุณของเราห้อมล้อมสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ? พระผู้เป็นบ่อเกิดแห่งกรุณาธิคุณที่ไม่มีสิ้นสุด? ทรงบันดาลมณีที่เรืองรองแห่งความวิสุทธิ์ทั้งหลายให้ปรากฏออกมาจากอาณาจักรของวิญญาณ ?ในรูปของวรกายอันประเสริฐ และแสดงให้เห็นชัดต่อมวลมนุษย์ เพื่อว่ามณีเหล่านี้จะถ่ายทอดความลึกลับของพระผู้มีสภาวะที่ไม่เปลี่ยนแปลงให้แก่โลก ?และบอกเล่าความล้ำลึกของสาระอันไม่รู้สิ้นของพระองค์? พระผู้เป็นกระจกที่วิสุทธิ์ ?เป็นอรุโณทัยแห่งความรุ่งโรจน์บรมโบราณเหล่านี้ ?ล้วนเป็นผู้อรรถาธิบายบนพิภพของพระผู้เป็นสุริยะ ?สาระและจุดประสงค์สุดท้ายของจักรวาล และได้รับความรู้ ?อานุภาพและอธิปไตยจากพระองค์ ความงามของพระพักตร์ของพระผู้เป็นกระจกเหล่านี้เป็นเพียงการสะท้อนรูปจำลองของพระองค์ ?และการเปิดเผยองค์ของพวกเขาคือสัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์อมรของพระองค์? พวกเขาคือคลังแห่งความรู้ของพระผู้เป็นเจ้าและเป็นที่เก็บอัจฉริยภาพสวรรค์ ?กรุณาธิคุณที่ไม่มีสิ้นสุดถูกส่งผ่านมาทางพวกเขา และแสงสว่างที่ไม่มีเลือนถูกเปิดเผยผ่านมาทางพวกเขา ?ดังที่พระองค์ทรงกล่าวไว้ว่า?:? ไม่มีความแตกต่างใดๆระหว่างพระองค์และพวกเขา ?เว้นแต่ว่าพวกเขาคือคนรับใช้ของพระองค์ และถูกสร้างด้วยพระองค์ ??นี้คือนัยสำคัญของคำสอน?:? เราคือพระองค์เอง ?และพระองค์คือเราเอง

คำสอนและคำพูดที่กล่าวถึงใจความของเราโดยตรงมีหลากหลายนานัปการ ?เราได้ละเว้นจากการคัดสิ่งเหล่านี้มากล่าวเพื่อเห็นแก่ความรวบรัด ?ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งใดก็ตามที่อยู่ในสวรรค์และสิ่งใดก็ตามที่อยู่บนโลก ?คือหลักฐานโดยตรงของการเปิดเผยคุณลักษณะและนามทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้าภายในสิ่งนั้น ?เนื่องด้วยภายในทุกอะตอมมีสัญลักษณ์ต่างๆ ที่เป็นข้อยืนยันที่จับใจของการเปิดเผยแสงสว่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนี้ ?เราคิดว่า หากมิใช่เพราะอานุภาพของการเปิดเผยนี้ จะไม่มีชีวิตใดดำรงอยู่ได้ ?ดวงอาทิตย์แห่งความรู้ที่ส่องแสงในอะตอมหนึ่งนั้นอำไพเพียงไร และมหาสมุทรแห่งอัจฉริยภาพที่สาดซัดอยู่ในหยดน้ำหนึ่งนั้นกว้างใหญ่เพียงไหน!? ระดับสูงสุดของการเปิดเผยนี้อยู่ในมนุษย์ผู้ซึ่งในบรรดาสรรพสิ่งทั้งปวง ?ได้รับการสวมเสื้อคลุมแห่งพรสวรรค์ดังกล่าว และได้รับเลือกสำหรับความรุ่งโรจน์ของความเป็นเอกดังกล่าว ??เพราะในมนุษย์มีศักยภาพของการเปิดเผยคุณลักษณะและนามทั้งหมดของพระผู้เป็นเจ้า ในระดับที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดเป็นเลิศหรือเหนือกว่า ?นามและคุณลักษณะทั้งหมดเหล่านี้เป็นความจริงของมนุษย์ ดังที่พระองค์กล่าวไว้ว่า?:? มนุษย์คือความลึกลับของเรา ?และเราคือความลึกลับของมนุษย์ ??มีวจนะมากมายเปิดเผยไว้ในคัมภีร์สวรรค์ที่ศักดิ์สิทธิ์ทุกเล่ม ?ที่แสดงออกซึ่งใจความที่ล้ำลึกและสูงส่งที่สุดนี้ ดังที่พระองค์ทรงเปิดเผยไว้ว่า?:? เราจะแสดงสัญลักษณ์ของเราในโลกและในตัวพวกเขาเองต่อพวกเขาอย่างแน่นอน ?(โกรอ่าน 41:53)? เช่นกันพระองค์ทรงกล่าวไว้ว่า?:? และในตัวเจ้าเองเช่นกัน?:?เช่นนั้นเจ้าจะไม่เห็นสัญลักษณ์ของพระผู้เป็นเจ้าหรือ? ?(โกรอ่าน 51:21)? และอีกเช่นกันพระองค์ทรงเปิดเผยไว้ว่า?:? และอย่าเป็นเหมือนกับพวกที่ลืมพระผู้เป็นเจ้า ?และดังนั้นพระองค์ได้ทำให้พวกเขาลืมตัวเอง ?(โกรอ่าน 59:19)? ที่เกี่ยวเนื่องกันพระองค์ผู้ทรงเป็นกษัตริย์นิรันดร์ ?ขอให้วิญญาณของทุกคนที่อาศัยอยู่ในวิหารลี้ลับเป็นพลีแด่พระองค์ ?ทรงกล่าวว่า?:? ผู้ที่รู้จักพระผู้เป็นเจ้าคือผู้ที่รู้จักตนเอง

ดูกร ?สหายผู้มีเกียรติและน่าชื่นชมนับถือ!? เราขอสาบาญต่อพระผู้เป็นเจ้า ?หากเจ้าไตร่ตรองวจนะเหล่านี้ในหัวใจของเจ้า ?เจ้าจะพบประตูไปสู่อัจฉริยภาพสวรรค์และความรู้ที่ไม่มีสิ้นสุดเปิดออกต่อหน้าเจ้าอย่างแน่นอน

จากที่กล่าวมาเป็นที่ประจักษ์ว่า ?ทุกสิ่งในสภาวะที่ซ่อนเร้นของตน ให้การยืนยันการเปิดเผยนามและคุณลักษณะทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้าภายในตนเอง ?แต่ละสิ่งตามขีดความสามารถของตน ชี้บ่งและแสดงออกซึ่งความรู้ของพระผู้เป็นเจ้า การเปิดเผยนี้ทั่วถึงและมีอานุภาพยิ่งจนห้อมล้อมทุกสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ?ดังนี้พระองค์ทรงเปิดเผยไว้ว่า?:? สิ่งอื่นใดหรือนอกจากพระองค์ที่มีอานุภาพในการเปิดเผยที่พระองค์ไม่มี ?ซึ่งสามารถแสดงพระองค์ให้ปรากฏ ?ดวงตาที่สังเกตไม่เห็นพระองค์นั้นบอด ?ทำนองเดียวกันพระผู้เป็นกษัตริย์นิรันดร์ทรงกล่าวว่า?:? ไม่มีสิ่งใดที่ข้าพเจ้าสังเกตเห็น ?เว้นแต่สิ่งที่ข้าพเจ้าสังเกตเห็นพระผู้เป็นเจ้าอยู่ภายใน ?อยู่ก่อนและหลังสิ่งนั้น ?เช่นกันในคำสอนของโคเมลเขียนไว้ว่า?:? จงมองดู ?แสงสว่างได้ส่องมาจากยามเช้าแห่งนิรัดรกาล ?และดูซิ!? คลื่นของแสงนี้ได้ทะลุทะลวงสภาวะที่ซ่อนเร้นของมวลมนุษย์ ??มนุษย์ซึ่งประเสริฐและสมบูรณ์ที่สุดในสรรพสิ่งทั้งปวง เป็นเลิศกว่าทุกสรรพสิ่งในระดับของการเปิดเผยนี้ ?และแสดงออกซึ่งความรุ่งโรจน์ของการเปิดเผยนี้ได้บริบูรณ์กว่า?และในบรรดามนุษย์ทั้งมวล ?ผู้ที่เชี่ยวชาญที่สุด โดดเด่นที่สุด ?และเป็นเลิศที่สุด คือพระผู้แสดงดวงอาทิตย์แห่งสัจธรรมให้ปรากฏ ?ไม่เพียงเท่านั้น ทุกคนนอกจากพระผู้แสดงสัจธรรมนี้ ดำรงชีวิตโดยปฏิบัติการของพระประสงค์ของพระองค์ ?เคลื่อนไหวและมีชีวิตโดยการหลั่งกรุณาธิคุณของพระองค์?? หากมิใช่เพราะเจ้าเราย่อมไม่สร้างสวรรค์ขึ้นมา ??ไม่เพียงเท่านั้น ทุกคนเลือนหายไปเป็นศูนยภาพเมื่ออยู่ ณ เบื้องหน้าอันวิสุทธิ์ของพระองค์ ?และกลายเป็นสิ่งที่ถูกลืม ลิ้นของมนุษย์ไม่ทางสรรเสริญพระองค์ได้อย่างสมเกียรติ และคำพูดของมนุษย์ไม่มีทางคลี่คลายความลึกลับของพระองค์ ?พระผู้เป็นวิหารแห่งความวิสุทธิ์เหล่านี้ เป็นกระจกดั้งเดิมที่สะท้อนแสงสว่างของความรุ่งโรจน์ที่ไม่รู้เลือนเหล่านี้ เป็นเพียงการแสดงออกของพระผู้ที่มองไม่เห็นของพระผู้ที่มองไม่เห็นทั้งปวง ?โดยการเปิดเผยมณีแห่งคุณความดีเหล่านี้ นามและคุณลักษณะทั้งหมดของพระผู้เป็นเจ้าเช่น ความรู้และอานุภาพ อธิปไตยและอำนาจปกครอง ความปรานีและอัจฉริยภาพ ความรุ่งโรจน์ ความอารีและกรุณาธิคุณ ถูกแสดงให้เห็นชัด

คุณลักษณะเหล่านี้ของพระผู้เป็นเจ้า ?มิได้และไม่เคยประทานให้แก่ศาสนทูตบางองค์เป็นพิเศษ ?และไม่ให้องค์อื่น ไม่เลย ศาสนทูตทั้งหมดของพระผู้เป็นเจ้า ?ธรรมทูตที่วิสุทธิ์ เป็นที่โปรดปรานและได้รับการเลือกสรรทุกองค์โดยไม่มียกเว้น ?ล้วนเป็นผู้แสดงนามของพระผู้เป็นเจ้า เป็นพรหมกายของคุณลักษณะของพระองค์ ศาสนทูตทั้งหลายแตกต่างกันก็เพียงระดับของการเปิดเผยพระธรรมและอานุภาพของแสงธรรม ?ดังที่พระองค์ทรงเปิดเผยไว้ว่า?:? เราได้ทำให้อัครสาวกบางองค์เป็นเลิศกว่าองค์อื่น ?(โกรอ่าน 2:253)? ดังนั้นเป็นที่เห็นชัดและประจักษ์ว่า ?ภายในวิหารของศาสนทูตและผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าเลือกสรรเหล่านี้ ?มีแสงสว่างแห่งนามที่ไม่มีสิ้นสุดและคุณลักษณะที่ประเสริฐทั้งหลายของพระองค์สะท้อนอยู่ ?แม้ว่าแสงสว่างของบางคุณลักษณะเหล่านี้ อาจถูกหรือไม่ถูกเปิดเผยจากวิหารที่เรืองรองเหล่านี้ให้เห็นภายนอกต่อดวงตาของมนุษย์ ?การที่บางคุณลักษณะของพระผู้ป็นเจ้าไม่ถูกแสดงให้ปรากฏภายนอกโดยพระผู้เป็นสาระแห่งความปล่อยวางเหล่านี้ มิได้แสดงนัยว่า บรรดาพระผู้เป็นอรุโณทัยแห่งคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้า ?และเป็นคลังแห่งนามที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ มิได้ครอบครองคุณลักษณะนั้น ดังนั้นดวงวิญญาณที่สว่างเหล่านี้ พระพักตร์ที่งดงามเหล่านี้ ล้วนได้รับการประสาทด้วยคุณลักษณะทั้งหมดของพระผู้เป็นเจ้าเช่น ?อธิปไตย อำนาจปกครอง และที่คล้ายกัน แม้ดูจากภายนอกเหมือนว่าพวกเขาสิ้นราชศักดาทางโลก สำหรับทุกดวงตาที่หยั่งเห็น นี้เป็นที่ประจักษ์และเห็นชัด ไม่จำเป็นต้องมีข้อพิสูจน์หรือหลักฐาน

ใช่แล้ว ?เนื่องด้วยประชาชนทั้งหลายของโลก ?ไม่แสวงหาความหมายซ่อนเร้นของวจนะศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าจากพระผู้เป็นน้ำพุที่เรืองรองสดใสแห่งความรู้สวรรค์ ?พวกเขาจึงระโหย เป็นทุกข์และกระหายอย่างหนัก อยู่ในหุบเขาแห่งความเพ้อฝันอันเหลวไหลและความหลงผิด พวกเขาหลงไปไกลจากธาราที่สดชื่นและดับกระหาย ?และมารวมตัวกันอยู่รอบเกลือที่แสบร้อน นกพิราบแห่งนิรันดรกาลพูดเกี่ยวกับพวกเขาไว้ว่า?:? และหากพวกเขาเห็นหนทางแห่งความชอบธรรม ?พวกเขาจะไม่ไปตามหนทางนั้น แต่หากพวกเขาเห็นหนทางแห่งความหลงผิด ?พวกเขาจะไปตามหนทางนั้น นี้เป็นเพราะว่าพวกเขาถือว่าสัญลักษณ์ของเราเป็นเรื่องโกหก ?และไม่เอาใจใส่สัญลักษณ์เหล่านี้ ?(โกรอ่าน 7:145)

สิ่งที่เห็นมาในยุคศาสนาที่น่าพิศวงและประเสริฐนี้ ?ให้การยืนยันเรื่องนี้ วจนะศักดิ์สิทธิ์มากมายลงมาจากนภาแห่งอำนาจและกรุณาธิคุณ ?กระนั้นไม่มีใครหันมาหาหรือเลิกยึดถือถ้อยคำของมนุษย์ ซึ่งไม่มีแม้แต่อักษรเดียวที่ผู้พูดเข้าใจสิ่งที่ตนพูด ?ด้วยเหตุผลนี้ประชาชนจึงสงสัยสัจธรรมที่แย้งไม่ได้ดังเช่นที่กล่าวมาเหล่านี้ และทำให้ตนเองถูกพรากจากเรซวานแห่งความรู้ของพระผู้เป็นเจ้าและทุ่งหญ้านิรันดร์แห่งอัจฉริยภาพสวรรค์

และบัดนี้ขอกลับมาอภิปรายเหตุผลของเราต่อเกี่ยวกับคำถาม?:?ทำไมอธิปไตยของอิหม่ามกาอิมที่ได้รับการยืนยันอยู่ในคำพยากรณ์ที่บันทึกไว้ ?และเล่าต่อกันมาโดยดวงดาวที่เรืองแสงทั้งหลายในยุคศาสนาของพระโมฮัมหมัด ยังไม่ถูกแสดงให้เห็นชัดแม้แต่น้อย ??ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม สาวกและสหายทั้งหลายของพระองค์ไม่ได้เดือดร้อนหรือ ?พวกเขายังคงเป็นเหยื่อของการต่อต้านอย่างดุร้ายของศัตรูไม่ใช่หรือ ??ปัจจุบันนี้พวกเขาไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างคนที่ตกต่ำและสิ้นกำลังหรือ ?ใช่แล้ว อธิปไตยที่กล่าวกันว่าเป็นของอิหม่ามกาอิมและพูดไว้ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายคือความเป็นจริง ?คือสัจธรรมที่ไม่มีใครสงสัยได้ อย่างไรก็ตามอธิปไตยนี้ไม่ใช่อธิปไตยที่ปัญญาของมนุษย์จินตนาการอย่างผิดๆ ยิ่งไปกว่านั้นศาสนทูตทั้งหลายในอดีตแต่ละองค์ เมื่อใดก็ตามที่ทรงประกาศการเปิดเผยพระธรรมที่จะมาถึงต่อประชาชนในยุคของตน ?ได้กล่าวไว้อย่างเจาะจงเสมอถึงอธิปไตยที่พระศาสดาตามพันธสัญญาจะต้องได้รับการประสาท บันทึกต่างๆ ในคัมภีร์ทั้งหลายในอดีตเป็นพยานต่อเรื่องนี้ อธิปไตยนี้ไม่ได้ถิอว่าเป็นของอิหม่ามกาอิมแต่เพียงผู้เดียว ไม่เลย คุณลักษณะของอธิปไตย ?นามและคุณลักษณะอื่นทั้งหมดของพระผู้เป็นเจ้า ล้วนประทานให้แก่พระศาสดาทุกองค์ของพระผู้เป็นเจ้าเสมอมาและตลอดไป ทั้งที่มาก่อนและหลังอิหม่ามกาอิม เนื่องด้วยพระศาสดาเหล่านี้ดังที่อธิบายไว้แล้ว คือพรหมกายของคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้า ?พระผู้ที่มองไม่เห็น พระผู้เปิดเผยความลึกลับสวรรค์

ยิ่งไปกว่านั้นอธิปไตยยังหมายถึงอานุภาพที่ห้อมล้อมและแทรกซอนทุกสรรพสิ่ง ?ซึ่งอิหม่ามกาอิมมีอยู่ในตัวและใช้อำนาจนี้ได้ ไม่ว่าพระองค์จะมาปรากฏต่อโลกและสวมราชศักดาแห่งอำนาจปกครองทางโลกหรือไม่ ?นี้ขึ้นกับความประสงค์และความยินดีของอิหม่ามกาอิมเองเท่านั้น เจ้าจะยอมรับเลยว่าคำว่าอธิปไตย ความมั่งคั่ง ชีวิต ความตาย ?การพิพากษาและการฟื้นคืนชีพ ที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ทั้งหลายในอดีต ไม่ใช่สิ่งที่คนรุ่นนี้นึกคิดและจินตนาการอย่างไร้สาระ ไม่เพียงเท่านั้น ?อธิปไตยยังหมายถึงอธิปไตยที่อยู่ภายในตัวของพระศาสดาผู้เป็นดวงตะวันแห่งสัจธรรมในทุกยุคศาสนา ซึ่งทรงใช้อำนาจนี้ได้ อธิปไตยนี้คืออำนาจเหนือกว่าทางธรรมที่พระองค์ใช้เต็มที่กับทุกคนที่อยู่ในสวรรค์และบนโลก ?และจะเปิดเผยตนเองต่อโลกเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เป็นสัดส่วนโดยตรงกับขีดความสามารถและความพร้อมรับธรรมะของโลก ดังเช่นอธิปไตยของพระโมฮัมหมัดผู้เป็นธรรมทูตของพระผู้เป็นเจ้า เป็นที่ชัดเจนและแจ่มแจ้งในหมู่ประชาชนในปัจจุบัน ?เจ้าทราบดีว่าอะไรบังเกิดกับศาสนาของพระองค์ในตอนต้นของยุคศาสนา น้ำมือของพวกไม่มีศาสนาและหลงผิด เหล่านักบวชในยุคนั้นและบรรดาผู้ที่ร่วมมือกับพวกเขา ได้ก่อความทุกข์ทรมานที่น่าสลดเพียงไรให้แก่พระผู้เป็นสาระแห่งจิตวิญญาณ พระผู้มีสภาวะที่บริสุทธิ์และวิสุทธิ์ที่สุด!? หนามและพุ่มไม้หนามมากล้นเพียงไรที่พวกเขาโรยไว้บนหนทางของพระองค์!? เป็นที่ประจักษ์ว่าประชาชนรุ่นที่น่าเวทนานี้ด้วยความเพ้อฝันอันชั่วร้ายของซาตาน ?ได้ถือว่าการทำให้พระผู้มีสภาวะอมตะนี้บาดเจ็บ คือวิธีการบรรลุความสุขที่ยั่งยืน เนื่องด้วยเหล่านักบวชที่ยอมรับกันในยุคนั้นเช่น ?อับดุลเลาะห์ อูไบย์ อาบู อามีร์ผู้เป็นฤาษี คับอิบเน่ อาชราฟและนาซร์อิบเน่ ฮารีส์ ล้วนปฏิบัติต่อพระองค์ในฐานะที่เป็นผู้อวดอ้าง ?และประกาศว่าพระองค์เสียสติและเป็นผู้ใส่ร้าย พวกเขากล่าวหาพระองค์อย่างเจ็บปวดจนในการเล่าเรื่องดังกล่าว พระผู้เป็นเจ้าห้ามน้ำหมึกไม่ให้ไหลออกมา ?ห้ามปากกาของเราไม่ให้ขยับ ห้ามหน้ากระดาษไม่ให้รองรับ การกล่าวหาด้วยความประสงค์ร้ายเหล่านี้ได้ยั่วยุประชาชนให้ลุกขึ้นและทรมานพระองค์ และการทรมานนี้ดุร้ายเพียงไรหากเหล่านักบวชในยุคนั้นเป็นหัวหน้าผู้ยุยง ?หากพวกเขาประณามพระองค์ต่อเหล่าสาวกของตน ขับพระองค์ออกไปจากหมู่สาวก และประกาศว่าพระองค์เป็นผู้ร้าย!? สิ่งเดียวกันนี้ไม่ได้บังเกิดกับคนรับใช้ผู้นี้ดังที่ทุกคนเป็นพยานหรือ

เพราะเหตุผลนี้พระโมฮัมหมัดทรงร้องว่า?:? ไม่มีศาสนทูตองค์ใดของพระผู้เป็นเจ้าถูกทำร้ายอย่างที่เราโดน ??และในคัมภีร์โกรอ่านมีบันทึกการเอ่ยคำใส่ร้ายและคำตำหนิพระองค์ทั้งหมด ?และความเดือดร้อนทั้งหมดที่พระองค์ประสบ จงไปดูคัมภีร์นั้น เพื่อว่าเจ้าจะรับทราบสิ่งที่บังเกิดกับการเปิดเผยพระธรรมของพระองค์ ?ความระกำลำบากของพระองค์นั้นสาหัสยิ่ง จนเวลาหนึ่งทุกคนหยุดสื่อสารกับพระองค์และสหายทั้งหลายของพระองค์ ใครก็ตามที่สมาคมกับพระองค์จะตกเป็นเหยื่อของความโหดร้ายที่ไม่ผ่อนผันของเหล่าศัตรูของพระองค์

เราจะคัดวจนะเพียงท่อนเดียวจากคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องกัน ?หากเจ้าสังเกตวจนะนี้ด้วยดวงตาที่หยั่งเห็น เจ้าจะเศร้าโศกและร่ำไห้ไปตลอดชีวิตที่เหลือต่อการถูกทำร้ายของพระโมฮัมหมัด ?ผู้เป็นธรรมทูตของพระผู้เป็นเจ้าที่ถูกประทุษร้ายและกดขี่ วจนะท่อนนี้ถูกเปิดเผย ณ เวลาที่พระโมฮัมหมัดระโหยอย่างเหนื่อยล้าและทุกข์โศกภายใต้น้ำหนักของการต่อต้านและการทรมานอย่างไม่หยุดหย่อนของประชาชน ?ท่ามกลางความปวดร้าวนี้ สุรเสียงของเกเบรียวเรียกร้องมาจากซาดราตูร ?โมนทาฮา เป็นที่ได้ยินว่า?:? แต่ถ้าการต่อต้านของพวกเขาสาหัสสำหรับเจ้า ?หากเจ้าทำได้ จงแสวงหาช่องลงไปใต้แผ่นดินหรือบันไดขึ้นไปบนนภา ?(โกรอ่าน 6:35)? นัยของวาทะนี้คือ ?กรณีของพระองค์ไม่มีทางออก ?พวกเขาจะไม่ยั้งมือจากพระองค์ ?นอกจากว่าพระองค์จะซ่อนตัวอยู่ใต้แผ่นดินลึกหรือบินขึ้นไปสู่นภา

จงพิจารณาดูว่า ?การเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันยิ่งใหญ่เพียงไร!? จงมองดูซิว่าประมุขจำนวนมากมายเพียงไรคุกเข่าต่อนามของพระองค์!? ชาติและราชอาณาจักรจำนวนมากมายเพียงไหนแสวงหาที่กำบังในร่มเงาของพระองค์ ?แสดงความภักดีต่อศาสนาของพระองค์ และภาคภูมิใจในศาสนานี้!? ปัจจุบันนี้จากยอดมุขมีการเอ่ยถ้อยคำด้วยความต่ำต้อยเป็นที่สุดขึ้นไปสรรเสริญนามที่วิสุทธิ์ของพระองค์ ?และจากยอดหอคอยบนสุเหร่ามีเสียงก้องร้องเรียกประชาชนของพระองค์ให้มาบูชาพระองค์ ?แม้แต่กษัตริย์ทั้งหลายของโลกที่ไม่ยอมรับศาสนาของพระองค์ และไม่ยอมถอดภูษาแห่งความไม่เชื่อ ?ก็ยังสารภาพและยอมรับความยิ่งใหญ่และราชศักดาที่ทรงอานุภาพของพระผู้เป็นดวงตะวันแห่งความเมตตารักใคร่นี้ ?ดังกล่าวคืออธิปไตยทางโลกของพระองค์ ซึ่งหลักฐานของอธิปไตยนี้เจ้ามองเห็นจากรอบด้าน อธิปไตยนี้จะต้องได้รับการเปิดเผยและสถาปนาในระหว่างที่พระศาสดาแต่ละพระองค์ของพระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ ?หรือหลังจากที่พระองค์เสด็จขึ้นไปสู่ที่อาศัยที่แท้จริงในอาณาจักรเบื้องบน สิ่งที่เจ้าเห็นในปัจจุบันเป็นเพียงการยืนยันสัจธรรมนี้ อย่างไรก็ตามอำนาจธรรมที่เหนือกว่านี้ที่หมายถึงแต่แรก มีอยู่ภายในและรายล้อมพระศาสดาทั้งหลายตั้งแต่นิรันดรกาลตราบจนนิรันดรกาล ?และไม่มีวันแยกจากพวกเขาได้แม้ขณะเดียว อธิปไตยของอำนาจธรรมนี้ห้อมล้อมทุกคนที่อยู่ในสวรรค์และบนโลก

ต่อไปนี้คือหลักฐานของอธิปไตยที่ใช้โดยพระโมฮัมหมัด ?ผู้เป็นดวงตะวันแห่งสัจธรรม เจ้าไม่ได้ยินหรือว่า พระองค์แยกแสงสว่างจากความมืด ?แยกผู้ชอบธรรมจากผู้ไม่มีศีลธรรม แยกผู้ที่เชื่อจากผู้ไม่มีศาสนา ด้วยวจนะท่อนเดียวอย่างไร ??สัญลักษณ์และคำพาดพิงทั้งหมดเกี่ยวกับวันแห่งการพิพากษาที่เจ้าได้ยินมาเช่น การฟื้นคืนชีพคนตาย ?วันแห่งการคิดบัญชี กาพิพากษาครั้งสุดท้ายและอื่นๆ ถูกแสดงให้เห็นชัดโดยการเปิดเผยวจนะท่อนเดียวนี้ ?วจนะที่เปิดเผยไว้เหล่านี้คือพระพรสำหรับผู้ชอบธรรมที่เมื่อได้ยินวจนะดังกล่าวก็ร้องอุทานว่า?:? ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ?พระผู้เป็นนายของเรา เราได้ยินและเชื่อฟังแล้ว ??แต่คือคำสาปสำหรับประชาชนที่ไม่เป็นธรรมที่เมื่อได้ยินก็ยืนยันว่า?:? เราได้ยินและขัดขืนแล้ว ??วจนะเหล่านี้ที่คมเหมือนกับดาบของพระผู้เป็นเจ้า ?ได้แยกผู้ซื่อสัตย์จากผู้ไม่มีศาสนา และตัดขาดบิดาจากบุตร ?เจ้าได้เป็นพยานอย่างแน่นอนแล้วว่า บรรดาผู้ที่กล่าวคำศรัทธาในพระองค์และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธพระองค์ ?ได้ทำสงครามกันและแสวงหาทรัพย์สินของกันและกันอย่างไร บิดาจำนวนมากมายเท่าไรได้หันหนีไปจากบุตรของตน ?คนรักจำนวนมากมายเท่าไรหลีกหนีผู้ที่รักยิ่งของตน!? ดาบวิเศษนี้ของพระผู้เป็นเจ้าเฉียบแหลมอย่างไร้ปรานียิ่งจนผ่าความสัมพันธ์ทุกอย่างให้แยกออก!? ในอีกด้านหนึ่งจงพิจารณาดูอานุภาพเชื่อมเข้าด้วยกันของพระวจนะของพระองค์ ?จงสังเกตดูว่าในหมู่ผู้ที่ถูกซาตานแห่งอัตตาเพาะเมล็ดแห่งความประสงค์ร้ายและความเกลียดชังมาเป็นเวลาหลายปี ?ถูกเชื่อมและผสมเข้าด้วยกันโดยความภักดีของพวกเขาต่อการเปิดเผยพระธรรมที่น่าพิศวงและเหนือธรรมดานี้ จนดูเหมือนว่าพวกเขาออกมาจากท้องเดียวกัน ?ดังกล่าวคือพลังผูกเข้าด้วยกันของพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า ที่ผูกหัวใจของบรรดาผู้ที่ละวางทุกสิ่งนอกจากพระองค์ ผู้ซึ่งเชื่อในสัญลักษณ์ทั้งหลายของพระองค์ ?และดื่มโควซาร์แห่งกรุณาธิคุณที่วิสุทธิ์จากพระหัตถ์แห่งความรุ่งโรจน์ ยิ่งไปกว่านั้นชนชาติมากมายเพียงไรที่มีความเชื่อหลากหลาย มีความเชื่อทางศาสนาที่ขัดแย้งกัน ?มีธรรมชาติทางอารมณ์ที่ขัดกัน ผู้ซึ่งโดยสุคนธรสฟื้นชีวิตแห่งวสันตฤดูทางธรรมที่โชยมาจากเรซวานของพระผู้เป็นเจ้า ได้รับการแต่งกายด้วยเสื้อคลุมแห่งเอกภาพสวรรค์ และดื่มจากถ้วยแห่งความเป็นหนึ่งของพระองค์!

นี้คือนัยสำคัญของวาทะที่รู้จักกันดี?:? สุนัขป่าและแกะจะกินอาหารด้วยกัน ?(ยะไซยา 65:25)? จงมองดูความโง่เขลาเบาปัญญาของบรรดาผู้ที่ยังคงคาดหวังเหมือนกับชาติทั้งหลายในอดีตว่า ?จะได้เห็นเวลาที่สัตว์ป่าเหล่านี้จะกินอาหารด้วยกันในทุ่งหญ้า!? ดังกล่าวคือสภาพที่ต่ำของพวกเขา ?เราคิดว่า ริมฝีปากของพวกเขาไม่เคยแตะถ้วยแห่งความเข้าใจ ?และเท้าของพวกเขาไม่เคยย่างบนหนทางแห่งความยุติธรรม ?นอกจากนี้จะมีประโยชน์อันใดต่อโลกหากสิ่งดังกล่าวเกิดขึ้นจริง ??พระองค์ทรงกล่าวไว้เข้าท่าเพียงไรเกี่ยวกับพวกเขา?:? หัวใจก็มีแต่พวกเขาหาได้เข้าใจ ?ดวงตาก็มีแต่พวกเขาหาได้มองเห็น! ?(โกรอ่าน 7:178)

จงพิจารณาดูว่า ?ด้วยวจนะท่อนเดียวนี้ที่ลงมาจากนภาแห่งพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ?โลกและทุกสิ่งที่อยู่ในโลกถูกนำมาคิดบัญชีกับพระองค์อย่างไร ใครก็ตามที่ยอมรับสัจธรรมของพระองค์และหันมาหาพระองค์ ?ผลงานที่ดีของเขามีน้ำหนักกว่ากรรมชั่วของเขา และบาปทั้งหมดของเขาถูกล้างและได้รับการอภัย ดังนี้สัจธรรมของวจนะเหล่านี้เกี่ยวกับพระองค์ถูกแสดงให้เห็นชัด?:? พระองค์ฉับไวในการคิดบัญชี ??ดังนี้พระผู้เป็นเจ้าเปลี่ยนความไม่เป็นธรรมเป็นความชอบธรรม ?หากเจ้าสำรวจอาณาจักรแห่งความรู้สวรรค์ และหยั่งความลึกลับของอัจฉริยภาพของพระองค์ ?ทำนองเดียวกันใครก็ตามที่ได้ดื่มถ้วยแห่งความรัก เขาได้รับส่วนแบ่งจากมหาสมุทรแห่งกรุณาธิคุณอนันต์และการหลั่งความปรานีนิรันดร์ ?และเข้าไปสู่ชีวิตที่มีความศรัทธา ซึ่งเป็นชีวิตสวรรค์ที่นิรันดร์ แต่ผู้ที่หันหนีไปจากถ้วยนี้ถูกส่งไปหาความตายนิรันดร์ พจน์ ?ชีวิต ?และ ?ความตาย ?ที่พูดไว้ในคัมภีร์ต่างๆ ?หมายถึงชีวิตที่มีความศรัทธาและความตายของการไม่เชื่อ ด้วยไม่เข้าใจความหมายของวจนะเหล่านี้ ประชาชนทั่วไปจึงปฏิเสธและรังเกียจตัวตนของพระศาสดา พรากตนเองจากแสงสว่างแห่งการนำทางสวรรค์ของพระองค์ ?และไม่ทำตามตัวอย่างของพระผู้เป็นความงามอมตะนี้

เมื่อแสงสว่างแห่งการเปิดเผยพระธรรมของคัมภีร์โกรอ่าน ?ถูกจุดขึ้นมาภายในห้องของหัวใจที่วิสุทธิ์ของพระโมฮัมหมัด ?พระองค์ส่งผ่านคำวินิจฉัยของยุคสุดท้าย คำวินิจฉัยของการฟื้นคืนชีพ ?ของการพิพากษา ของชีวิตและความตาย มายังประชาชน ครั้นแล้วธงแห่งการประท้วงต่อต้านถูกสาวขึ้น ?และประตูแห่งการเยาะเย้ยถูกเปิดออก ดังนี้พระองค์ผู้ทรงเป็นพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า ได้บันทึกสิ่งที่พวกไม่มีศาสนาพูดไว้ว่า?:? และหากเจ้ากล่าวว่า? หลังจากความตายเจ้าจะได้รับการฟื้นชีวิตอีกอย่างแน่นอน ? พวกไม่มีศาสนาจะร้องอุทานอย่างแน่นอนว่า? นี้ไม่ใช่สิ่งใดนอกจากเวทย์มนต์ชัดๆ? ?(โกรอ่าน 11:7)? เช่นกันพระองค์ทรงกล่าวว่า?:? หากเจ้าเคยพิศวง ?คำพูดของพวกเขาน่าพิศวงอย่างแน่นอน? อะไรกัน!? เมื่อเรากลายเป็นธุลี ?เราจะได้รับการฟื้นชีวิตกลับมาเป็นคนใหม่หรือ?? ?(โกรอ่าน 13:5)? ดังนี้ในอีกวรรคหนึ่งพระองค์อุทานด้วยความพิโรธว่า?:? เราเหนื่อยหน่ายกับชีวิตแรกหรือ ??กระนั้นพวกเขาสงสัยเกี่ยวกับชีวิตใหม่หรือ!? ?(โกรอ่าน 50:15)

เนื่องด้วยบรรดาผู้เชี่ยวชาญในคัมภีร์โกรอ่านและผู้ที่ถือตามตัวอักษรของคัมภีร์นี้ ?เข้าใจความหมายซ่อนเร้นของวจนะของพระผู้เป็นเจ้าผิดไป และไม่เข้าใจจุดประสงค์พื้นฐานของวจนะเหล่านี้ ?พวกเขาจึงพยายามสาธิตว่า ตามหลักไวยากรณ์เมื่อใดก็ตามที่พจน์ ?อิสฮา ?(หมายความว่า ?ถ้า ?หรือ ?เมื่อ ) นำหน้ากิริยาอดีต ?นั่นเป็นการกล่าวถึงอนาคตเสมอ ต่อมาพวกเขาฉงนใจอย่างยิ่งในการพยายามอธิบายวจนะบางท่อนในคัมภีร์ที่ไม่มีพจน์นี้ ดังที่พระองค์ทรงเปิดเผยไว้ว่า?:? และมีเสียงแตร ?ดูซิ!? นี่คือวันที่ถูกคุกคาม!? และทุกดวงวิญญาณถูกเรียกมาคิดบัญชีกับผู้ผลักดันและพยาน ?(โกรอ่าน 50:20)? ในการอธิบายวจนะท่อนนี้และท่อนต่างๆ ที่คล้ายกัน ?ในบางกรณีพวกเขาให้เหตุผลว่ามีพจน์ ?อิสฮา ?แสดงนัยอยู่ ?ในบางกรณีพวกเขายืนยันว่าอย่างเหลวไหลว่า เนื่องด้วยวันแห่งการพิพากษาจะมาถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ?วันนี้จึงถูกกล่าวถึงว่าเป็นเหตุการณ์ในอดีตไม่ใช่อนาคต การใช้เหตุผลอธิบายของพวกเขาไร้สาระเพียงไร!? ความตาบอดของพวกเขาสาหัสเพียงไร!? พวกเขาไม่ยอมรับเสียงแตรที่เป่าโดยการเปิดเผยพระธรรมของพระโมฮัมหมัด ?ซึ่งกล่าวไว้อย่างชัดแจ้งในพระธรรมนี้ พวกเขาพรากตนเองจากพระวิญญาณฟื้นชีวิตของพระผู้เป็นเจ้าที่หายใจเข้าไปในแตรนี้ ?และคาดหวังอย่างโง่เง่าที่จะได้ยินเสียงแตรของเซรัฟของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในคนรับใช้ของพระองค์!? เซรัฟเองซึ่งเป็นเทวดาแห่งวันพิพากษาและผู้ที่เหมือนเขา ?ไม่ได้ถูกลิขิตชะตาโดยวาทะของพระโมฮัมหมัดเองหรือ ?จงกล่าวว่า?:?อะไรกัน!? เจ้าจะแลกสิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับเจ้ากับสิ่งที่ชั่วร้ายหรือ ??สิ่งที่เจ้าแลกเปลี่ยนมาอย่างผิดพลาดนั้นน่าเวทนา!? แน่นอนว่าเจ้าเป็นชนชาติชั่วร้ายที่ตกอยู่ในความสูญเสียอย่างสาหัส

ไม่เลย ??แตร ?หมายถึงเสียงแตรร้องเรียกของการเปิดเผยพระธรรมของพระโมฮัมหมัด ?ที่เป่าอยู่ในใจกลางจักรวาล และ ?การฟื้นคืนชีพ ?หมายถึงการฟื้นของพระองค์เองขึ้นมาประกาศศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า ?พระองค์บัญชาผู้ที่ผิดพลาดและหลงผิดให้ลุกขึ้นและรีบออกมาจากหลุมศพหินแห่งร่างกายของพวกเขา สวมพวกเขาด้วยเสื้อคลุมแห่งความศรัทธาที่สวยงาม ?และกระตุ้นพวกเขาด้วยลมหายใจแห่งชีวิตใหม่ที่น่าพิศวง ดังนี้ ณ ชั่วโมงที่พระโมฮัมหมัด พระผู้ทรงความงามสวรรค์ ประสงค์จะเปิดเผยหนึ่งในความลึกลับที่ซ่อนอยู่ในพจน์ที่เป็นสัญลักษณ์ ?การฟื้นคืนชีพ ???การพิพากษา ??สวรรค์ ?และ ?นรก ?เกเบรียวซึ่งเป็นสุรเสียงของแรงบันดาลใจ พูดให้ได้ยินว่า?:? ในไม่ช้าพวกเขาจะส่ายหัวต่อเจ้าและพูดว่า? สิ่งนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร? ? จงกล่าวว่า?:? อาจจะใกล้แล้ว? ?(โกรอ่าน 17:51)? นัยของวจนะเพียงท่อนเดียวนี้เพียงพอสำหรับประชาชนทั้งหลายของโลก ?หากพวกเขาไตร่ตรองดูในหัวใจของตน

พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกรุณา!? ชนชาตินี้ได้หลงไกลไปจากหนทางของพระผู้เป็นเจ้าเพียงไหน!? แม้ว่าวันแห่งการฟื้นคืนชีพเริ่มต้นแล้วโดยการเปิดเผยพระธรรมของพระโมฮัมหมัด ?แม้ว่าแสงสว่างและสัญลักษณ์ของพระองค์ได้ห้อมล้อมโลกและทุกสิ่งที่อยู่ในโลก กระนั้นชนชาตินี้ก็ยังเยาะเย้ยพระองค์ ?ถวายตัวให้กับเทวรูปที่เหล่านักบวชในยุคนั้นนึกคิดเอาเองในความเพ้อฝันที่เหลวไหลและไร้สาระของตน และพรากตนเองจากแสงสว่างแห่งกรุณาธิคุณสวรรค์และการหลั่งความปรานีของพระผู้เป็นเจ้า ?ใช่แล้ว แมลงปีกแข็งที่น่าเวทนาไม่มีทางได้กลิ่นสุคนธรสแห่งความวิสุทธิ์ และค้างคาวแห่งความมืดไม่มีทางเผชิญหน้ากับความอำไพของดวงอาทิตย์

สิ่งทั้งหลายดังกล่าวได้เกิดขึ้นในยุคของพระศาสดาทุกองค์ของพระผู้เป็นเจ้า ?ดังที่พระพระเยซูกล่าวว่า?:? เจ้าต้องเกิดอีกครั้ง ?(จอห์น 3:7)? เช่นกันพระองค์ทรงกล่าวว่า?:? มนุษย์ไม่สามารถเข้าไปในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า ?เว้นแต่ว่าเขาจะเกิดจากน้ำและพระวิญญาณ สิ่งที่เกิดจากเนื้อหนังคือเนื้อหนัง ?และสิ่งที่เกิดจากพระวิญญาณคือวิญญาณ ?(จอห์น 3:5-6)? ความหมายของวาทะเหล่านี้คือ ?ในทุกยุคศาสนาใครก็ตามที่เกิดจากพระวิญญาณและได้รับการกระตุ้นด้วยลมหายใจของพระผู้แสดงความวิสุทธิ์ ?แท้จริงแล้วเขาคือพวกที่ได้บรรลุถึง ?ชีวิต ?และ ?การฟื้นคืนชีพ ?และได้เข้าไปใน ?สวรรค์ ?แห่งความรักของพระผู้เป็นเจ้า ?และใครก็ตามที่ไม่ใช่พวกเขาถูกส่งไปสู่ ?ความตาย ?และ ?การถูกพราก ?ไปสู่ ?ไฟแห่งความไม่เชื่อ ?และไปหา ?ความพิโรธของพระผู้เป็นเจ้า ??ในคัมภีร์และบันทึกเหตุการณ์ทั้งหมด ความตาย ไฟ ความตาบอด การขาดความเข้าใจและการได้ยิน คือคำพิพากษาลงโทษบรรดาผู้ที่ริมฝีปากของตนไม่ได้ลิ้มถ้วยสวรรค์แห่งความรู้ที่แท้จริง ?และหัวใจของตนถูกพรากจากกรุณาธิคุณของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในยุคของตน ดังที่บันทึกไว้ก่อนนี้ว่า?:? หัวใจก็มีแต่พวกเขาหาได้เข้าใจ ?(โกรอ่าน 7:178)

ในอีกวรรคหนึ่งของกอสเปวลิขิตไว้ว่า?:?และมาวันหนึ่งบิดาของสาวกคนหนึ่งของพระเยซูตาย ?สาวกคนนั้นรายงานการตายของบิดาต่อพระเยซู และขอลาไปฝังศพบิดา ?ครั้นแล้วพระเยซูผู้เป็นสาระแห่งความปล่อยวาง ทรงตอบว่า?:? ขอให้คนตายฝังคนตายของพวกเขา ?(ลุค 9:60)

ทำนองเดียวกันประชาชนสองคนแห่งคูฟเฟ่ไปหาอิหม่ามอาลี ?ซึ่งเป็นผู้บัญชาการของผู้ที่ซื่อสัตย์ คนหนึ่งเป็นเจ้าของบ้านหลังหนึ่งและต้องการขายบ้านนี้ ?อีกคนหนึ่งจะเป็นผู้ซื้อ ทั้งสองตกลงกันว่าควรเขียนสัญญาและทำการซื้อขายโดยให้อิหม่ามอาลีทราบ อิหม่ามอาลีผู้อรรถาธิบายกฎของพระผู้เป็นเจ้ากล่าวต่อผู้คัดลอกว่า?:? จงเขียนว่า?:? คนตายคนหนึ่งได้ซื้อบ้านจากคนตายอีกคนหนึ่ง ?บ้านหลังนี้มีขอบเขตสี่ด้าน ด้านหนึ่งเหยียดไปถึงหลุมศพหิน ?อีกด้านหนึ่งเหยียดไปถึงห้องฝังศพ ด้านที่สามเหยียดไปถึงสิรัท ?ด้านที่สี่เหยียดไปถึงสวรรค์หรือไม่ก็นรก? ??จงใคร่ครวญดูว่า ?หากวิญญาณสองดวงนี้ได้รับการกระตุ้นโดยเสียงแตรร้องเรียกของอิหม่ามอาลี ?หากทั้งสองขึ้นมาจากหลุมศพแห่งความหลงผิด ทั้งสองย่อมไม่ถูกวินิจฉัยว่าตายอย่างแน่นอน

ในทุกยุคและทุกศตวรรษ ?จุดประสงค์ของศาสนทูตทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้าและบรรดาผู้ที่พวกเขาเลือกสรร ?มิใช่อื่นใดนอกจากจะยืนยันนัยสำคัญทางจิตวิญญาณของพจน์ ?ชีวิต ??การฟื้นคืนชีพ ?และ ?การพิพากษา ??หากใครไตร่ตรองวาทะนี้ของอิหม่ามอาลีในหัวใจสักพักหนึ่ง แน่นอนว่าเขาจะค้นพบความลึกลับทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ในพจน์ ?หลุมศพ ???หลุมศพหิน ??สิรัท ??สวรรค์ ?และ ?นรก ?แต่โอ!? ช่างแปลกและน่าสงสารเพียงไร!? จงดูว่า ?ประชาชนทั้งหมดถูกจองจำอยู่ภายในหลุมศพหินแห่งอัตตา ?และถูกฝังอยู่ภายใต้ก้นบึ้งแห่งกิเลสทางโลก!? หากเจ้าได้น้ำค้างเพียงหยดเดียวจากธาราใสแห่งความรู้สวรรค์ ?เจ้าจะตระหนักเลยว่า ชีวิตที่แท้จริงไม่ใช่ชีวิตของเนื้อหนัง ?แต่เป็นชีวิตของวิญญาณ เพราะชีวิตของเนื้อหนังเหมือนกันทั้งมนุษย์และสัตว์ ?ทวาชีวิตของวิญญาณมีอยู่แต่ในผู้ที่หัวใจบริสุทธิ์ ที่ได้ดื่มจากมหาสมุทรแห่งความศรัทธาและกินผลไม้แห่งความมั่นใจ ?ชีวิตนี้ไม่รู้จักตาย และการดำรงอยู่นี้สวมมงกุฏแห่งความเป็นอมตะ ดังที่กล่าวไว้ว่า?:? ผู้ที่เป็นศาสนิกชนที่แท้จริงมีชีวิตอยู่ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ??หาก ?ชีวิต ?หมายถึงชีวิตบนโลกนี้ เป็นที่ประจักษ์ว่าความตายจะต้องมาเอาไป

ทำนองคล้ายกันบันทึกทั้งหลายของคัมภีร์ทั้งหมด ?เป็นพยานต่อสัจธรรมที่สูงส่งนี้และวจนะที่ประเสริฐสุดนี้ ?ยิ่งไปกว่านั้นวจนะท่อนนี้ของคัมภีร์โกรอ่าน ซึ่งเปิดเผยไว้เกี่ยวกับฮัมเซห์ผู้เป็น ?เจ้าชายของผู้สละชีวิตทั้งหลาย ?(สมญานามของลุงของพระโมฮัมหมัด)?และอาบู จาห์ล ?คือหลักฐานที่เรืองรองและข้อยืนยันที่แน่นอนของสัจธรรมของคำพูดของเรา?:? คนตายที่เรากระตุ้นและบัญญัติแสงสว่างให้เดินในหมู่มนุษย์ ?จะเป็นเหมือนกับผู้ที่ความเหมือนของตนอยู่ในความมืดได้หรือ ซึ่งเขาจะไม่ออกมาจากความมืดนั้น? ?(โกรอ่าน 6:122)? วจนะท่อนนี้ลงมาจากนภาแห่งพระประสงค์ดั้งเดิมในเวลาที่ฮัมเซห์ได้รับการสวมเสื้อกั๊กแห่งความศรัทธาแล้ว ?และอาบู จาห์ลไม่ผ่อนผันการต่อต้านและความไม่เชื่อของเขา จากบ่อเกิดของอำนาจเบ็ดเสร็จและแหล่งกำเนิดของความวิสุทธิ์อนันต์ ?มีการพิพากษาที่ประสาทชีวิตนิรันดร์ให้แก่ฮัมเซห์ และส่งอาบู จาห์ลไปสู่โลกันตร์ นี้คือสัญญาณที่ทำให้ไฟแห่งความไม่เชื่อเจิดจ้าด้วยเปลวที่ร้อนแรงที่สุดในหัวใจของพวกไม่มีศาสนา ?และยั่วยุพวกเขาอย่างเปิดเผยให้ปฏิเสธสัจธรรมของพระองค์ พวกเขาเรียกร้องเสียงดังว่า?:? ฮัมเซห์ตายไปเมื่อไร ??เขาฟื้นขึ้นมาเมื่อไร ?ชีวิตดังกล่าวประสาทให้เขาเมื่อไร? ??เนื่องด้วยพวกเขาไม่เข้าใจนัยสำคัญของคำพูดที่ประเสริฐเหล่านี้ ?ไม่แสวงหาความรู้แจ้งจากบรรดาผู้อรรถาธิบายศาสนาผู้เป็นที่ยอมรับ ?เพื่อว่าคำพูดเหล่านี้จะพรมโควซาร์แห่งความรู้สวรรค์ให้แก่พวกเขา ดังนั้นไฟแห่งความมาดร้ายจึงถูกจุดขึ้นในหมู่มนุษย์

เจ้าได้เป็นพยานในปัจจุบันว่า ?แม้ว่ามีความอำไพอันสว่างไสวของดวงอาทิตย์แห่งความรู้สวรรค์ ?ประชาชนทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นคนชั้นสูงหรือคนต่ำต้อย ก็ได้ยึดถือแนวทางของบรรดาผู้แสดงความเป็นเจ้าชายแห่งความมืดที่น่าสมเพช ?ประชาชนอ้อนวอนพวกเขาอยู่ตลอดให้ช่วยอธิบายความละเอียดซับซ้อนของศาสนาของพวกเขา และด้วยไม่มีความรู้พวกเขาจึงให้คำตอบที่ไม่สามารถทำให้ชื่อเสียงและเงินทองของตนเสียหาย ?เป็นที่ประจักษ์ว่า ดวงวิญญาณเหล่านี้ซึ่งต่ำช้าและน่าเวทนาเหมือนแมลงปีกแข็ง ไม่ได้สัมผัสสายลมแห่งนิรันดรกาลที่อบอวลด้วยชะมดเชียง และไม่เคยเข้าไปในเรซวานแห่งความปีติสวรรค์ ?ดังนั้นพวกเขาจะโชยสุคนธรสแห่งความวิสุทธิ์อันไม่รู้สิ้นไปให้ผู้อื่นได้อย่างไร ?ดังกล่าวคือแนวทางของพวกเขา และดังกล่าวจะคงอยู่ตลอดไป ผู้ที่หันมาหาพระองค์และไม่ยอมรับบรรดาผู้แสดงความเป็นซาตานเท่านั้น ?ที่จะเข้าถึงความรู้ของพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า ดังนี้พระผู้เป็นเจ้าได้ยืนยันกฎของยุคแห่งการเปิดเผยพระธรรมของพระองค์อีกครั้ง และจารึกกฎนี้ด้วยปากกาแห่งอานุภาพบนธรรมจารึกลี้ลับที่ซ่อนอยู่ภายใต้ม่านแห่งความรุ่งโรจน์สวรรค์ ?หากเจ้าเอาใจใส่วจนะเหล่านี้ หากเจ้าไตร่ตรองความหมายตามตัวอักษรและความหมายซ่อนเร้นของวจนะเหล่านี้ เจ้าจะเข้าใจนัยสำคัญของปัญหาที่เข้าใจยากทั้งหมด ที่ในยุคนี้ได้กลายเป็นอุปสรรคที่เอาชนะไม่ได้ที่ขวางกั้นมนุษย์ไม่ให้รู้เกี่ยวกับวันแห่งการพิพากษา ?เมื่อนั้นเจ้าจะไม่มีปัญหามาทำให้เจ้าฉงนใจอีกต่อไป เราขอหวังว่าถ้าเป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า เจ้าจะไม่กลับจากชายฝั่งมหาสมุทรแห่งความปรานีสวรรค์อย่างขาดแคลนและกระหาย หรือกลับมาอย่างขัดสนจากที่คุ้มภัยอันไม่รู้สิ้นที่หัวใจของเจ้าปรารถนา บัดนี้ขอดูว่าการแสวงหาและความอุตสาหะของเจ้าจะบรรลุสิ่งใด

ขอกลับมาต่อ?:?จุดประสงค์ของเราในการอธิบายสัจธรรมเหล่านี้คือ ?เพื่อจะสาธิตอธิปไตยของพระผู้เป็นกษัตริย์ของกษัตริย์ทั้งหลาย ?จงเป็นธรรม?:?อธิปไตยนี้ซึ่งโดยการเอ่ยพระวจนะเดียว ?ได้แสดงอิทธิพลแทรกซอน อำนาจเหนือกว่า และราชศักดาที่น่าเกรงขามดังกล่าว ?อธิปไตยนี้เหนือกว่า หรืออำนาจปกครองทางโลกของกษัตริย์เหล่านี้บนพิภพเหนือกว่า ??กษัตริย์เหล่านี้แม้จะห่วงใยข้าแผ่นดินและช่วยเหลือคนยากไร้ ก็วางใจได้แค่ความภักดีชั่วแล่นที่แสดงออกภายนอก ?ส่วนในหัวใจของมนุษย์กษัตริย์เหล่านี้หาได้บันดาลใจให้เกิดเสน่หาหรือความเคารพ อธิปไตยนี้โดยอานุภาพของวจนะเดียว ?ไม่ได้กำราบ กระตุ้นและเพิ่มชีวิตชีวาให้โลกทั้งหมดหรือ ?อะไรกัน!? ธุลีที่ต่ำต้อยสามารถเทียบกับพระผู้เป็นพระผู้เป็นนายของนายทั้งหลายได้หรือ ??ลิ้นใดหรือกล้าเอ่ยถึงความไพศาลของความแตกต่างระหว่างทั้งสอง ?ไม่เพียงเท่านั้น ?การเปรียบเทียบทั้งหมดเปรียบไม่ได้กับที่คุ้มภัยอันศักดิ์สิทธิ์แห่งอธิปไตยของพระองค์ ?หากมนุษย์ใคร่ครวญดู เขาจะสังเกตเห็นอย่างแน่นอนว่า แม้คนรับใช้ ณ ธรณีประตูของพระองค์ก็ปกครองสรรพสิ่งทั้งปวง!? สิ่งนี้มีให้เห็นมาแล้ว ?และจะถูกแสดงให้เห็นชัดในอนาคต

นี้คือเพียงความหมายหนึ่งของอธิปไตยทางธรรมที่เราได้อธิบายไว้ตามความสามารถและความเปิดรับของประชาชน ?เพราะพระองค์ พระผู้ทรงขับเคลื่อนทุกชีวิต พระพักตร์ผู้เป็นที่สดุดีนี้ คือบ่อเกิดของอานุภาพที่พระผู้ถูกประทุษร้ายนี้ไม่สามารถเปิดเผย ?และประชาชนที่ไม่คู่ควรนี้ไม่สามารถเข้าใจ พระองค์ทรงความประเสริฐยิ่งเหนือสิ่งที่มนุษย์สรรเสริญอธิปไตยของพระองค์ พระองค์เป็นที่สดุดีเหนือกว่าสิ่งที่พวกเขาอ้างถึงพระองค์!

และบัดนี้จงไตร่ตรองสิ่งนี้ในหัวใจของเจ้า?:?หากอธิปไตยหมายถึงอธิปไตยและอำนาจปกครองทางโลก ?หากอธิปไตยแสดงนัยถึงการทำให้ประชาชนและวงศ์ตระกูลทั้งหมดของโลกอยู่ในการควบคุม ?และแสดงความภักดีภายนอก ซึ่งดังนี้แล้วบรรดาผู้เป็นที่รักของพระองค์จะได้รับการเชิดชูและมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข ?ศัตรูทั้งหลายของพระองค์จะตกต่ำและถูกทรมาน รูปแบบของอธิปไตยนี้ย่อมไม่ใช่ความจริงเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าเอง พระผู้เป็นบ่อเกิดของอำนาจปกครองทั้งปวง ?ซึ่งทุกสิ่งให้การยืนยันราชศักดาและอานุภาพของพระองค์ เพราะเจ้าไม่ได้เป็นพยานหรือว่า มนุษยชาติโดยรวมตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของศัตรูทั้งหลายของพระองค์อย่างไร ??พวกเขาทั้งหมดไม่ได้หันหนีไปจากหนทางแห่งความยินดีของพระองค์หรือ ?พวกเขาไม่ได้ทำสิ่งที่พระองค์ห้ามหรือ และทำสิ่งที่พระองค์บัญชาหรือเปล่า หรือถึงกับไม่ยอมรับและต่อต้านสิ่งที่พระองค์บัญชา ??มิตรสหายของพระองค์ไม่เคยเป็นเหยื่อของการใช้อำนาจบาตรใหญ่ของศัตรูของพระองค์หรือ ?สิ่งทั้งหมดเหล่านี้ชัดเจนยิ่งกว่าความอำไพของดวงอาทิตย์เที่ยงวัน

ดูกร ?ผู้แสวงหาที่ตั้งข้อสงสัย ?ดังนั้นจงรู้ไว้ว่าอธิปไตยทางโลก ?ไม่มีและจะไม่มีวันมีค่าในสายตาของพระผู้เป็นเจ้าและบรรดาผู้ที่พระองค์เลือกสรร ?ยิ่งไปกว่านั้นหากอำนาจเหนือกว่าและอำนาจปกครองถูกตีความหมายถึงความเป็นใหญ่และอานุภาพทางโลก ?จะเป็นไปไม่ได้เพียงไรสำหรับเจ้าที่จะอธิบายวจนะเหล่านี้?:? และแท้จริงแล้วกองทัพของเราจะพิชิต ?(โกรอ่าน 37:173)?? พวกเขาอยากจะดับแสงสว่างของพระผู้เป็นเจ้าด้วยปากของพวกเขา?:?แต่พระผู้เป็นเจ้าประสงค์จะทำให้แสงสว่างของพระองค์เจิดจ้าแม้ว่าพวกไม่มีศาสนาจะรังเกียจแสงนั้น ?(โกรอ่าน 9:33)?? พระองค์คือพระผู้ทรงความเด่นเหนือทุกสิ่ง ?(โกรอ่าน 11:18)? ทำนองคล้ายกันคัมภีร์โกรอ่านเกือบทั้งหมดให้การยืนยันสัจธรรมนี้

หากการโด้เถียงที่เหลวไหลของดวงวิญญาณที่โง่เง่าและน่ารังเกียจเหล่านี้เป็นความจริง ?พวกเขาจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปฏิเสธวาทะที่วิสุทธิ์และคำพาดพิงสวรรค์เหล่านี้ เพราะไม่มีนักรบคนใดบนโลกที่เป็นเลิศและอยู่ใกล้พระผู้เป็นเจ้ากว่าอิหม่ามฮุสเซน บุตรของอิหม่ามอาลี ?ผู้ไม่มีที่เสมอและไม่มีเปรียบปาน ??ในโลกไม่มีใครเท่าเทียมหรือเทียบได้กับเขา ??กระนั้นเจ้าต้องได้ยินว่าอะไรบังเกิดขึ้นกับเขา ??คำสาปของพระผู้เป็นเจ้าอยู่บนหัวของประชาชนที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่! ?(โกรอ่าน 11:18)

หากวจนะ ?และแท้จริงแล้วกองทัพของเราจะพิชิต ?ถูกตีความตามตัวอักษร ?เป็นที่ประจักษ์ว่าการตีความนี้ไม่เกี่ยวกับบรรดาผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าเลือกสรรและกองทัพของพระองค์ ?เนื่องด้วยอิหม่ามฮุสเซนซึ่งวีรกรรมของเขาเป็นที่เห็นชัดประดุจดวงอาทิตย์ ถูกบดขยี้และปราชัย และในที่สุดดื่มถ้วยน้ำแห่งการสละชีวิตในกาบิลา ?ดินแดนแห่งทัฟ ทำนองคล้ายกันวจนะศักดิ์สิทธิ์ ?พวกเขาอยากจะดับแสงสว่างของพระผู้เป็นเจ้าด้วยปากของพวกเขา?:?แต่พระผู้เป็นเจ้าประสงค์จะทำให้แสงสว่างของพระองค์เจิดจ้าแม้ว่าพวกไม่มีศาสนาจะรังเกียจแสงนั้น ? หากตีความวจนะท่อนนี้ตามตัวอักษรก็จะไม่ตรงกับความจริง ?เพราะในทุกยุคดูจากภายนอกแล้ว แสงสว่างของพระผู้เป็นเจ้าถูกดับโดยประชาชนทั้งหลายของโลก ?และตะเกียงทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้าถูกดับโดยพวกเขา เช่นนั้นแล้วจะอธิบายอำนาจเหนือกว่าของอธิปไตยของพระผู้เป็นตะเกียงเหล่านี้ได้อย่างไร ??อานุภาพของพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าที่จะ ?ทำให้แสงสว่างของพระองค์เจิดจ้า ?จะหมายความว่าอะไร ??ดังที่เห็นแล้วว่าความเกลียดชังของพวกไม่มีศาสนานั้นร้ายกาจยิ่ง ?จนไม่มีดวงอาทิตย์แห่งธรรมเหล่านี้องค์ใดเคยพบสถานที่กำบัง หรือได้ดื่มถ้วยน้ำแห่งความสงบ ??ดวงอาทิตย์แห่งธรรมเหล่านี้ถูกกดขี่อย่างหนัก จนคนที่ต่ำที่สุดก็ทำร้ายพระผู้เป็นสาระแห่งชีวิตเหล่านี้ได้ตามใจชอบ ?ประชาชนได้สังเกตและวัดความทุกข์ทรมานเหล่านี้แล้ว ดังนั้นพวกเขาจะสามารถเข้าใจและอรรถาธิบายวจนะเหล่านี้ของพระผู้เป็นเจ้า ?วจนะแห่งความรุ่งโรจน์อนันต์ท่อนเหล่านี้ได้อย่างไร

แต่จุดประสงค์ของวจนะท่อนเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขานึกคิด ?ไม่เพียงเท่านั้น พจน์ ?อำนาจเหนือกว่า ??อานุภาพ ?และ ?อำนาจ ?แสดงนัยถึงสถานะและความหมายที่ต่างจากนี้โดยสิ้นเชิง ?ตัวอย่างเช่น จงพิจารณาดูอานุภาพแทรกซอนของหยดเลือดเหล่านั้นของอิหม่ามฮุสเซนที่พรมลงบนแผ่นดิน โดยความศักดิ์สิทธิ์และอานุภาพของเลือดนี้ ?ธุลีนั้นมีอำนาจเหนือกว่าและอิทธิพลอะไรต่อร่างกายและวิญญาณของมนุษย์ทั้งหลาย!? ถึงขนาดที่ว่าผู้ที่แสวงหาการหายจากความเจ็บป่วย ?ได้รับการรักษาโดยการสัมผัสกับธุลีของพื้นดินศักดิ์สิทธิ์นั้น ?และใครก็ตามที่ปรารถนาจะคุ้มครองทรัพย์สินของตน ได้เอาดินศักดิ์สิทธิ์นั้นมาเก็บไว้ในบ้านเล็กน้อยด้วยความเข้าใจและความศรัทธาที่ไพบูลย์ ?และปกป้องทรัพย์สมบัติของตน เหล่านี้คืออานุภาพของเลือดนี้ที่ปรากฏให้เห็นภายนอก และหากเราจะเล่าคุณที่ซ่อนเร้นของเลือดนี้ พวกเขาจะพูดอย่างแน่นอนว่า?:? แท้จริงแล้วเขาถีอว่าธุลีเป็นพระผู้เป็นนายของนายทั้งหลาย ?และได้ละทิ้งศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าโดยสิ้นเชิง

ยิ่งไปกว่านั้นจงระลึกถึงสภาพแวดล้อมที่น่าอดสูของการสละชีวิตของอิหม่ามฮุสเซน ?จงใคร่ครวญดูความเดียวดายของเขา ดูภายนอกแล้วไม่พบใครที่จะช่วยเขา อุ้มร่างของเขาไปฝังอย่างไร ?และกระนั้นจงดูในยุคนี้ว่า ผู้คนมากมายเพียงไรจากสุดมุมทั้งหลายของโลก สวมชุดแสวงบุญมาแสวงหาบริเวณที่เขาสละชีวิต ?เพื่อจะได้วางศีรษะบนธรณีประตูของสถูปของเขา!? ดังกล่าวคืออำนาจเหนือกว่าและอานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า!? ดังกล่าวคือความรุ่งโรจน์ของอำนาจปกครองและราชศักดาของพระองค์!

อย่าคิดว่าเพราะว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นหลังจากการสละชีวิตของอิหม่ามฮุสเซน ?ดังนั้นความรุ่งโรจน์ทั้งหมดนี้ไม่มีประโยชน์สำหรับเขา เพราะวิญญาณที่วิสุทธิ์ดวงนี้เป็นอมตะ ?ดำเนินชีวิตของพระผู้เป็นเจ้า และอาศัยอยู่ในสถานที่วิเวกแห่งความรุ่งโรจน์บนซัดเดร่ย์แห่งการกลับมาอยู่ร่วมกันบนสวรรค์ ?พระผู้เป็นสาระแห่งชีวิตเหล่านี้คือตัวอย่างที่เรืองรองของการเสียสละ ?พวกเขาได้สละและจะยังคงสละชีวิต ทรัพย์สิน วิญญาณ ดวงจิต และทุกสิ่งของตนต่อไปในหนทางของพระผู้เป็นที่รักยิ่ง ?พวกเขาเป็นพยาน ไม่มีสถานะใดไม่ว่าจะประเสริฐเพียงไร น่าหวงแหนมากกว่านี้ เพราะคนรักทั้งหลายไม่มีความปรารถนาใดนอกจากความยินดีของพระผู้เป็นที่รักยิ่ง ?และไม่มีจุดมุ่งหมายใดเว้นแต่การกลับไปอยู่ร่วมกับพระองค์

หากเราปรารถนาจะแย้มความลึกลับทั้งหลายของการสละชีวิตของอิหม่ามฮุสเซน ?และเปิดเผยผลของการสละชีวิตนี้ต่อเจ้า หน้ากระดาษเหล่านี้ไม่มีทางพอที่จะบรรจุความหมายได้หมด ?เราหวังว่าถ้าเป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า สายลมแห่งความปรานีจะพัดพา และวสันตฤดูทางธรรมจะสวมเสื้อคลุมแห่งชีวิตใหม่ให้แก่ต้นไม้แห่งชีวิต ?เพื่อว่าเราจะค้นพบความลึกลับทั้งหลายของอัจฉริยภาพสวรรค์ และไม่ขึ้นกับความรู้เกี่ยวกับทุกสิ่งโดยการบริบาลของพระองค์ เรายังไม่เห็นใครนอกจากดวงวิญญาณจำนวนหยิบมือที่ขัดสนชื่อเสียง ?ที่บรรลุถึงสถานะนี้ ขอให้อนาคตเปิดเผยสิ่งที่การพิพากษาของพระผู้เป็นเจ้าจะตัดสิน และวิหารแห่งประกาศิตของพระองค์จะเปิดเผย ดังนี้เราเล่าความมหัศจรรย์ของศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าให้แก่เจ้า ?และบรรเลงทำนองเพลงสวรรค์เข้าไปในหูของเจ้า เพื่อว่าเจ้าจะบรรลุถึงสถานะแห่งความรู้ที่แท้จริง และได้ทานผลไม้ของสถานะนี้ ดังนั้นเจ้าจงรู้ไว้เป็นที่แน่นอนว่า ดวงอาทิตย์แห่งราชศักดาสวรรค์เหล่านี้แม้ที่อาศัยของพวกเขาจะอยู่กับธุลี ?แต่ที่พักที่แท้จริงของพวกเขาคือที่ประทับแห่งความรุ่งโรจน์ในอาณาจักรเบื้องบน แม้ว่าไร้สิ้นทรัพย์สมบัติทางโลก พวกเขาก็เหินอยู่ในอาณาจักรแห่งความร่ำรวยที่วัดไม่ได้ และขณะที่ถูกทดสอบอย่างเจ็บปวดในกำมือของศัตรู พวกเขาก็ประทับอยู่บนมือขวาแห่งอานุภาพและอธิปไตยสวรรค์ ?ท่ามกลางความมืดแห่งความตกต่ำของพวกเขา ก็มีแสงสว่างแห่งความรุ่งโรจน์ที่ไม่รู้เลือนส่องมายังพวกเขา และสัญลักษณ์แห่งอธิปไตยที่เอาชนะไม่ได้หลั่งมายังความช่วยตัวเองไม่ได้ของพวกเขา

ดังนี้พระเยซูบุตรของแมรี่ ?วันหนึ่งขณะนั่งอยู่และกล่าวเป็นทำนองของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ?ทรงเอ่ยวาทะเหล่านี้?:? ดูกร ?ประชาชน!? อาหารของเราคือหญ้าในทุ่งที่เราใช้ระงับความหิว ?เตียงของเราคือธุลี ตะเกียงของเราตอนกลางคืนคือแสงจันทร์ ?และม้าของเราคือเท้าของเราเอง จงมองดูว่าใครบนพิภพหรือที่ร่ำรวยกว่าเรา ??ความชอบธรรมของพระผู้เป็นเจ้าเป็นพยาน!? ทรัพย์สมบัติเป็นพันๆ รายล้อมความยากจนนี้ ?และอาณาจักรแห่งความรุ่งโรจน์มากมายปรารถนาความตกต่ำนี้!? หากเจ้าเข้าถึงหยดเดียวของมหาสมุทรแห่งความหมายซ่อนเร้นของวาทะเหล่านี้ ?เจ้าจะละทิ้งโลกและทุกสิ่งที่อยู่ในโลกแน่นอน และจะเผาผลาญตัวเจ้าเองในเปลวไฟที่ไม่รู้ดับประดุจนกฟีนิกซ์

ทำนองเดียวกันเป็นที่เล่ากันว่า ?วันหนึ่งสหายคนหนึ่งบ่นเกี่ยวกับความยากจนของตนเองต่ออิหม่ามซาเดค ?ครั้นแล้วอิหม่ามซาเดคผู้เป็นความงามอมตะตอบว่า?:? แท้จริงแล้วเจ้าร่ำรวยและได้ดื่มน้ำแห่งความมั่งคั่ง ??ดวงวิญญาณที่เดือดร้อนด้วยความยากจนนี้ฉงนต่อวาทะที่เอ่ยโดยใบหน้าที่เรืองรองนี้และกล่าวว่า?:? ความร่ำรวยของข้าพเจ้าอยู่ที่ไหน ?ข้าพเจ้าไม่มีแม้แต่เหรียญเดียว? ?ครั้นแล้วอิหม่ามซาเดคให้ข้อสังเกตว่า?:? เจ้าไม่มีความรักของเราหรือ? ??เขาตอบว่า?:? ใช่แล้ว ?ข้าพเจ้ามีความรักของท่าน ?ข้าแต่ท่านผู้เป็นเชื้อสายของศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า! ??และอิหม่ามซาเดคถามเขาว่า?:?เจ้าจะแลกความรักนี้กับหนึ่งพันดินาหรือ? ??เขาตอบว่า?:? ไม่เลย ?ข้าพเจ้าจะไม่มีวันแลกแม้จะให้โลกและทั้งหมดที่อยู่ในโลกแก่ข้าพเจ้า! ??จากนั้นอิหม่ามซาเดคกล่าวว่า?:? ผู้ที่มีทรัพย์สมบัติดังกล่าวจะถูกเรียกว่าจนได้อย่างไร

ความยากจนนี้และความร่ำรวยเหล่านี้ ?ความตกต่ำและความรุ่งโรจน์นี้ อำนาจปกครองนี้ ?อานุภาพและที่คล้ายกัน ที่ดวงตาและหัวใจของดวงวิญญาณที่ทะนงและโง่เง่าเหล่านี้มุ่งหวัง ?ล้วนเลือนหายไปเป็นศูนยภาพโดยสิ้นเชิงในราชสำนักนั้น!? ดังที่พระองค์ทรงกล่าวว่า?:? ดูกร ?มนุษย์ทั้งหลาย!? เจ้าเป็นยาจกที่ต้องอาศัยพระผู้เป็นเจ้า ?แต่พระผู้เป็นเจ้าคือผู้ร่ำรวย พระผู้ทรงเพียงพอในตัวเอง ?(โกรอ่าน 35:15)? ดังนั้น ?ความร่ำรวย ?หมายถึงการไม่ขึ้นกับสิ่งใดนอกจากพระผู้เป็นเจ้า ?และ ?ความยากจน ?หมายถึงการไม่มีสิ่งที่เป็นของพระผู้เป็นเจ้า

ทำนองคล้ายกันจงระลึกถึงวันที่ชาวยิวมาล้อมพระเยซูบุตรของแม่รี่ ?และกดดันพระองค์ให้สารภาพว่าอ้างตนเป็นพระเมไซยะและศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า ?เพื่อว่าพวกเขาจะประกาศว่าพระองค์เป็นผู้ไม่มีศาสนา และตัดสินประหารชีวิตพระองค์ ?จากนั้นพวกเขานำตัวพระองค์ พระผู้เป็นดวงตะวันบนนภาแห่งการเปิดเผยพระธรรมสวรรค์ ไปหาไพเลทและคายาฟาสซึ่งเป็นนักบวชชั้นนำของยุคนั้น ?พระระดับหัวหน้ามาชุมนุมกันในวัง และประชาชนจำนวนมากเช่นกันมาชุมนุมกันเพื่อจะเป็นพยานต่อความทุกข์ทรมานของพระองค์ เยาะเย้ยและทำให้พระองค์บาดเจ็บ ?แม้ว่าพวกเขาย้ำถามพระองค์โดยหวังว่าพระองค์จะสารภาพการอ้างตน กระนั้นพระเยซูเงียบและไม่พูด ในที่สุดผู้ที่ถูกคำสาปของพระผู้เป็นเจ้าลุกขึ้นเข้าไปหาพระเยซู ?ให้พระองค์กล่าวคำสัตย์สาบานว่า ?เจ้าไม่ได้อ้างตนเป็นพระเมไซยะของพระผู้เป็นเจ้าหรือ ?เจ้าไม่ได้กล่าวว่า? เราคือกษัตริย์ของกษัตริย์ทั้งหลาย ?วาทะของเราคือวาทะของพระผู้เป็นเจ้า และเราคือผู้ละเมิดวันซาบาท ?หรอกหรือ? ??ครั้นแล้วพระเยซูเงยศีรษะขึ้นและกล่าวว่า?:? เจ้ามองไม่เห็นบุตรแห่งมนุษย์นั่งอยู่บนมือขวาแห่งอานุภาพและอำนาจหรือ? ??เหล่านี้คือวาทะของพระองค์ และกระนั้นจงพิจารณาดูว่า ดูภายนอกแล้วพระองค์ใม่มีอานุภาพอะไรเลยเว้นแต่อานุภาพภายในที่เป็นของพระผู้เป็นเจ้า ?ซึ่งห้อมล้อมทุกคนที่อยู่ในสวรรค์และบนโลก เราจะเล่าเรื่องทุกสิ่งที่บังเกิดกับพระองค์หลังจากที่พระองค์เอ่ยวาทะเหล่านี้ได้อย่างไร ?เราจะพรรณนาพฤติกรรมที่ชั่วร้ายของพวกเขาที่กระทำต่อพระองค์อย่างไร ??สุดท้ายแล้วพวกเขาถมความทุกข์ทรมานใส่บนตัวตนที่วิสุทธิ์ของพระองค์ จนพระองค์บินขึ้นไปสู่สวรรค์ที่สี่

เป็นที่บันทึกไว้เช่นกันในกอสเปวโดยลุคว่า ?วันหนึ่งพระเยซูเดินผ่านชาวยิวคนหนึ่งที่ป่วยเป็นอัมพาตและนอนอยู่บนที่นอน ?เมื่อชาวยิวผู้นี้เห็นพระองค์ เขารู้ว่าพระองค์คือใครและร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์ ?พระเยซูกล่าวต่อเขาว่า?:? จงลุกขึ้นจากเตียงของเจ้า ?บาปของเจ้าได้รับการอภัย ?ชาวยิวจำนวนหนึ่งที่ยืนอยู่ที่นั่นคัดค้านว่า?:? ใครสามารถให้อภัยบาปได้นอกจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น? ??พระองค์อ่านความคิดของพวกเขาออกทันที พระเยซูทรงตอบพวกเขาว่า?:? เป็นเรื่องง่ายกว่าที่จะพูดกับผู้ที่ป่วยเป็นอัมพาตว่า ?จงลุกขึ้น เก็บเตียงของเจ้าและเดิน หรือพูดว่าบาปของเจ้าได้รับการอภัย? ?(ลุค 5:18-26)? นี้คืออธิปไตยที่แท้จริง ?และคืออานุภาพของบรรดาผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าเลือกสรร!? สิ่งทั้งหมดเหล่านี้ที่เรากล่าวซ้ำๆ ?และรายละเอียดทั้งหลายที่เราคัดมาจากแหล่งต่างๆ มากมาย ?ไม่มีจุดประสงค์อื่นใดนอกจากจะช่วยให้เจ้าเข้าใจความหมายของคำพาดพิงต่างๆ ในวาทะของบรรดาผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าเลือกสรร ?เพื่อว่าบางวาทะเหล่านี้จะไม่ทำให้เท้าของเจ้าสั่นหรือหัวใจของเจ้าตระหนก

ดังนี้เราจะได้ก้าวมั่นไปบนหนทางแห่งความมั่นใจ ?เพื่อว่าสายลมที่พัดมาจากทุ่งหญ้าแห่งความยินดีของพระผู้เป็นเจ้า ?จะโชยสุคนธรสแห่งการเป็นที่ยอมรับของสวรรค์มายังเรา และพาให้เราผู้ซึ่งจะต้องตายและหายไป ?ไปถึงอาณาจักรแห่งความรุ่งโรจน์อนันต์ เมื่อนั้นเจ้าจะเข้าใจความหมายซ่อนเร้นของอธิปไตยและที่คล้ายกันที่พูดไว้ในคำสอนและคัมภีร์ต่างๆ ?ยิ่งไปกว่านั้นเป็นที่ประจักษ์และทราบต่อเจ้าแล้วว่า สิ่งต่างๆ ที่ชาวยิวและคริสเตียนยึดถือ และการหาเรื่องที่พวกเขาถมใส่ความงามของพระโมฮัมหมัด ?สิ่งเดียวกันเหล่านี้เป็นที่สนับสนุนในยุคนี้โดยประชาชนแห่งคัมภีร์โกรอ่าน และเห็นได้จากการประณาม ?จุดปฐมของคัมภีร์บายัน ?ของพวกเขา ขอให้ดวงวิญญาณของทุกคนที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรแห่งการเปิดเผยพระธรรมสวรรค์เป็นพลีแด่พระองค์!? จงมองดูความเบาปัญญาของพวกเขา?:?พวกเขาเอ่ยถ้อยคำเดียวกันที่เอ่ยโดยชาวยิวในอดีต ?และหารู้ไม่!? วจนะเกี่ยวกับพวกเขาถูกต้องและเป็นจริงเพียงไร?:? ปล่อยให้พวกเขาสนุกกับการหาเรื่อง! ?(โกรอ่าน 6:91)?? ดูกร ?พระโมฮัมหมัด!? ขณะที่เจ้ามีชีวิต ?พวกเขาคลั่งด้วยความเพ้อฝันอันไร้สาระ ?(โกรอ่าน 15:72)

เมื่อพระผู้ที่มองไม่เห็น ?พระผู้เป็นนิรันดร์ พระผู้เป็นสาระสวรรค์ ?บันดาลให้ดวงตะวันแห่งพระโมฮัมหมัดรุ่งขึ้นมาบนขอบฟ้าแห่งความรู้ ?สิ่งหนึ่งที่เหล่านักบวชยิวนำมาหาเรื่องพระองค์คือ หลังจากพระโมเสสไม่ควรมีศาสนทูตถูกส่งมาจากพระผู้เป็นเจ้า ?ใช่แล้ว มีการกล่าวไว้ในคัมภีร์ทั้งหลายเกี่ยวกับดวงวิญญาณหนึ่งที่จะต้องถูกแสดงให้เห็นชัด ผู้ซึ่งจะทำให้ศาสนาของพระโมเสสก้าวหน้าและส่งเสริมประโยชน์ของประชาชนของพระองค์ ?เพื่อว่ากฎของยุคศาสนาของพระโมเสสจะห้อมล้อมทั้งพิภพ ดังนี้ในคัมภีร์ของกษัตริย์แห่งความรุ่งโรจน์อนันต์ พระองค์ได้กล่าวถึงถ้อยคำที่เอ่ยโดยบรรดาผู้ที่ร่อนเร่ไปในหุบเขาแห่งความห่างไกลและความหลงผิด?:? ชาวยิวกล่าวว่า? มือของพระผู้เป็นเจ้าถูกล่ามโซ่ ? มือของพวกเขาเองถูกล่ามโซ่!? และพวกเขาถูกสาปสำหรับสิ่งที่ได้พูดไป ?ไม่เลย มือทั้งสองของพระองค์เหยียดออก! ?(โกรอ่าน 5:64)?? มือของพระผู้เป็นเจ้าอยู่เหนือมือของพวกเขา ?(โกรอ่าน 48:10)

แม้ว่าบรรดาผู้เชี่ยวชาญในคัมภีร์โกรอ่านได้เล่าสภาพแวดล้อมของการเปิดเผยวจนะท่อนนี้ในลักษณะแตกต่างกันมากมาย ?กระนั้นเจ้าควรพยายามเข้าใจจุดประสงค์ของวจนะท่อนนี้ พระองค์ทรงกล่าวว่า?:?สิ่งที่ชาวยิวนึกคิดนั้นผิดอย่างไร ??มือของพระผู้เป็นกษัตริย์ในความจริง พระผู้ทรงบันดาลให้พระพักตร์ของพระโมเสสถูกแสดงให้เห็นชัด ?และประทานเสื้อคลุมแห่งความเป็นศาสนทูตให้แก่พระโมเสส มือของพระผู้ที่เป็นเช่นนี้ถูกล่ามโซ่และตีตรวนได้อย่างไร ??เป็นที่นึกคิดได้อย่างไรว่าพระองค์ไม่สามารถชูธรรมทูตอีกองค์หนึ่งขึ้นมาหลังจากพระโมเสส ?จงมองดูความเหลวไหลของคำพูดของพวกเขา?:?คำพูดดังกล่าวได้หลงไปจากหนทางแห่งความรู้และความเข้าใจไกลเพียงไหน!? จงสังเกตดูในยุคนี้เช่นกันว่า ?ประชาชนทั้งหมดเหล่านี้ได้สาละวนอยู่กับความเหลวไหลที่โง่เง่าดังกล่าวอย่างไร ?เป็นเวลากว่าหนึ่งพันปีพวกเขาได้สวดวจนะท่อนนี้ และประกาศคำตำหนิชาวยิวโดยไม่ตั้งใจ ?หารู้ไม่ว่าพวกเขาเองก็กำลังพูดความรู้สึกนึกคิดและความเชื่อของประชาชนชาวยิวอย่างเปิดเผยและเป็นการส่วนตัว!? แน่นอนว่าเจ้าทราบการโต้แย้งที่เหลวไหลของพวกเขาว่า ?การเปิดเผยพระธรรมทั้งหมดสิ้นสุดแล้ว อานนแห่งความปรานีสวรรค์ถูกปิดแล้ว ?จะไม่มีดวงอาทิตย์ขึ้นมาจากอรุโณทัยแห่งความวิสุทธิ์อนันต์อีก มหาสมุทรแห่งความอารีนิรันดร์หยุดนิ่งแล้วตลอดกาล ?และจากวิหารแห่งความรุ่งโรจน์บรมโบราณจะไม่มีการแสดงธรรมทูตของพระผู้เป็นเจ้าให้เห็นชัดอีกต่อไป ดังกล่าวคือระดับความเข้าใจของประชาชนที่จิตใจคับแคบและน่ารังเกียจเหล่านี้ ?ประชาชนเหล่านี้นึกคิดว่า การหลั่งไหลกรุณาธิคุณที่ห้อมล้อมทุกสิ่งและความปรานีที่เหลือล้นของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งไม่มีจิตใจใดคาดคิดได้ว่าจะมีการหยุดได้ ได้หยุดแล้ว พวกเขาลุกขึ้นจากรอบด้านและเตรียมการใช้อำนาจบาตรใหญ่ ?พยายามเป็นที่สุดที่จะดับเปลวไฟของพุ่มไม้ลุกไหม้ของพระผู้เป็นเจ้าด้วยน้ำขมแห่งความเพ้อฝันอันไร้สาระของตน หารู้ไม่ว่าครอบแก้วแห่งอานุภาพจะคุ้มครองตะเกียงของพระผู้เป็นเจ้าไว้ในที่มั่นอันทรงอำนาจของตน ชนชาตินี้ตกอยู่ในความขัดสนสุดๆ ซึ่งเพียงพอสำหรับพวกเขาอย่างแน่นอน ?เนื่องด้วยพวกเขามองไม่เห็นจุดประสงค์ที่แท้ และไม่รู้เกี่ยวกับความลึกลับและแก่นของศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า เพราะกรุณาธิคุณสูงสุดและเป็นเลิศที่สุดที่ประทานให้แก่มนุษย์คือกรุณาธิคุณแห่ง ?การพบเห็นการปรากฏองค์ของพระผู้เป็นเจ้า ?และการยอมรับพระองค์ ?ซึ่งสัญญาไว้กับประชาชนทั้งหมด นี้คือกรุณาธิคุณระดับสูงสุดที่ประทานให้แก่มนุษย์โดยพระผู้ทรงอารี ?พระผู้ดำรงอยู่ก่อนยุคสมัย และคือความอารีที่ไพบูลย์และเต็มเปี่ยมที่ประทานให้แก่บรรดาผู้ที่พระองค์สร้าง ?ไม่มีใครในชนชาตินี้ที่ได้รับกรุณาธิคุณและความอารีนี้ หรือได้รับเกียรติของความเป็นเอกที่ประเสริฐสุดนี้ วจนะที่เปิดเผยไว้มากมายเท่าไรเป็นพยานอย่างชัดแจ้งต่อสัจธรรมที่มีน้ำหนักที่สุดและใจความที่ประเสริฐนี้!? กระนั้นพวกเขาได้ปฏิเสธและเข้าใจสัจธรรมนี้ผิดไปตามกิเลสของตนเอง ?ดังที่พระองค์ทรงกล่าวไว้ว่า?:? สำหรับพวกที่ไม่เชื่อในสัญลักษณ์ของพระผู้เป็นเจ้า ?หรือไม่เชื่อว่าตนจะมีวันได้พบพระองค์ คนเหล่านี้จะสิ้นหวังด้วยความปรานีของเรา ?และการลงโทษที่สาหัสรอคอยพวกเขาอยู่ ?(โกรอ่าน 29:23)? เช่นกันพระองค์ทรงกล่าวว่า?:? พวกที่คิดอยู่ในใจว่าตนจะพบเห็นการปรากฏองค์ของพระผู้เป็นนายของตน ?และจะกลับไปสู่พระองค์ ?(โกรอ่าน 2:46)? เช่นกันในอีกกรณีหนึ่งพระองค์ทรงเปิดเผยว่า?:? พวกที่ถือว่าตนจะต้องพบกับพระผู้เป็นเจ้าแน่นอนกล่าวว่า? บ่อยแค่ไหนที่กองทัพขนาดเล็กได้พิชิตกองทัพที่มีกำลังมากมาย!? ?(โกรอ่าน 2:249)? ยังมีในอีกกรณีหนึ่งพระองค์ทรงเปิดเผยว่า?:? เช่นนั้นขอให้ผู้ที่หวังจะพบเห็นการปรากฏองค์ของพระผู้เป็นนายของตน ?ทำงานที่ชอบธรรม ?(โกรอ่าน 18:111)? และเช่นกันพระองค์ทรงกล่าวว่า?:? พระองค์จัดระเบียบทุกสิ่ง ?พระองค์ทำสัญลักษณ์ของพระองค์ให้ชัดเจน ?เพื่อว่าเจ้าจะมีศรัทธามั่นในการพบเห็นการปรากฏองค์ของพระผู้เป็นนายของเจ้า ?(โกรอ่าน 13:2)

ชนชาตินี้ไม่ยอมรับวจนะท่อนเหล่านี้ทั้งหมดที่ให้การยืนยันความเป็นจริงของ ?การพบเห็นการปรากฏองค์ของพระผู้เป็นเจ้า ?อย่างแน่ใจได้ ?ไม่มีใจความใดที่เน้นไว้ชัดเจนกว่านี้ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ?แม้กระนั้นพวกเขาก็ได้พรากตนเองจากตำแหน่งที่สูงส่งและประเสริฐสุดนี้ สถานะที่รุ่งโรจน์และยิ่งใหญ่ที่สุดนี้ ?บางคนโต้แย้งว่า ?การพบเห็นการปรากฏองค์ของพระผู้เป็นเจ้า ?หมายถึง ?การเปิดเผย ?องค์ของพระผู้เป็นเจ้าในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ ?หากพวกเขายืนยันว่า ?การเปิดเผย ?องค์ของพระผู้เป็นเจ้าหมายถึง ?การเปิดเผยอย่างทั่วถึง ??เป็นที่ชัดเจนและประจักษ์ว่า การเปิดเผยดังกล่าวมีอยู่แล้วในทุกสิ่ง สัจธรรมของเรื่องนี้เราได้พิสูจน์แล้ว ?เนื่องด้วยเราได้สาธิตแล้วว่า ทุกสิ่งคือผู้รับและผู้เปิดเผยความอำไพของกษัตริย์ในอุดมคตินี้ และสัญลักษณ์ทั้งหลายของการเปิดเผยดวงอาทิตย์นี้ที่เป็นแหล่งกำเนิดความอำไพทั้งหมด ?มีอยู่และเห็นชัดอยู่ในกระจกของชีวิตทั้งหลาย ไม่เพียงเท่านั้น หากมนุษย์จ้องดูด้วยดวงตาที่หยั่งเห็นธรรม เขาจะมองเห็นว่าไม่มีสิ่งใดดำรงอยู่ได้โดยปราศจากการเปิดเผยความอำไพของพระผู้เป็นเจ้า ?ผู้เป็นกษัตริย์ในอุดมคติ จงพิจารณาดูว่าสรรพสิ่งทั้งปวงให้การยืนยันอย่างจับใจต่อการเปิดเผยแสงสว่างนี้ภายในตนเองอย่างไร จงมองดูภายในทุกสิ่งว่า อานนทั้งหลายของเรซวานของพระผู้เป็นเจ้าถูกเปิดไว้อย่างไร ?เพื่อว่าผู้แสวงหาทั้งหลายจะได้ไปถึงนครแห่งความเข้าใจและอัจฉริยภาพ และเข้าไปในอุทยานแห่งความรู้และอานุภาพ ภายในทุกอุทยานพวกเขาจะมองเห็นเจ้าสาวลี้ลับแห่งความหมายซ่อนเร้นเป็นที่เทิดทูนอยู่ภายในห้องแห่งวาทะ ?ด้วยความสง่างามเป็นที่สุดและทรงเครื่องเต็มที่ วจนะเกือบทั้งหมดในคัมภีร์โกรอ่านชี้บ่งและเป็นพยานต่อใจความของธรรมะนี้ วจนะ?:? ไม่มีสิ่งใดที่ไม่ได้สรรเสริญพระองค์ ?(โกรอ่าน 17:44)?คือข้อยืนยันที่จับใจ ?และ ?เราใส่ใจทุกสิ่งและจดเอาไว้ ?คือพยานที่ซื่อสัตย์ของใจความนี้ ?บัดนี้หาก ?การพบเห็นการปรากฏองค์ของพระผู้เป็นเจ้า ?หมายถึงการเข้าถึงความรู้ของการเปิดเผยดังกล่าว ?เป็นที่ประจักษ์ว่ามวลมนุษย์ได้พบเห็นการปรากฏพระพักตร์ที่ไม่มีเปลี่ยนแปลงของกษัตริย์ผู้ไม่มีที่เสมอนี้แล้ว ?เช่นนั้นทำไมจำกัดการเปิดเผยดังกล่าวอยู่ที่วันแห่งการฟื้นคืนชีพ

และหากพวกเขายืนยันว่า ?การปรากฏองค์ของพระผู้เป็นเจ้า ?หมายถึง ?การเปิดเผยองค์ของพระผู้เป็นเจ้าที่เฉพาะเจาะจง ?ที่ซูฟีบางคนกล่าวไว้ว่าเป็น ?การหลั่งที่วิสุทธิ์ที่สุด ??หากนี้คือการเปิดเผยสาระของพระผู้เป็นเจ้าเอง เป็นที่ประจักษ์ว่าสิ่งนี้อยู่ในความรู้สวรรค์ชั่วนิรันดร์ สมมุติว่าข้อสันนิษฐานนี้เป็นจริง ??การพบเห็นการปรากฏองค์ของพระผู้เป็นเจ้า ?นัยนี้เป็นไปไม่ได้อย่างชัดเจนสำหรับทุกคน ?เนื่องด้วยการเปิดเผยนี้ถูกจำกัดอยู่ที่สาระที่ซ่อนเร้นที่สุดซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดเข้าถึงได้ ??หนทางถูกปิดกั้น และการแสวงหาทั้งหมดถูกปฏิเสธ ?ปัญญาของบรรดาผู้ที่สวรรค์โปรดปรานไม่ว่าจะบินสูงแค่ไหน ?ไม่มีทางเข้าถึงสถานะนี้ เช่นนั้นความเข้าใจของปัญญาที่จำกัดและถูกปิดกั้นทั้งหลายจะยิ่งเข้าไม่ถึงเพียงไร

และหากพวกเขากล่าวว่า ?การปรากฏองค์ของพระผู้เป็นเจ้า ?หมายถึง ?การเปิดเผยองค์ของพระผู้เป็นเจ้าระดับที่สอง ?ซึ่งได้รับการตีความว่าเป็น ?การหลั่งที่วิสุทธิ์ ??ก็จำต้องยอมรับว่าสิ่งนี้เป็นความจริงของสรรพโลก นั่นคือ ในอาณาจักรแห่งการปรากฏองค์ดั้งเดิมของพระผู้เป็นเจ้า การเปิดเผยดังกล่าวถูกจำกัดอยู่ที่ศาสนทูตทั้งหลายและบรรดาผู้ที่พระองค์เลือกสรร ?เนื่องด้วยไม่มีใครที่ยิ่งใหญ่กว่าศาสนทูตเคยดำรงอยู่ในสรรพโลก ทุกคนยอมรับและเป็นพยานต่อสัจธรรมนี้ ศาสนทูตทั้งหลายและบรรดาผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าเลือกสรรเหล่านี้ คือผู้รับและผู้เปิดเผยคุณลักษณะและนามทั้งหมดที่ไม่มีเปลี่ยนแปลงของพระผู้เป็นเจ้า ?คือกระจกที่สะท้อนแสงสว่างของพระผู้เป็นเจ้าที่ถูกต้องอย่างแท้จริง สิ่งใดก็ตามที่เป็นความจริงของพวกเขา ในความเป็นจริงแล้วเป็นความจริงของพระผู้เป็นเจ้าเอง พระผู้ที่มองเห็นและพระผู้ที่มองไม่เห็น การรู้จักพระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นจุดกำเนิดของทุกสิ่งและการพบเห็นพระองค์ ?เป็นไปไม่ได้นอกจากโดยการรู้จักและพบเห็นพระผู้เป็นชีวิตที่เรืองรองเหล่านี้ ที่มาจากดวงอาทิตย์แห่งสัจธรรม ดังนั้นการพบเห็นการมาปรากฏของดวงอาทิตย์ที่วิสุทธิ์เหล่านี้ ?คือการพบเห็น ?การปรากฏองค์ของพระผู้เป็นเจ้า ??ความรู้ของพระผู้เป็นเจ้าถูกเปิดเผยจากความรู้ของพวกเขา ?ความเฉิดฉายของพระพักตร์ของพระผู้เป็นเจ้าถูกแสดงให้เห็นชัดจากแสงสว่างของพระพักตร์ของพวกเขา ?โดยคุณลักษณะนานัปการของพระผู้เป็นสาระแห่งการปล่อยวางเหล่านี้ ผู้เป็นทั้งแรกและสุดท้าย เป็นที่เห็นและซ่อนเร้น ?เป็นที่ประจักษ์ว่าพระผู้เป็นดวงอาทิตย์แห่งสัจธรรมคือ ?พระผู้เป็นแรกและสุดท้าย พระผู้เป็นที่เห็นและเป็นที่ซ่อนเร้น ?(โกรอ่าน 57:3)? ทำนองเดียวกันกับนามที่สูงส่งและคุณลักษณะที่ประเสริฐอื่นๆ ของพระผู้เป็นเจ้า ?ดังนั้นใครก็ตามในยุคศาสนาใดก็ตาม ที่ยอมรับและพบเห็นการมาปรากฏของดวงอาทิตย์ที่รุ่งโรจน์อำไพและล้ำเลิศที่สุดเหล่านี้ ?ได้พบเห็น ?การปรากฏองค์ของพระผู้เป็นเจ้า ?เองอย่างแท้จริง ?และได้เข้าไปในนครแห่งชีวิตอมตะชั่วนิรันดร์ ?การพบเห็นการปรากฏองค์ดังกล่าวเป็นไปได้ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพเท่านั้น ?ซึ่งเป็นวันแห่งการฟื้นขึ้นมาของพระผู้เป็นเจ้าเองโดยการเปิดเผยพระธรรมที่ห้อมล้อมทุกสิ่งของพระองค์

นี้คือความหมายของ ?วันแห่งการฟื้นคืนชีพ ?ที่พูดไว้ในคัมภีร์ทั้งหมด ?และประกาศต่อประชาชนทั้งปวง จงใคร่ครวญดู มีวันที่มีค่า ยิ่งใหญ่และรุ่งโรจน์กว่านี้ที่จินตนาการได้หรือ ?ที่จะให้มนุษย์เต็มใจละจากกรุณาธิคุณของวันนี้ และพรากตนเองจากพระพรของวันนี้ที่กำลังหลั่งลงมายังมวลมนุษยชาติจากนภาแห่งความปรานีเสมือนกับวสันตฤดู ??ดังนี้หลังจากที่ได้สาธิตให้เห็นเป็นที่แน่แท้แล้วว่า ไม่มีวันใดยิ่งใหญ่กว่าวันนี้ ไม่มีการเปิดเผยใดรุ่งโรจน์กว่าการเปิดเผยนี้ และได้อธิบายข้อพิสูจน์ที่มีน้ำหนักและไม่มีผิดพลาดทั้งหมดนี้แล้ว ?ซึ่งไม่มีปัญญาใดที่เข้าใจจะตั้งข้อสงสัยได้ ไม่มีผู้มีวิชาคนใดจะมองข้ามได้ มนุษย์จะพรากตนเองจากกรุณาธิคุณที่โอบอ้อมอารีนี้ โดยการโต้แย้งที่เหลวไหลของประชาชนแห่งความสงสัยและความเพ้อฝันได้อย่างไร ??พวกเขาไม่ได้ยินคำสอนที่รู้จักกันดีหรือ?:? เมื่ออิหม่ามกาอิมฟื้นขึ้นมา ?วันนั้นคือวันแห่งการฟื้นคืนชีพ? ??ทำนองเดียวกันบรรดาอิหม่ามผู้เป็นประทีปที่ดับไม่ได้แห่งการนำทางสวรรค์ ?ได้ตีความวจนะท่อนนี้?:? พวกนั้นจะคาดหวังอะไรได้นอกจากว่า ?พระผู้เป็นเจ้าจะลงมาหาพวกเขาในเงาของก้อนเมฆ ?(โกรอ่าน 2:210)? ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่พวกเขาถือว่าเป็นลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่งของวันแห่งการฟื้นคืนชีพอย่างไม่ต้องสงสัยว่า ?เป็นการพาดพิงถึงอิหม่ามกาอิมและการปรากฏองค์ของพระองค์

ดูกร ?ภราดรของเรา ?ดังนั้นจงพยายามทำความเข้าใจความหมายของ ?การฟื้นคืนชีพ ??และชำระหูของเจ้าให้ปลอดจากคำพูดเหลวไหลของประชาชนที่ถูกปฏิเสธเหล่านี้ ?หากเจ้าก้าวเข้าไปในอาณาจักรแห่งการปล่อยวางอย่างสิ้นเชิง เจ้าจะให้การยืนยันเลยว่า ?ไม่มียุคใดยิ่งใหญ่กว่ายุคนี้ ไม่มีการฟื้นชีพใดน่าเกรงขามกว่าการฟื้นคืนชีพนี้ที่จินตนาการได้ ?ผลงานเดียวที่ชอบธรรมที่ทำในวันนี้เท่ากับการกระทำที่ดีงามทั้งหมดที่มนุษย์ทั้งหลายปฏิบัติกันมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ ?ไม่เพียงเท่านั้น เราขอการอภัยจากพระผู้เป็นเจ้าสำหรับการเปรียบเทียบนี้ เพราะแท้จริงแล้วรางวัลที่การกระทำดังกล่าวสมควรได้รับ ?อยู่เหนือกว่าการประเมินของมนุษย์ยิ่งนัก เนื่องด้วยดวงวิญญาณที่ไม่หยั่งเห็นและน่าเวทนาเหล่านี้ ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของ ?การฟื้นคืนชีพ ?และ ?การพบเห็นการปรากฏองค์ของพระผู้เป็นเจ้า ??ดังนั้นพวกเขายังคงถูกพรากจากกรุณาธิคุณนี้โดยสิ้นเชิง ?แม้ว่าจุดประสงค์มูลฐานประการเดียวของการเรียนรู้ทั้งปวงและความเหนื่อยยากตรากตรำในการเรียนรู้คือ ?การยอมรับและบรรลุถึงสถานะนี้ กระนั้นพวกเขาทั้งหมดล้วนจมอยู่ในการศึกษาที่มุ่งไปทางวัตถุ พวกเขาไม่ยอมพักผ่อนหย่อนใจแม้แต่ขณะเดียว ?และไม่สนใจพระองค์ พระผู้เป็นสาระของวิชาทั้งปวง และเป็นจุดหมายเดียวของการค้นหาของพวกเขาเลย!? เราคิดว่า ?ริมฝีปากของพวกเขาไม่เคยแตะถ้วยแห่งความรู้ของพระผู้เป็นเจ้า ?และดูเหมือนว่าพวกเขาเข้าไม่ถึงแม้แต่หยดน้ำค้างเดียวจากการหลั่งกรุณาธิคุณสวรรค์

จงพิจารณาดูว่าในวันแห่งการเปิดเผยองค์ของพระผู้เป็นเจ้า ?ผู้ที่เข้าไม่ถึงกรุณาธิคุณของ ?การปรากฏองค์ของพระผู้เป็นเจ้า ?และหาได้ยอมรับพระศาสดาของพระองค์ ?จะถูกเรียกอย่างยุติธรรมได้อย่างไรว่าเป็นผู้รู้ แม้ว่าเขาจะใช้เวลาหลายกัลป์ในการแสวงหาความรู้ ?และได้มาซึ่งวิชาอันจำกัดทางวัตถุทั้งหมดของมนุษย์ ?เป็นที่ประจักษ์อย่างแน่นอนว่า เขาไม่อาจได้รับการพิจารณาว่ามีความรู้ที่แท้จริง ?ขณะที่ผู้ไม่รู้หนังสือที่สุดหากได้รับเกียรติของความเป็นเอกสูงสุดนี้ เขาจะได้รับการถือว่าเป็นหนึ่งในบรรดาผู้รู้สวรรค์ ซึ่งความรู้ของเขาเป็นของพระผู้เป็นเจ้า ?เพราะเขาได้เข้าถึงยอดสุดของความรู้และไปถึงยอดสุดของวิชา

สถานะนี้คือหนึ่งในสัญลักษณ์ทั้งหลายของวันแห่งการเปิดเผยองค์เช่นกัน ?ดังที่มีการกล่าวไว้ว่า?:? พระองค์จะเชิดชูผู้ที่ตกต่ำในหมู่พวกเจ้า ?และจะทำให้ผู้ที่อยู่สูงตกต่ำ ?และทำนองเดียวกันพระองค์ทรงเปิดเผยไว้ในคัมภีร์โกรอ่านว่า?:? และเราปรารถนาจะแสดงความโปรดปรานต่อบรรดาผู้ที่ถูกทำให้ต่ำลงในดินแดน ?และทำให้พวกเป็นผู้นำทางธรรมในหมู่มนุษย์ และทำให้พวกเขาเป็นทายาทของเรา ?(โกรอ่าน 28:5)? เป็นที่เห็นแล้วว่าในยุคนี้นักบวชมากมายเพียงใดโดยการปฏิเสธพระผู้เป็นสัจธรรม ?ได้ตกลงไปอาศัยอยู่ในก้นบึ้งแห่งความเขลาที่ลึกที่สุด และชื่อของพวกเขาถูกลบออกไปจากรายชื่อของผู้ที่รุ่งโรจน์และผู้รู้ ?และคนเขลามากมายเพียงใดโดยการยอมรับศาสนา ได้บินสูงขึ้นไปถึงยอดสุดแห่งความรู้ และชื่อของพวกเขาถูกจารึกโดยปากกาแห่งอานุภาพไว้บนธรรมจารึกแห่งความรู้สวรรค์ ?ดังนี้ ?พระผู้เป็นเจ้าจะยกเลิกหรือยืนยันสิ่งที่พระองค์ปรารถนา เพราะบ่อเกิดของการเปิดเผยพระธรรมอยู่กับพระองค์ ?(โกรอ่าน 13:41)? ดังนั้นจึงเป็นที่กล่าวไว้ว่า ?การแสวงหาหลักฐานเมื่อข้อพิสูจน์เป็นที่ยอมรับแล้ว ?เป็นเพียงการกระทำที่ไม่เหมาะ และการสาละวนอยู่กับการแสวงหาความรู้เมื่อได้เข้าถึงจุดหมายของการเรียนรู้ทั้งปวงแล้ว ?เป็นที่น่าตำหนิอย่างแท้จริง ?จงกล่าวว่า ดูกร ประชาชนของโลก!? จงมองดูชายหนุ่มผู้นี้ที่เป็นเสมือนเปลวไฟที่ลามไปสุดความล้ำลึกที่ไร้ขอบเขตของพระวิญญาณอย่างรวดเร็ว ?เป็นการนำข่าวมาบอกเจ้าว่า?:? ดูซิ?:?ตะเกียงของพระผู้เป็นเจ้ากำลังส่องแสง ??และเรียกเจ้าให้เอาใจใส่ศาสนาของพระองค์ ที่แม้ว่าซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ม่านแห่งความอำไพบรมโบราณ ?ก็ส่องแสงอยู่เหนืออรุโณทัยแห่งความวิสุทธิ์อนันต์ในดินแดนอิรัก

ดูกร ?สหายของเรา ?หากวิหคแห่งปัญญาของเจ้าสำรวจนภาแห่งการเปิดเผยพระธรรมของคัมภีร์โกรอ่าน ?และตรองดูอาณาจักรแห่งความรู้สวรรค์ที่คลี่ออกมาในคัมภีร์นี้ วางใจได้ว่าเจ้าจะพบประตูไปสู่ความรู้ที่นับไม่ได้เปิดออกต่อหน้าเจ้า ?เจ้าจะยอมรับอย่างแน่นอนว่า สิ่งทั้งหมดเหล่านี้ที่ขัดขวางชนชาตินี้ในยุคนี้ไม่ให้ไปถึงชายฝั่งมหาสมุทรแห่งกรุณาธิคุณอนันต์ คือสิ่งเดียวกันในยุคศาสนาของพระโมฮัมหมัดที่ขัดขวางประชาชนในยุคนั้นไม่ให้ยอมรับดวงอาทิตย์แห่งธรรมนั้น ?และไม่ให้การยืนยันสัจธรรมของพระองค์ เช่นกันเจ้าจะเข้าใจความลึกลับทั้งหลายของ ?การกลับมา ?และ ?การเปิดเผย ?และจะอาศัยอยู่อย่างปลอดภัยภายในห้องที่สูงส่งที่สุดแห่งความมั่นใจและความวางใจ

และมาวันหนึ่ง ?ปรปักษ์จำนวนหนึ่งของพระผู้ทรงความงามที่ไม่มีที่เสมอนี้? ซึ่งเป็นพวกที่หลงไกลไปจากที่คุ้มภัยอันไม่รู้สิ้นของพระผู้เป็นเจ้า ?ได้พูดดูถูกพระโมฮัมหมัดด้วยถ้อยคำเหล่านี้?:? แท้จริงแล้วพระผู้เป็นเจ้าได้ทำปฏิญญากับเราว่า ?เราไม่ต้องเชื่อถืออัครสาวกจนกว่าเขาจะนำเสนอเราด้วยเครื่องบูชายัญที่ไฟจากนภาจะเผาผลาญ ?(โกรอ่าน 3:183)? ความหมายของวจนะท่อนนี้คือ ?พระผู้เป็นเจ้าได้ทำปฏิญญากับพวกเขาว่า ?พวกเขาไม่ควรเชื่อในธรรมทูตองค์ใดๆ นอกจากว่าธรรมทูตนั้นจะแสดงปาฏิหาริย์ของเอเบลและเคน ?นั่นคือ สละเครื่องบูชายันและไฟจากนภาเผาผลาญเครื่องบูชายัญนี้ ดังที่พวกเขาได้ยินในเรื่องราวของเอเบลที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์ต่างๆ ?สำหรับสิ่งนี้พระโมฮัมหมัดทรงตอบว่า?:? อัครสาวกทั้งหลายก่อนหน้าเราได้เสด็จมายังเจ้าแล้วด้วยข้อยืนยันต่างๆ ที่แน่นอน ?และด้วยสิ่งที่เจ้าพูด ไฉนเจ้าจึงสังหารพวกเขา ?จงบอกเรามาถ้าเจ้าเป็นบุรุษแห่งสัจธรรม ?(โกรอ่าน 3:182)? และบัดนี้จงมีความเป็นธรรม ?ประชาชนที่มีชีวิตอยู่ในสมัยของพระโมฮัมหมัด ?จะดำรงอยู่เมื่อพันๆ ปีก่อนหน้านั้นในยุคของอดัมหรือศาสนทูตอื่นๆ ได้อย่างไร ??ทำไมพระโมฮัมหมัด พระผู้เป็นสาระแห่งวาจาสัตย์ ตั้งข้อหาประชาชนในยุคของพระองค์ว่าฆาตกรรมเอเบลหรือศาสนทูตอื่นๆ ??เจ้าไม่มีทางเลือกอื่นเว้นแต่จะถือว่าพระโมฮัมหมัดเป็นผู้หลอกลวงหรือคนโง่ ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงห้าม!? หรือยืนยันว่าประชาชนชั่วร้ายเหล่านี้คือ ?ประชาชนเดียวกันที่ต่อต้านและหาเรื่องศาสนทูตและธรรมทูตทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้าในทุกยุค ?จนกระทั่งในที่สุดพวกเขาทำให้ทุกองค์สละชีวิต

จงไตร่ตรองสิ่งนี้ในหัวใจ ?เพื่อว่าวายุหอมหวานแห่งความรู้สวรรค์ที่พัดมาจากทุ่งหญ้าแห่งความปรานี ?จะโชยสุคนธรสของวาทะของพระผู้เป็นที่รักยิ่งมายังเจ้า และดลให้วิญญาณของเจ้าไปถึงเรซวานแห่งความเข้าใจ ?ผู้หลงผิดในทุกยุคหาได้หยั่งถึงความหมายที่ลึกกว่าของวาทะที่มีน้ำหนักและเต็มไปด้วยนัยเหล่านี้ และนึกคิดว่าคำตอบของศาสนทูตทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้าไม่เกี่ยวเนื่องกับคำถามต่างๆ ที่พวกเขาถาม ?พวกเขาจึงหาว่าพระผู้เป็นสาระแห่งความรู้และความเข้าใจเหล่านี้โง่เขลาเบาปัญญา

ทำนองเดียวกันพระโมฮัมหมัดคัดค้านประชาชนในยุคนั้นด้วยวาทะอีกท่อนหนึ่ง ?พระองค์ทรงกล่าวว่า?:? แม้ว่าก่อนนี้พวกเขาเคยอธิษฐานขอให้มีชัยต่อพวกที่ไม่เชื่อ ?กระนั้นเมื่อพระผู้ที่พวกเขารู้จักเสด็จมายังพวกเขา พวกเขาไม่เชื่อในพระองค์ ?คำสาปของพระผู้เป็นเจ้าตกอยู่กับพวกไม่มีศาสนา! ?(โกรอ่าน 2:89)? จงใคร่ครวญดูว่าวจนะท่อนนี้แสดงนัยเช่นกันอย่างไรว่า ?ประชาชนที่มีชีวิตอยู่ในสมัยของพระโมฮัมหมัด คือประชาชนเดียวกันในสมัยของศาสนทูตทั้งหลายในอดีต ?ที่โต้แย้งและต่อสู้เพื่อส่งเสริมและสอนศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า กระนั้นประชาชนที่มีชีวิตอยู่ในสมัยของพระเยซูและพระโมเสส ?และบรรดาผู้ที่มีชีวิตอยู่ในสมัยของพระโมฮัมหมัด ได้รับการพิจารณาว่าเป็นประชาชนเดียวกันได้อย่างไร ?ยิ่งไปกว่านั้นพระผู้ที่พวกเขารู้จักมาก่อนคือพระโมเสสผู้เปิดเผยเพนทาทุค ?และพระเยซูผู้ให้กำเนิดกอสเปว แม้กระนั้นทำไมพระโมฮัมหมัดกล่าวว่า?:? เมื่อพระผู้ที่พวกเขารู้จักเสด็จมายังพวกเขา ?นั่นคือพระเยซูหรือพระโมเสส ??พวกเขาไม่เชื่อในพระองค์? ?พระโมฮัมหมัดไม่ดูเหมือนว่าถูกเรียกด้วยอีกชื่อหนึ่งหรือ ??พระองค์ไม่ได้ออกมาจากอีกเมืองหนึ่งหรือ ?พระองค์ไม่ได้พูดอีกภาษาหนึ่งและเปิดเผยอีกกฎหนึ่งหรือ ??เช่นนั้นสัจธรรมของวจนะท่อนนี้จะได้รับการพิสูจน์ และความหมายของวจนะท่อนนี้จะเป็นที่ชัดเจนได้อย่างไร

ดังนั้นจงพยายามเข้าใจความหมายของ ?การกลับมา ?ที่เปิดเผยไว้อย่างชัดแจ้งในคัมภีร์โกรอ่านเอง ?และยังไม่มีใครเข้าใจ เจ้าพูดว่าอะไร ?หากเจ้าพูดว่าพระโมฮัมหมัดคือ ?การกลับมา ?ของศาสนทูตทั้งหลายในอดีตดังที่วจนะท่อนนี้เป็นพยาน ?พระสหายทั้งหลายของพระองค์ก็ต้องเป็น ?การกลับมา ?ของพระสหายทั้งหลายในอดีตที่ผ่านมาเช่นกัน ดังที่เนื้อหาของวจนะท่อนต่างๆ ที่กล่าวไว้ข้างบนเป็นพยาน ?การกลับมา ?ของประชาชนเมื่อก่อนอย่างชัดเจน ?และหากเจ้าปฏิเสธสิ่งนี้ แน่นอนว่าเจ้าได้ปฏิเสธสัจธรรมของคัมภีร์โกรอ่าน ซึ่งเป็นข้อยืนยันที่แน่นอนที่สุดของพระผู้เป็นเจ้าสำหรับมนุษย์ ทำนองเดียวกันจงพยายามทำความเข้าใจนัยสำคัญของ ?การกลับมา ???การเปิดเผย ?และ ?การฟื้นคืนชีพ ?ที่เห็นในสมัยของพระผู้แสดงสาระของพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย เพื่อว่าเจ้าจะมองเห็น ?การกลับมา ?ของวิญญาณที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในร่างกายที่วิสุทธิ์และสว่างด้วยตาของเจ้าเอง ?จะล้างธุลีแห่งความเขลาออกไป และจะชำระอัตตาที่มืดมนด้วยน้ำแห่งความปรานีที่ไหลมาจากพระผู้เป็นบ่อเกิดแห่งความรู้สวรรค์ เพื่อว่าโดยอานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าและแสงสว่างแห่งการนำทางสวรรค์ เจ้าอาจจะแยกยามเช้าแห่งความอำไพนิรันดร์จากค่ำคืนแห่งความหลงผิดที่มืดมน

ยิ่งไปกว่านั้นเป็นที่ประจักษ์ต่อเจ้าว่า ?พระผู้ได้รับการฝากฝังจากพระผู้เป็นเจ้าถูกแสดงให้เห็นชัดต่อประชาชนทั้งหลายของโลก ?ในฐานะที่เป็นผู้อรรถาธิบายสนับสนุนศาสนาใหม่และผู้นำธรรมสารมาใหม่ เนื่องด้วยวิหคแห่งบัลลังก์สวรรค์เหล่านี้ล้วนถูกส่งลงมาจากนภาแห่งพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ?และด้วยพวกเขาต่างลุกขึ้นประกาศศาสนาที่ต้านทานไม่ได้ของพระองค์ พวกเขาจึงได้รับการพิจารณาว่าเป็นวิญญาณดวงเดียวกันและบุคคลเดียวกัน เพราะพวกเขาดื่มจากถ้วยแห่งความรักของพระผู้เป็นเจ้าเดียวกัน ?และต่างก็ทานผลไม้จากพฤกษาเดียวกันแห่งความเป็นหนึ่ง พระศาสดาเหล่านี้ของพระผู้เป็นเจ้าแต่ละองค์มีสองสถานะ หนึ่งคือสถานะแห่งนามธรรมและเอกภาพที่แท้ ในแง่นี้หากเจ้าเรียกพระศาสดาทั้งหมดด้วยนามเดียวกัน ?และถือว่าทุกพระองค์มีคุณลักษณะเดียวกัน เจ้ามิได้หลงไปจากสัจธรรม ดังที่พระองค์ทรงเปิดเผยไว้ว่า?:? เรามิได้ทำให้ธรรมทูตทั้งหลายของพระองค์แตกต่างกัน! ?(โกรอ่าน 2:285)? เพราะพวกเขาต่างก็เรียกประชาชนของโลกให้มายอมรับเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้า ?และบอกพวกเขาล่วงหน้าเกี่ยวกับโควซาร์แห่งความอารีและกรุณาธิคุณที่ไม่มีสิ้นสุด? พวกเขาล้วนได้รับการสวมด้วยเสื้อคลุมแห่งความเป็นศาสนทูต ?และได้รับเกียรติด้วยเสื้อกั๊กแห่งความรุ่งโรจน์ ดังนี้พระโมฮัมหมัดผู้เป็นจุดของคัมภีร์โกรอ่านทรงเปิดเผยไว้ว่า?:? เราคือศาสนทูตทุกองค์ ??ทำนองเดียวกันพระองค์ทรงกล่าวว่า?:? เราคืออดัมคนแรก ?โนอาห์ พระโมเสส พระเยซู ??ถ้อยคำคล้ายกันกล่าวไว้โดยอิหม่ามอาลี ?คำพูดเช่นนี้ที่ชี้บ่งเอกภาพที่แท้ของบรรดาพระผู้อรรถาธิบายสนับสนุนความเป็นหนึ่ง ?ยังมีมาจากบรรดาพระผู้เป็นช่องของวาทะอมตะของพระผู้เป็นเจ้า และบรรดาพระผู้เป็นคลังของมณีแห่งความรู้สวรรค์ ?และถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์ต่างๆ พระพักตร์เหล่านี้คือผู้รับบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า และอรุโณทัยแห่งการเปิดเผยพระธรรมของพระองค์ ?การเปิดเผยพระธรรมนี้ได้รับการเชิดชูไว้เหนือม่านแห่งพหูพจน์และจำนวน ดังที่พระองค์ทรงกล่าวว่า?:? ศาสนาของเราเป็นเพียงหนึ่ง ?(โกรอ่าน 54:50)? เนื่องด้วยศาสนาเป็นหนึ่งเดียวกัน ?พระผู้อรรถาธิบายสนับสนุนศาสนาทั้งหลายก็จะต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน ?ทำนองเดียวกันอิหม่ามทั้งหลายของศาสนาของพระโมฮัมหมัดซึ่งเป็นตะเกียงแห่งความมั่นใจ ?กล่าวไว้ว่า?:? พระโมฮัมหมัดคือองค์แรกของเรา ?พระโมฮัมหมัดคือองค์สุดท้ายของเรา ?พระโมฮัมหมัดคือทุกองค์ของเรา

เป็นที่ชัดเจนและประจักษ์ว่าต่อเจ้าว่า ?ศาสนทูตทุกองค์คือวิหารของศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า ?ผู้ทรงมาปรากฏในภูษาต่างๆ มากมาย หากเจ้าสังเกตด้วยดวงตาที่หยั่งเห็น ?เจ้าจะมองเห็นพระศาสดาทุกองค์อาศัยอยู่ในวิหารดียวกัน เหินอยู่ในนภาเดียวกัน ?ประทับอยู่บนบัลลังก์เดียวกัน เอ่ยวาจาเดียวกัน และประกาศศาสนาเดียวกัน ดังกล่าวคือเอกภาพของพระผู้เป็นสาระแห่งชีวิตทั้งหลาย ?พระผู้เป็นดวงอาทิตย์แห่งความอำไพที่ไม่มีสิ้นสุดและวัดไม่ได้ ดังนั้นหากหนึ่งในพระผู้แสดงความวิสุทธิ์เหล่านี้ประกาศว่า?:? เราคือการกลับมาของศาสนทูตทุกองค์ ??แท้จริงแล้วพระองค์ทรงพูดความจริง ทำนองเดียวกันในการเปิดเผยพระธรรมครั้งถัดไปทุกครั้ง ?การกลับมาของการเปิดเผยพระธรรมครั้งก่อนคือความจริง ซึ่งสัจธรรมนี้ได้รับการพิสูจน์เป็นที่แน่ชัดแล้ว ?เนื่องด้วยการกลับมาของศาสนทูตทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้าตามที่เป็นพยานโดยคำสอนและวจนะท่อนต่างๆ ได้รับการสาธิตเป็นที่แน่แท้แล้ว ?ดังนั้นการกลับมาของบรรดาผู้ที่พวกเขาเลือกสรรก็ได้รับการพิสูจน์อย่างแน่ชัดแล้วเช่นกัน การกลับมานี้เห็นชัดในตัวมันเองจนไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานหรือข้อพิสูจน์ใดๆ ?ตัวอย่างเช่นจงพิจารณาดูศาสนทูตองค์หนึ่งคือโนอาห์ เมื่อพระองค์ได้รับการสวมเสื้อคลุมแห่งความเป็นศาสนทูต และพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าดลให้พระองค์ลุกขึ้นและประกาศศาสนาของพระองค์ ?ใครก็ตามที่เชื่อในพระองค์และยอมรับศาสนาของพระองค์ ได้รับการประสาทด้วยกรุณาธิคุณของชีวิตใหม่ และกล่าวได้อย่างแท้จริงว่าเขาผู้นั้นเกิดใหม่และได้การฟื้นชีวิตใหม่ เนื่องด้วยก่อนที่เขาจะเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าและยอมรับพระศาสดาของพระองค์ ?เขามีเสน่หาในสิ่งต่างๆ ทางโลก เช่น การยึดติดกับสิ่งที่ตนเป็นเจ้าของ ยึดติดภรรยา ลูก อาหาร เครื่องดื่มและที่คล้ายกัน จนถึงขนาดที่ว่าทั้งทิวาและราตรี เขาสนใจอยู่อย่างเดียวที่จะกอบโกยความร่ำรวยและหาความสนุกสนานเพลิดเพลิน นอกจากสิ่งเหล่านี้ก่อนที่เขาจะได้ดื่มน้ำแห่งความศรัทธาที่ฟื้นชีวิต ?เขายึดติดอยู่กับประเพณีของบรรพบุรุษ และอุทิศตนอย่างคลั่งไคล้ต่อการปฏิบัติตามธรรมเนียมและกฎต่างๆ ของบรรพบุรุษ จนเขายอมตายดีกว่าที่จะละเมิดแม้อักษรเดียวของรูปแบบและธรรมเนียมปฏิบัติที่งมงายเหล่านั้น ซึ่งถือกันอยู่ในหมู่ประชาชนของเขา ดังที่ประชาชนร้องว่า?:? แท้จริงแล้วเราพบบิดาของเรากับศาสนาหนึ่ง ?และแท้จริงแล้วเราเดินตามรอยเท้าของบิดา ?(โกรอ่าน 43:22)

ประชาชนเดียวกันเหล่านี้แม้จะถูกห่อหุ้มอยู่ในม่านที่จำกัดเหล่านี้ทั้งหมด ?และถูกควบคุมด้วยธรรมเนียมปฏิบัติดังกล่าว ทันใดที่พวกเขาได้ดื่มน้ำอมตะแห่งความศรัทธาจากถ้วยแห่งความมั่นใจ ?จากมือของพระศาสดาของพระผู้ทรงความรุ่งโรจน์ พวกเขาเปลี่ยนแปลงไปจนสละญาติพี่น้อง ความมั่งคั่ง ชีวิต และความเชื่อของตน ?ใช่แล้ว ทุกสิ่งนอกจากพระผู้เป็นเจ้าเพื่อเห็นแก่พระองค์!? ความปรารถนาพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาแรงกล้าอย่างยิ่ง ?ความปลื้มปีติของพวกเขาชูใจเป็นอย่างยิ่ง จนโลกและทั้งหมดที่อยู่ในโลกเลือนหายไปเป็นศูนยภาพต่อดวงตาของพวกเขา ?ประชาชนเหล่านี้ไม่ได้แสดงเป็นตัวอย่างของความลึกลับของ ?การเกิดใหม่ ?และ ?การกลับมา ?หรือ ?ไม่เห็นหรือว่าก่อนที่พวกเขาจะได้รับการประสาทด้วยกรุณาธิคุณใหม่ที่น่าพิศวงของพระผู้เป็นเจ้า ?ประชาชนเดียวกันนี้พยายามใช้กลอุบายนับไม่ถ้วนเพื่อรับประกันการคุ้มครองชีวิตของตนไม่ให้ถูกทำลาย ?หนามไม่ทำให้พวกเขาหวาดผวา และการเห็นสุนัขจิ้งจอกไม่ทำให้พวกเขาเปิดแน่บหรือ ?แต่เมื่อครั้งหนึ่งพวกเขาได้รับเกียรติของความเป็นเอกสูงสุดของพระผู้เป็นเจ้า ?และได้รับกรุณาธิคุณที่อารีของพระองค์ พวกเขาจะสละหนึ่งหมื่นชีวิตในหนทางของพระองค์อย่างสมัครใจถ้าพวกเขาทำได้!? ไม่เพียงเท่านั้น ?ด้วยเหยียดหยามร่างกายที่เป็นเสมือนกรง ?วิญญาณที่วิสุทธิ์ของพวกเขาย่อมปรารถนาจะได้รับการปลดปล่อย ?นักรบคนเดียวของกองทัพนี้จะเผชิญหน้าและต่อสู้กับคนจำนวนมากมาย!? และกระนั้นหากไม่ใช่เพราะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตของตน ?พวกเขาสามารถแสดงการกระทำดังกล่าวที่ขัดกับหนทางทั้งหลายของมนุษย์ ?และเข้ากันไม่ได้กับความต้องการทางโลกของตนได้อย่างไร

เป็นที่ประจักษ์ว่าไม่มีสิ่งใดที่ไร้การเปลี่ยนแปลงที่ลี้ลับนี้ ?สามารถทำให้จิตวิญญาณและความประพฤติดังกล่าวเป็นที่เห็นชัดในสรรพโลก ?ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เหมือนกับนิสัยและธรรมเนียมปฎิบัติเมื่อก่อนของพวกเขาเลย ?เพราะความวิตกของพวกเขาถูกเปลี่ยนเป็นความสงบ ความสงสัยของพวกเขาถูกเปลี่ยนเป็นความมั่นใจ ?ความขลาดของพวกเขาถูกเปลี่ยนเป็นความกล้าหาญ ดังกล่าวคืออานุภาพของน้ำมนต์ของพระผู้เป็นเจ้า ?ที่เปลี่ยนแปลงวิญญาณของมนุษย์ทั้งหลายอย่างรวดเร็วในพริบตา

ตัวอย่างเช่น ?จงพิจารณาดูสสารทองแดง ?หากถูกเก็บรักษาไว้ในเหมืองของมันเองไม่ให้แข็งตัว ?ภายในระยะเวลาเจ็ดสิบปี ทองแดงจะเปลี่ยนสภาวะไปเป็นทอง ?อย่างไรก็ตามมีบางคนยืนยันว่า ทองแดงในตัวมันเองนั้นคือทองในสภาพที่เป็นโรคจากการแข็งตัว ?และดังนั้นจึงไปไม่ถึงสภาวะของตนเอง

แม้กระนั้นก็ตามน้ำมนต์ที่แท้จริงจะทำให้สสารทองแดงเปลี่ยนสภาวะไปเป็นทองอย่างทันใด ?และจะข้ามเวลาเจ็ดสิบปีไปในชั่วขณะเดียว จะเรียกทองนี้ว่าทองแดงได้หรือ ?จะอ้างได้หรือว่าทองแดงนี้ยังไม่เปลี่ยนสภาวะไปเป็นทอง ?ขณะที่มีเกณฑ์ใกล้มือสำหรับทดสอบและแยกทองจากทองแดง

ทำนองเดียวกันโดยอานุภาพของน้ำมนต์ของพระผู้เป็นเจ้า ?ดวงวิญญาณเหล่านี้ข้ามโลกแห่งธุลีในพริบตาและเข้าไปสู่อาณาจักรแห่งความวิสุทธิ์ ?ข้ามพิภพที่มีข้อจำกัดด้วยก้าวเดียวและไปถึงดินแดนที่ไร้สถานที่ เป็นความถูกต้องที่เจ้าจะพยายามเป็นที่สุดเพื่อเข้าถึงน้ำมนต์นี้ ?ซึ่งในชั่วแล่นของลมหายใจเดียวทำให้ตะวันตกแห่งความเขลาไปถึงตะวันออกแห่งความรู้ ขับไล่ความมืดยามกลางคืนด้วยแสงสว่างยามเช้า นำทางผู้พเนจรในที่รกร้างแห่งความสงสัยไปสู่แหล่งที่ปรากฏองค์ของพระผู้เป็นเจ้าและน้ำพุแห่งความมั่นใจ ?และประทานเกียรติให้ดวงวิญญาณที่จะต้องตายได้เข้าไปในเรซวานแห่งความเป็นอมตะ ?บัดนี้หากคิดว่าทองนี้คือทองแดง ก็คิดได้เช่นกันว่าประชาชนเหล่านี้คือคนเดิมก่อนที่จะได้รับการประสาทด้วยความศรัทธา

ดูกร ?ภราดร จงมองดูว่าความลึกลับที่ซ่อนเร้นทั้งหลายของ ?การเกิดใหม่ ???การกลับมา ?และ ?การฟื้นคืนชีพ ?ถูกเปิดม่านคลุมออกและคลี่คลายต่อดวงตาของเจ้าโดยวาทะที่เพียงพอสำหรับทุกสิ่ง ?แย้งไม่ได้และแน่แท้เหล่านี้อย่างไร พระผู้เป็นเจ้าทรงยินยอมว่า โดยความช่วยเหลือที่การุณย์และมองไม่เห็นของพระองค์ ?เจ้าจะถอดเสื้อผ้าเก่าออกจากร่างกายและวิญญาณของเจ้า และสวมภูษาใหม่ที่ไม่รู้สิ้น

ดังนั้นในทุกยุคศาสนาถัดไป ?บรรดาผู้ที่ยอมรับศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าก่อนมนุษยชาติที่เหลือ ?ดื่มน้ำใสแห่งความรู้จากมือของพระผู้ทรงความงามสวรรค์ และไปถึงยอดที่สูงส่งที่สุดของความศรัทธาและความมั่นใจ ?พวกเขาสามารถได้รับการพิจารณาด้วยชื่อ ความเป็นจริง การกระทำ ถ้อยคำและตำแหน่งว่าเป็น ?การกลับมา ?ของบรรดาผู้ที่บรรลุความเป็นเอกคล้ายกันในยุคศาสนาก่อน ?เพราะสิ่งใดก็ตามที่ประชาชนในยุคศาสนาก่อนแสดงให้ปรากฏ ประชาชนรุ่นหลังนี้ก็แสดงสิ่งเดียวกัน จงพิจารณาดูดอกกุหลาบ?:?ไม่ว่าดอกกุหลาบจะบานในโลกตะวันออกหรือโลกตะวันตก ?ยังไงก็เป็นดอกกุหลาบ เพราะที่สำคัญในแง่นี้ไม่ใช่รูปโฉมของดอกกุหลาบ ?แต่อยู่ที่กลิ่นและสุคนธรสที่ดอกกุหลาบโชยไป

ดังนั้นจงชำระสายตาของเจ้าให้ปลอดจากข้อจำกัดทางโลกทั้งหมด ?เพื่อว่าเจ้าจะได้มองดูพระศาสดาทั้งหมดเป็นผู้แสดงพระนามเดียวกัน ?เป็นผู้อรรถาธิบายสนับสนุนศาสนาเดียวกัน เป็นผู้แสดงตัวตนดียวกันให้ปรากฏ ?และเป็นผู้เปิดเผยสัจธรรมเดียวกัน และเจ้าจะเข้าใจ ?การกลับมา ?ที่ลี้ลับของพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าที่คลี่ออกมาโดยวาทะเหล่านี้ ?จงใคร่ครวญดูความประพฤติของสหายทั้งหลายในยุคศาสนาของพระโมฮัมหมัดสักพัก จงพิจารณาดูว่าโดยลมหายใจฟื้นชีวิตของพระโมฮัมหมัด พวกเขาได้รับการชำระให้ปลอดจากมลทินของสิ่งไร้แก่นสารต่างๆ ในโลก ?ได้รับการปลดปล่อยจากความต้องการที่เห็นแก่ตัว และปล่อยวางจากทุกสิ่งนอกจากพระองค์อย่างไร จงมองดูว่าพวกเขาพบเห็นการปรากฏองค์ที่วิสุทธิ์ของพระองค์ ?ซึ่งเป็นการปรากฏองค์ของพระผู้เป็นเจ้าเอง ?ก่อนประชาชนทั้งหมดของโลกอย่างไร ?พวกเขาสละโลกและทุกสิ่งที่อยู่ในโลก ?และเสียสละชีวิตอย่างสมัครใจและเบิกบาน ณ แทบเท้าของพระศาสดาของพระผู้ทรงความรุ่งโรจน์อย่างไร ?และบัดนี้จงสังเกตดู ?การกลับมา ?ของความมุ่งมั่นเดียวกัน ความไม่ผันแปรและการสละเดียวกัน ที่แสดงออกมาโดยสหายทั้งหลายของจุดของคัมภีร์บายัน?(พระบ๊อบ)? เจ้าได้เป็นพยานแล้วว่าโดยความมหัศจรรย์ของกรุณาธิคุณของพระผู้เป็นนายของนายทั้งหลาย ?สหายเหล่านี้ได้สาวธงแห่งการสละเป็นเยี่ยมบนยอดสุดแห่งความรุ่งโรจน์ที่เข้าไม่ถึงอย่างไร ?พระผู้เป็นแสงสว่างเหล่านี้มาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน และผลไม้เหล่านี้คือผลไม้จากต้นไม้เดียวกัน ?เจ้าไม่สามารถสังเกตเห็นความแตกต่างในหมู่พวกเขา ทั้งหมดนี้เป็นไปโดยกรุณาธิคุณของพระผู้เป็นเจ้า!? พระองค์ประทานกรุณาธิคุณของพระองค์ให้ผู้ที่พระองค์ประสงค์ ?พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรด ขอให้เราหลีกเลี่ยงดินแดนแห่งการปฏิเสธ ?และเข้าไปสู่มหาสมุทรแห่งการยอมรับ เพื่อว่าด้วยดวงตาที่ไม่มองขัดกัน ?เราจะสังเกตเห็นภพแห่งเอกภาพและความหลากหลาย ภพแห่งความต่างกันและความเป็นหนึ่ง ?ภพแห่งความจำกัดและความปล่อยวาง และบินขึ้นไปสู่ที่คุ้มภัยสูงสุดและซ่อนเร้นที่สุดของความหมายที่ซ่อนเร้นของพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า

ดังนั้นจากที่กล่าวมานี้เป็นที่ประจักษ์และเห็นชัดว่า ?หากดวงวิญญาณหนึ่งใน ?ตอนจบที่ไม่มีจุดจบ ?ถูกแสดงให้เห็นชัด ?และลุกขึ้นประกาศและค้ำจุนศาสนาที่ใน ?ตอนเริ่มต้นที่ไม่มีจุดเริ่มต้น ?อีกดวงวิญญาณหนึ่งเคยประกาศและค้ำจุน ?ก็สามารถประกาศได้อย่างแท้จริงว่า ดวงวิญญาณสุดท้ายและดวงวิญญาณแรกเป็นหนึ่งเดียวกัน เนื่องด้วยทั้งสองเป็นผู้อรรถาธิบายสนับสนุนศาสนาเดียวกัน ?ด้วยเหตุนี้หากจุดของคัมภีร์บายัน ขอให้ชีวิตของทุกคนนอกจากพระองค์เป็นพลีแด่พระองค์ ทรงเปรียบพระศาสดาทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้าเป็นดวงอาทิตย์ ซึ่งแม้จะขึ้นมาจาก ?ตอนเริ่มต้นที่ไม่มีจุดเริ่มต้น ?จนกระทั่ง ?ตอนจบที่ไม่มีจุดจบ ?ยังไงก็เป็นดวงอาทิตย์เดียวกัน ?ทีนี้หากเจ้ากล่าวว่าดวงอาทิตย์นี้คือดวงอาทิตย์ดวงก่อน เจ้าพูดความจริง และหากเจ้ากล่าวว่าดวงอาทิตย์นี้คือ ?การกลับมา ?ของดวงอาทิตย์นั้น เจ้าก็พูดความจริงเช่นกัน ทำนองเดียวกันจากที่กล่าวมานี้เป็นที่ประจักษ์ว่าพจน์ ?สุดท้าย ?เป็นความจริงของ ?แรก ?และพจน์ ?แรก ?เป็นความจริงของ ?สุดท้าย ??เนื่องด้วย ?แรก ?และ ?สุดท้าย ?ได้ลุกขึ้นประกาศศาสนาเดียวกัน

แม้ว่าใจความนี้จะชัดเจนต่อดวงตาของบรรดาผู้ที่ได้ดื่มอมฤตแห่งความรู้และความมั่นใจ ?กระนั้นมีผู้ที่ไม่เข้าใจความหมายมากมายเพียงไร ที่ได้ยอมให้พจน์ ?ตราประทับของศาสนทูตทั้งหลาย ?มาบดบังความเข้าใจของตน ?และพรากตนจากกรุณาธิคุณของพระพรอเนกอนันต์ของพระองค์!? พระโมฮัมหมัดเองไม่ได้ประกาศหรือว่า?:? เราคือศาสนทูตทุกองค์? ??พระองค์ไม่ได้กล่าวตามที่เรากล่าวถึงหรือว่า?:? เราคืออดัม ?โนอาห์ พระโมเสสและพระเยซู? ??ทำไมพระโมฮัมหมัด พระผู้ทรงความงามอมตะนี้ที่ทรงกล่าวว่า ?เราคืออดัมแรก ?จะไม่สามารถกล่าวเช่นกันว่า?:? เราคืออดัมสุดท้าย? ??เพราะแม้ว่าพระองค์ทรงถือว่าตนเองเป็น ?องค์แรกของศาสนทูตทั้งหลาย ?นั่นคืออดัม ?ทำนองเดียวกัน ?ตราประทับของศาสนทูตทั้งหลาย ?เป็นความจริงของพระผู้ทรงความงามของพระผู้เป็นเจ้านี้ ?เป็นที่ชัดเจนที่ต้องยอมรับว่า ในการเป็น ?องค์แรกของศาสนทูตทั้งหลาย ?พระองค์คือ ?ตราประทับ ?ของพวกเขาเช่นกัน

ในยุคศาสนานี้ความลึกลับของเรื่องนี้ ?ได้เป็นบททดสอบที่เจ็บปวดสำหรับมวลมนุษยชาติ ?จงมองดูว่า บรรดาผู้ที่ยึดติดวจนะเหล่านี้แล้วไม่เชื่อในพระผู้เปิดเผยที่แท้จริงของพวกเขา ?มีมากมายเพียงไร เราขอถามว่าชนชาตินี้ถือว่าพจน์ ?แรก ?และ ?สุดท้าย ?หมายความว่าอะไรเมื่อกล่าวถึงพระผู้เป็นเจ้า ?ขอความสดุดีจงมีแด่พระนามของพระองค์ ?หากพวกเขายืนยันว่า พจน์เหล่านี้เป็นการกล่าวถึงจักรวาล นั่นจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อระบบของสิ่งทั้งหลายที่มองเห็นได้ยังดำรงอยู่อย่างเห็นชัด ??ไม่เลย ในกรณีนี้ ?แรก ?มิได้หมายถึงสิ่งอื่นใดนอกจาก ?สุดท้าย ?และ ?สุดท้าย ?มิได้หมายถึงสิ่งอื่นใดนอกจาก ?แรก

ดังเช่นใน ?ตอนเริ่มต้นที่ไม่มีจุดเริ่มต้น ??พจน์ ?สุดท้าย ?เป็นความจริงของพระผู้เป็นผู้ให้การศึกษาสิ่งที่มองเห็นและสิ่งที่มองไม่เห็น ?ทำนองเดียวกันพจน์ ?แรก ?และ ?สุดท้าย ?ก็เป็นความจริงของพระศาสดาทั้งหลายของพระองค์ พระศาสดาทั้งหลายคือผู้อรรถาธิบายที่เป็นทั้ง ?แรก ?และ ?สุดท้าย ?ในเวลาเดียวกัน ?ขณะประทับอยู่บนที่นั่ง ?แรก ?พวกเขาครองบัลลังก์ ?สุดท้าย ?หากมีดวงตาที่หยั่งเห็น ดวงตานั้นจะสังเกตเห็นเลยว่า บรรดาผู้อรรถาธิบายที่เป็น ?แรก ?และ ?สุดท้าย ??เห็นชัด ?และ ?ซ่อนเร้น ???เริ่มต้น ?และ ?ตราประทับ ?มิใช่ใครอื่นนอกจากพระศาสดาผู้วิสุทธิ์เหล่านี้ พระผู้เป็นสาระแห่งการปล่อยวางเหล่านี้ ดวงวิญญาณสวรรค์เหล่านี้ และหากเจ้าเหินในอาณาจักรวิสุทธิ์แห่ง ?พระผู้เป็นเจ้าอยู่โดยลำพัง ?ไม่มีใครอื่นนอกจากพระองค์ ?เจ้าจะพบว่าในราชสำนักนี้ นามทั้งหมดเหล่านี้ไม่มีเลยและถูกลืมหมด เมื่อนั้นดวงตาของเจ้าจะไม่ถูกบังโดยม่านเหล่านี้ พจน์และคำพาดพิงเหล่านี้อีกต่อไป สถานะนี้สูงส่งและลี้ลับเพียงไร ?ซึ่งแม้แต่เกเบรียวที่ไม่ได้รับการนำทางก็ไม่มีทางเข้าถึง และวิหคแห่งสวรรค์ที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือก็ไม่มีทางไปถึง

และบัดนี้จงพยายามเข้าใจความหมายของคำพูดนี้ของอิหม่ามอาลี ?ซึ่งเป็นผู้บัญชาการของผู้ที่ซื่อสัตย์?:? การแทงทะลุม่านแห่งความรุ่งโรจน์โดยไม่ได้รับการช่วยเหลือ ???ม่านแห่งความรุ่งโรจน์ ?ส่วนหนึ่งคือเหล่านักบวชและบัณฑิตที่มีชีวิตอยู่ในสมัยของพระศาสดาของพระผู้เป็นเจ้า ?ผู้ซึ่งขาดวิจารณญาณ รักและอยากเป็นผู้นำเหลือเกิน จึงไม่ยอมจำนนต่อศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า ไม่เพียงเท่านั้น ?ยังถึงกับไม่ยอมเงี่ยหูฟังทำนองเพลงสวรรค์ ?พวกเขาเอานิ้วอุดหูตัวเอง ?(โกรอ่าน 2:19)? และประชาชนเช่นกันด้วยไม่ใส่ใจพระผู้เป็นเจ้าเลยและถือเอาคนเหล่านี้เป็นเจ้านาย ?ได้ยอมถวายตัวอยู่ภายใต้อำนาจของผู้นำที่ขี้โอ่และมือถือสากปากถือศีลเหล่านี้ เพราะพวกเขาไม่มีสายตา ?การได้ยินและหัวใจของตนเอง ที่จะแยกความจริงจากความจอมปลอม

แม้ว่ามีคำตักเตือนของศาสนทูต ?นักบุญและบรรดาผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าเลือกสรรทั้งหมด ?ซึ่งมาจากการดลใจของสวรรค์และบัญชาประชาชนให้มองด้วยตาของตนเองและฟังด้วยหูของตนเอง ?พวกเขาก็ยังปฏิเสธคำแนะนำเหล่านี้อย่างดูหมิ่น และได้เอาตามและจะเอาตามบรรดาผู้นำของศาสนาของตนอย่างตาบอดต่อไป ?หากคนยากไร้และไม่เป็นที่รู้จัก ไม่มีภูษาของผู้มีวิชา กล่าวต่อพวกเขาว่า?:? ดูกร ?ประชาชน!? จงเอาตามธรรมทูตทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้า ?(โกรอ่าน 36:20)? ด้วยแปลกใจอย่างยิ่งต่อคำกล่าวนี้ ?พวกเขาจะตอบว่า?:? อะไรกัน!? เจ้าหมายความว่านักบวชทั้งหมดเหล่านี้ ?ผู้อรรถาธิบายวิชาทั้งหมดเหล่านี้ ซึ่งมีอำนาจ ?ความโอ่อ่าและความเอิกเกริก ได้หลงผิดและหาได้แยกความจริงจากความจอมปลอมหรือ ??เจ้าและประชาชนเหมือนเจ้าแสร้งทำเป็นเข้าใจสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจใช่ไหม? ?หากจำนวนและและความเลอเลิศของเครื่องแต่งกายได้รับการพิจารณาว่าเป็นเกณฑ์ของวิชาและสัจธรรม ?ชนชาติทั้งหลายในยุคที่ผ่านมาซึ่งประชาชนในปัจจุบันไม่เคยเหนือกว่าในด้านจำนวน ความงดงามและอานุภาพ ควรถูกนับว่าเป็นชนชาติที่เหนือกว่าและมีคุณค่ากว่าอย่างแน่นอน

เป็นที่ชัดเจนและประจักษ์ว่า ?เมื่อใดก็ตามที่พระผู้แสดงความวิสุทธิ์ทั้งหลายปรากฏองค์ ?เหล่านักบวชในยุคของพระองค์ได้ขัดขวางประชาชนไม่ให้ไปถึงหนทางแห่งสัจธรรม ?บันทึกของคัมภีร์สวรรค์ทั้งหมดให้การยืนยันเรื่องนี้ ไม่มีศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้าองค์ใดที่ถูกแสดงให้เห็นชัดแล้วไม่ตกเป็นเหยื่อของความเกลียดชังอย่างไม่ผ่อนผัน ?การประณาม การปฏิเสธ และการสาปแช่งของเหล่านักบวชในยุคของพระองค์!? ความยุ่งยากจงบังเกิดกับพวกเขาสำหรับสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่เวลานี้!? ม่านแห่งความรุ่งโรจน์ใดหรือที่ร้ายกาจกว่าพวกที่เป็นร่างแห่งความหลงผิดเหล่านี้!? ความชอบธรรมของพระผู้เป็นเจ้าเป็นพยาน!? การแทงทะลุม่านดังกล่าวคือการกระทำที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ?และการฉีกม่านเหล่านี้ให้ขาดสะบั้นคือการกระทำที่มีกุศลสูงสุด!? ดูกร ?หมู่ชนของพระวิญญาณ!?ขอให้พระผู้เป็นเจ้าช่วยเหลือเราและช่วยเหลือเจ้า ?เพื่อว่าในเวลาที่พระศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าปรากฏองค์ ?เจ้าจะได้รับการช่วยเหลือด้วยความกรุณาให้กระทำสิ่งดังกล่าว ?และพบเห็นการปรากฏองค์ของพระผู้เป็นเจ้าในสมัยของพระองค์

ยิ่งไปกว่านั้น ?ม่านแห่งความรุ่งโรจน์ ?อีกส่วนหนึ่งคือพจน์ต่างๆ เช่น ?ตราประทับของศาสนทูตทั้งหลาย ?และที่คล้ายกัน ?ซึ่งการถอดม่านนี้ออกคือความสำเร็จสูงสุดในสายตาของของวิญญาณที่มีตระกูลต่ำและหลงผิดเหล่านี้ เพราะคำพูดที่ลึกลับเหล่านี้ ?เพราะ ม่านแห่งความรุ่งโรจน์ ?ที่ร้ายกาจเหล่านี้ ทุกคนจึงถูกขัดขวางมิให้มองเห็นแสงสว่างของสัจธรรม พวกเขาไม่ได้ยินทำนองเพลงของวิหคแห่งสวรรค์?(อิหม่ามอาลี)?เอ่ยความลึกลับนี้หรือว่า?:? เราได้สนับสนุนหนึ่งพันฟาติมีห์ ?และทุกคนเป็นธิดาของพระโมฮัมหมัดบุตรของอับดุลเลาะห์? ซึ่งเป็น? ตราประทับของศาสนทูตทั้งหลาย?? ??จงมองดูว่า ?ความลึกลับมากมายเพียงไรที่ยังไม่ถูกคลี่คลายภายในวิหารแห่งความรู้ของพระผู้เป็นเจ้า ?และมณีแห่งอัจฉริยภาพของพระองค์มากมายเพียงไหนที่ยังถูกปกปิดไว้ในคลังที่ล่วงล้ำไม่ได้ของพระองค์!? หากเจ้าไตร่ตรองสิ่งนี้ในหัวใจของเจ้า ?เจ้าจะตระหนักว่า งานหัตถกรรมของพระองค์ไม่มีจุดเริ่มต้นหรือจุดจบ ?อาณาจักรของโองการของพระองค์กว้างใหญ่ไพศาลเกินกว่าลิ้นของผู้ที่จะต้องตายจะพรรณนา ?เกินกว่าวิหคแห่งปัญญาของมนุษย์จะบินข้าม ชะตาที่พระองค์ลิขิตลึกลับเกินกว่าปัญญาจะเข้าใจ ?สรรพโลกที่พระองค์สร้างไม่มีจุดจบและดำรงอยู่มาตั้งแต่ ?ตอนเริ่มต้นที่ไม่มีจุดเริ่มต้น ?บรรดาพระผู้แสดงความงามของพระองค์ไม่มีจุดเริ่มต้น ?และจะแสดงต่อไปจนถึง ?ตอนจบที่ไม่มีจุดจบ ?จงไตร่ตรองวาทะนี้ในหัวใจของเจ้า และใคร่ครวญดูว่าวาทะนี้เป็นความจริงของดวงวิญญาณที่วิสุทธิ์ทั้งหมดเหล่านี้อย่างไร

ทำนองเดียวกันจงพยายามเข้าใจความหมายของทำนองของผู้เป็นความงามนิรันดร์นั้น ?นั่นคืออิหม่ามฮุสเซนผู้เป็นบุตรของอิหม่ามอาลี ซึ่งกล่าวต่อซัลมานด้วยถ้อยคำเช่นนี้?:? เราอยู่กับหนึ่งพันอดัม ?ช่วงเวลาระหว่างอดัมคนหนึ่งและอดัมคนถัดไปคือห้าพันปี ?และเราประกาศการสืบทอดที่ประทานให้แก่บิดาของเราต่ออดัมแต่ละคน ??จากนั้นเขาเล่ารายละเอียดบางอย่างจนกระทั่งเขากล่าวว่า?:? เราได้ต่อสู้ในสงครามหนึ่งพันครั้งในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า ?สงครามย่อยและสำคัญน้อยที่สุดคือครั้งที่คล้ายกับสงครามเคย์บาร์ ?ซึ่งในสงครามครั้งนี้บิดาของเราต่อสู้ช่วงชิงกับพวกไม่มีศาสนา ?บัดนี้จากคำสอนทั้งสองนี้จงพยายามเข้าใจความลึกลับของ ?ตอนจบ ???การกลับมา ?และ ?สรรพโลกที่ไม่มีจุดเริ่มต้นหรือจุดจบ

ดูกร ?ผู้เป็นที่รักยิ่งของเรา!? ทำนองเพลงสวรรค์ประเสริฐอย่างวัดไม่ได้เหนือความพยายามของหูของมนุษย์จะได้ยิน ?เหนือปัญญาของมนุษย์ที่จะเข้าใจความลึกลับของทำนองเพลงนี้!? มดที่ช่วยตัวเองไม่ได้จะก้าวเข้าไปในราชสำนักของพระผู้ทรงความรุ่งโรจน์ได้อย่างไร ??และกระนั้นดวงวิญญาณที่อ่อนแอทั้งหลายที่ไม่เข้าใจ ก็ปฏิเสธวาทะที่เข้าใจยากเหล่านี้ ?และตั้งข้อสงสัยในสัจธรรมของคำสอนดังกล่าว ไม่เพียงเท่านั้น ไม่มีใครสามารถเข้าใจนอกจากผู้ที่มีหัวใจหยั่งรู้ ?จงกล่าวว่า พระองค์คือตอนจบซึ่งในจักรวาลทั้งหมดไม่มีจุดจบสำหรับพระองค์เป็นที่จินตนาการได้? และในสรรพโลกไม่มีจุดเริ่มต้นสำหรับพระองค์เป็นที่นึกคิดได้ ?ดูกร หมู่ชนของโลก จงมองดูความอำไพของพระผู้เป็นตอนจบที่เปิดเผยให้เห็นอยู่ในพระศาสดาทั้งหลายของพระผู้เป็นตอนเริ่มต้น!

ช่างแปลกเพียงไร!? ประชาชนเหล่านี้มือหนึ่งยึดถือวจนะในคัมภีร์โกรอ่านและคำสอนของประชาชนแห่งความมั่นใจ ?ที่พวกเขาพบว่าตรงกับประโยชน์ของตนและสิ่งที่ตนอยากให้เป็น และอีกมือหนึ่งปฏิเสธวจนะและคำสอนที่ขัดกับความต้องการที่เห็นแก่ตัวของตน ??เช่นนั้นเจ้าเชื่อคัมภีร์บางส่วนและปฏิเสธบางส่วนหรือ? ?(โกรอ่าน 2:85)? เจ้าวินิจฉัยสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจได้อย่างไร ??ดังที่พระผู้เป็นนายแห่งชีวิตหลังจากที่ทรงพูดเกี่ยวกับ ?ตราประทับ ?ในวาทะที่ประเสริฐของพระองค์ว่า?:? พระโมฮัมหมัดคืออัครสาวกของพระผู้เป็นเจ้าและตราประทับของศาสนทูตทั้งหลาย ?(โกรอ่าน 33:40)?ได้เปิดเผยคำสัญญาเกี่ยวกับ ?การพบเห็นการปรากฏองค์ของพระผู้เป็นเจ้า ?ต่อประชาชนทั้งหมดในคัมภีร์ที่ไม่มีผิดพลาดของพระองค์ ?วจนะท่อนต่างๆ ในคัมภีร์นี้ซึ่งบางท่อนเรากล่าวไว้แล้ว ให้การยืนยันการพบเห็นการปรากฏองค์ของกษัตริย์อมตะนี้ ?พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงองค์เดียวเป็นพยานให้เรา!? ไม่มีสิ่งใดประเสริฐหรือชัดแจ้งกว่า ?การพบเห็นการปรากฏองค์ของพระผู้เป็นเจ้า ?ที่เปิดเผยไว้ในคัมภีร์โกรอ่าน ?ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ผู้ที่ได้พบเห็นการปรากฏองค์นี้ ?ในยุคที่ประชาชนส่วนใหญ่หันหนีไปดังที่เจ้าเห็น

และกระนั้นเพราะความลึกลับของวจนะท่อนแรก ?พวกเขาได้หันหนีไปจากกรุณาธิคุณที่สัญญาไว้ในวจนะท่อนหลัง ?ทั้งๆ ที่ ?การพบเห็นการปรากฏองค์ของพระผู้เป็นเจ้า ?ใน ?วันแห่งการฟื้นคืนชีพ ?ได้รับการกล่าวไว้อย่างชัดแจ้งในคัมภีร์นี้ ?เป็นที่สาธิตและพิสูจน์อย่างแน่ชัดด้วยหลักฐานที่ชัดเจนต่างๆ แล้วว่า ?การฟื้นคืนชีพ ?หมายถึงการฟื้นขึ้นมาของพระศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อประกาศศาสนาของพระองค์ ?และ ?การพบเห็นการปรากฏองค์ของพระผู้เป็นเจ้า ?หมายถึงการพบเห็นการปรากฏความงามของพระองค์ในตัวตนของพระศาสดาของพระองค์ ?เพราะแท้จริงแล้ว? ไม่มีใครมองเห็นพระองค์ ?แต่พระองค์มองเห็นทุกสิ่ง ?(โกรอ่าน 6:103)? แม้ด้วยข้อเท็จจริงที่ไร้ข้อกังขาและคำกล่าวที่แจ่มแจ้งเหล่านี้ ?พวกเขาก็ยังยึดถือพจน์ ?ตราประทับ ?อย่างโง่เง่า และยังคงถูกพรากอย่างสิ้นเชิงจากการยอมรับพระผู้เปิดเผยที่เป็นทั้งตราประทับและตอนเริ่มต้นในยุคที่มีพระองค์มาปรากฏองค์ ??หากพระผู้เป็นเจ้าลงโทษมนุษย์สำหรับการกระทำที่วิปริตของพวกเขา พระองค์จะไม่ให้มีสิ่งที่เคลื่อนไหวเหลืออยู่บนโลกเลย!? แต่พระองค์ทรงเลื่อนการลงโทษพวกเขาจนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนดไว้ ?(โกรอ่าน 16:61)? แต่นอกจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ?หากชนชาตินี้เข้าถึงหยดเดียวจากสายธารใสที่หลั่งไหลมาจากวจนะ?:? พระผู้เป็นเจ้ากระทำตามที่พระองค์ประสงค์ ?และบัญญัติตามที่พระองค์ปรารถนา ?พวกเขาจะไม่หาเรื่องอย่างไม่เหมาะสมเช่นนี้กับพระผู้เป็นศูนย์กลางแห่งการเปิดเผยพระธรรมของพระองค์ ?ศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า การกระทำและถ้อยคำทั้งปวงอยู่ในเงื้อมมือของอานุภาพของพระองค์ ?ทุกสิ่งถูกจองจำอยู่ในอุ้งมือที่ทรงอำนาจของพระองค์ ?ทุกสิ่งง่ายและเป็นไปได้สำหรับพระองค์? ?พระองค์ทำทุกสิ่งสำเร็จได้ตามที่พระองค์ประสงค์? และทำทุกอย่างตามที่พระองค์ต้องการ ??ใครก็ตามที่กล่าวว่า? ทำไม ?หรือ? เหตุใด ?ได้พูดหมิ่นประมาทศาสนา! ? หากประชาชนเหล่านี้สลัดความหลับใหลและความไม่เอาใจใส่ออกไป? และตระหนักในสิ่งที่มือของพวกเขาได้กระทำ ?พวกเขาจะมอดม้วยอย่างแน่นอน และจะกระโจนเข้ากองไฟด้วยตัวเอง ?ซึ่งเป็นจุดจบและที่พำนักที่แท้จริงของพวกเขา พวกเขาไม่ได้ยินสิ่งที่พระองค์เปิดเผยไว้หรือว่า?:? พระองค์จะไม่ถูกถามเกี่ยวกับการกระทำของพระองค์? ?(โกรอ่าน 21:123)? เมื่อพิจารณาวาทะเหล่านี้ ?มนุษย์กล้าถึงขนาดตั้งคำถามพระองค์และสาละวนอยู่กับคำพูดเหลวไหลได้อย่างไร

พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกรุณา!? ชนชาตินี้เบาปัญญาและวิปริตอย่างยิ่งถึงขนาดที่พวกเขาหันหน้าเข้าหาความคิดและความต้องการของตนเอง ?และหันหลังให้กับความรู้และความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ขอความศักดิ์สิทธิ์และความสดุดีจงมีแด่พระนามของพระองค์!

จงมีความเป็นธรรม?:?หากประชาชนเหล่านี้ยอมรับสัจธรรมของวจนะที่เรืองรองและคำพาดพิงที่วิสุทธิ์เหล่านี้ ?และยอมรับพระผู้เป็นเจ้าว่าเป็น ?พระผู้กระทำตามที่พระองค์ปรารถนา ?พวกเขายังยึดถือความเหลวไหลที่โจ่งแจ้งเหล่านี้ต่อไปได้อย่างไร ??ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขาจะยอมรับและยอมจำนนด้วยวิญญาณทั้งหมดต่อสิ่งใดก็ตามที่พระองค์กล่าว เราขอสาบาญต่อพระผู้เป็นเจ้า!? หากมิใช่เพราะโองการสวรรค์และชะตาที่พระองค์ลิขิตไว้อย่างไม่อาจหยั่งรู้ ?พิภพเองจะทำลายชนชาตินี้ทั้งหมดจนสิ้นซาก!?? อย่างไรก็ตามพระองค์จะเลื่อนการลงโทษพวกเขาจนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนดไว้ในวันซึ่งเป็นที่รู้

หนึ่งพันสองร้อยแปดสิบปีผ่านไปนับแต่รุ่งอรุณของยุคศาสนาของพระโมฮัมหมัด ?ประชาชนที่ตาบอดและจิตใจต่ำเหล่านี้ได้สวดคัมภีร์โกรอ่านทุกรุ่งเช้า แต่หาได้เข้าใจแม้แต่อักษรเดียวในคัมภีร์นี้!? พวกเขาอ่านวจนะท่อนต่างๆ ที่ให้การยืนยันความเป็นจริงของใจความศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้อย่างชัดเจน ?และเป็นพยานต่อสัจธรรมของบรรดาพระผู้แสดงความรุ่งโรจน์นิรันดร์ อ่านแล้วอ่านอีก แต่ก็ยังไม่เข้าใจจุดประสงค์ของวจนะเหล่านี้ ?ตลอดช่วงเวลานี้พวกเขาถึงกับไม่ตระหนักว่า ในทุกยุคการอ่านคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมิใช่เพื่อจุดประสงค์ใด นอกจากเพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายของคัมภีร์ ?และคลี่คลายความลึกลับต่างๆ ที่ซ่อนเร้นที่สุดอยู่ในคัมภีร์ หาไม่แล้วการอ่านโดยไม่เข้าใจไม่มีประโยชน์ที่ยั่งยืนสำหรับมนุษย์

และมาวันหนึ่งชายผู้ขัดสนคนหนึ่งมาเยี่ยมดวงวิญญาณนี้ด้วยความกระหายมหาสมุทรแห่งความรู้ของพระองค์ ?ขณะที่สนทนากับเขามีการกล่างถึงสัญลักษณ์ทั้งหลายของวันแห่งการพิพากษา การฟื้นคืนชีพ การฟื้นชีวิต ?และการคิดบัญชี เขาเร่งเร้าขอให้เราอธิบายว่าในยุคศาสนาที่น่าพิศวงนี้ ประชาชนทั้งหลายของโลกถูกนำมาคิดบัญชีได้อย่างไรในเมื่อไม่มีใครทราบเรื่องนี้ ?ครั้นแล้วเราถ่ายทอดความจริงบางอย่างของวิทยาศาสตร์และอัจฉริยภาพบรมโบราณให้แก่เขาตามความสามารถและความเข้าใจของเขา จากนั้นเราถามเขาว่า?:? เจ้าไม่ได้อ่านคัมภีร์โกรอ่านหรือ ?เจ้าไม่ทราบวจนะที่วิสุทธิ์ท่อนนี้หรือ?: ?ในวันนั้นมนุษย์และวิญญาณจะไม่ถูกถามเกี่ยวกับบาปของตน? ?(โกรอ่าน 55:39)? เจ้าไม่ทราบหรือว่า? การถาม ?ไม่ได้หมายถึงการถามด้วยลิ้นหรือวาจา ?ดังที่วจนะท่อนนี้เองชี้บ่งและพิสูจน์ ?เพราะหลังจากนั้นเป็นที่กล่าวว่า?:? คนบาปจะเป็นที่รู้จากสีหน้าของเขา ?และพวกเขาจะถูกจับที่ผมปกหน้าผากและเท้าของตน? ?(โกรอ่าน 55:41)

ดังนี้ประชาชนทั้งหลายของโลกถูกวินิจฉัยโดยสีหน้าของพวกเขา ?โดยสีหน้านี้ความเชื่อที่ผิด ความศรัทธา และความไม่เป็นธรรมของพวกเขา ?ล้วนถูกแสดงให้เห็นชัด ดังที่เป็นที่ประจักษ์ในยุคนี้ว่า ประชาชนแห่งความหลงผิดเป็นที่รู้และแยกจากสาวกแห่งการนำทางสวรรค์ได้อย่างไรโดยสีหน้าของพวกเขา ?หากประชาชนเหล่านี้ไตร่ตรองวจนะต่างๆ ในคัมภีร์นี้ในหัวใจของตน เพื่อเห็นแก่พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นและไม่ปรารถนาสิ่งอื่นใดนอกจากความยินดีของพระองค์ แน่นอนว่าพวกเขาจะพบสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาแสวงหา ?ในวจนะต่างๆ ของคัมภีร์นี้พวกเขาจะพบว่าทุกสิ่งเปิดเผยไว้และเห็นชัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเล็กที่เกิดขึ้นในยุคศาสนานี้ ในวจนะเหล่านี้พวกเขาจะถึงกับมองเห็นการกล่าวถึงการออกจากดินแดนบ้านเกิดของบรรดาพระผู้แสดงนามและคุณลักษณะทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้า ?การต่อต้านและการดูหมิ่นอย่างจองหองของรัฐบาลและประชาชน และการอาศัยและปักหลักอยู่ในดินแดนที่กำหนดและระบุไว้เป็นพิเศษของพระศาสดาสากล อย่างไรก็ตามไม่มีใครสามารถเข้าใจสิ่งนี้เว้นแต่ผู้ที่มีหัวใจหยั่งรู้

เราขอปิดผนึกใจความของเราด้วยสิ่งที่เคยเปิดเผยต่อพระโมฮัมหมัด ?เพื่อว่าการปิดผนึกนี้จะโชยสุคนธรสของชะมดเชียงอันวิสุทธิ์ที่นำมนุษย์ไปสู่เรซวานแห่งความอำไพที่ไม่รู้เลือน ?พระองค์ทรงกล่าวไว้ว่า และพระวจนะของพระองค์คือสัจธรรม?:? และพระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกให้มายังที่พำนักแห่งสันติ?(แบกแดด)? และพระองค์ทรงนำทางผู้ที่พระองค์ประสงค์ไปสู่หนทางที่ถูกต้อง ?(โกรอ่าน 10:25)?? สำหรับพวกเขาคือที่พำนักแห่งสันติกับพระผู้เป็นนายของพวกเขา!? และพระองค์จะเป็นผู้คุ้มครองพวกเขาเพราะผลงานของพวกเขา ?(โกรอ่าน 6:127)? พระองค์ทรงเปิดเผยสิ่งนี้เพื่อว่ากรุณาธิคุณของพระองค์จะห้อมล้อมโลก ?ขอความสรรเสริญจงมีแด่พระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นนายแห่งสภาวะทั้งปวง!

เราได้อธิบายความหมายของทุกใจความซ้ำหลายครั้งในแง่มุมที่แตกต่างกัน ?เพื่อว่าวิญญาณทุกดวงไม่ว่าจะเป็นคนชั้นสูงหรือต่ำต้อย จะได้รับส่วนแบ่งจากคำอธิบายเหล่านี้ตามระดับและความสามารถของตน ?ดังนี้หากเขาไม่สามารถเข้าใจการอภิปรายเหตุผลบางตอน เขาก็บรรลุจุดประสงค์ของตนได้โดยการดูที่การอภิปรายเหตุผลตอนอื่น ?เพื่อว่าคนทุกประเภทจะรู้ว่าจะดับกระหายของตนได้ที่ไหน

พระผู้เป็นเจ้าเป็นพยาน!?วิหคแห่งสวรรค์นี้ซึ่งขณะนี้อาศัยอยู่บนธุลี ?สามารถขับขานเพลงอีกมากมายนอกจากทำนองเพลงเหล่านี้ ?และสามารถคลี่คลายความลึกลับอีกนับไม่ถ้วนนอกจากวาทะเหล่านี้ ?ทุกโน้ตของวาทะที่ยังไม่ได้เอ่ยประเสริฐเหนือกว่าทั้งหมดที่เปิดเผยมาอย่างวัดไม่ได้ ?และเป็นที่สดุดีอย่างยิ่งเหนือกว่าสิ่งที่หลั่งไหลมาจากปากกานี้ ขอให้อนาคตเปิดเผยชั่วโมงที่บรรดาเจ้าสาวแห่งความหมายซ่อนเร้นจะเปิดผ้าคลุมหน้า ?และรีบออกมาจากคฤหาสถ์ลี้ลับโดยพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า และแสดงตนเองให้ปรากฏในสภาวะบรมโบราณ ไม่มีสิ่งใดเป็นไปได้หากพระองค์ไม่อนุญาต ไม่มีอานุภาพใดยืนยงอยู่ได้นอกจากอานุภาพของพระองค์ ?และไม่มีพระผู้เป็นเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ สรรพโลกเป็นของพระองค์ และศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าเป็นของพระองค์ ทุกสิ่งประกาศการเปิดเผยองค์ของพระองค์ และทุกสิ่งคลี่คลายความลึกลับของพระวิญญาณของพระองค์

ในหน้าก่อนๆ เราได้ให้แต่ละดวงอาทิตย์แห่งธรรมที่รุ่งขึ้นมาจากอรุโณทัยแห่งความวิสุทธิ์นิรันดร์มีสองสถานะ ?หนึ่งในสองนี้คือสถานะแห่งเอกภาพที่แท้ซึ่งเราได้อธิบายไว้แล้ว ?เราไม่ได้ทำให้พวกเขาแตกต่างกัน ?(โกรอ่าน 2:136)? อีกสถานะหนึ่งคือสถานะแห่งความแตกต่าง ?และเกี่ยวพันกับสรรพโลกและข้อจำกัดทางโลก ?ในแง่นี้พระศาสดาแต่ละองค์ของพระผู้เป็นเจ้ามีอัตภาพต่างกัน ?มีพันธกิจที่บัญญัติไว้แน่ชัด มีการเปิดเผยพระธรรมที่ลิขิตไว้ล่วงหน้า ?และมีข้อจำกัดที่ระบุไว้เป็นพิเศษ พระศาสดาแต่ละองค์เป็นที่รู้จักด้วยพระนามต่างกัน ?ถูกพรรณนาด้วยคุณลักษณะหนึ่งเป็นพิเศษ ทรงบรรลุพันธกิจหนึ่งที่แน่ชัด และได้รับมอบให้เปิดเผยพระธรรมที่เฉพาะเจาะจง ?ดังที่พระองค์ทรงกล่าวว่า?:? เราได้ทำให้อัครสาวกบางองค์เป็นเลิศกว่าองค์อื่น ?พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสต่อบางองค์ ชูและเทิดบางองค์ สำหรับพระเยซูบุตรของแมรี่ ?เราให้สัญลักษณ์ที่เห็นชัด และเราเสริมความเข้มแข็งให้พระองค์ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ?(โกรอ่าน 2:253)

เป็นเพราะความแตกต่างนี้ในสถานะและพันธกิจของพระศาสดาทั้งหลาย ?วจนะและวาทะต่างๆ ที่หลั่งไหลมาจากพระผู้เป็นแหล่งกำเกิดของความรู้สวรรค์เหล่านี้ ?จึงดูเหมือนว่าไปคนละทางและแตกต่างกัน มิฉะนั้นแล้วในสายตาของผู้ที่เข้ามาถึงความลึกลับของอัจฉริยภาพสวรรค์ ?วาทะทั้งหมดของพระศาสดาทั้งหลายในความเป็นจริงแล้ว เป็นการแสดงออกซึ่งสัจธรรมเดียวกัน เนื่องด้วยประชาชนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจสถานะเหล่านี้ที่เรากล่าวถึง ?พวกเขาจึงฉงนและยุ่งใจต่อวาทะที่ต่างกันที่เอ่ยโดยพระศาสดาทั้งหลาย ซึ่งมีสาระเป็นหนึ่งเดียวกัน

เป็นที่ประจักษ์เสมอมาว่าความไปคนละทางของวาทะทั้งหมดเหล่านี้ ?มีเหตุมาจากความแตกต่างของสถานะ ดังนี้เมื่อมองจากมุมมองของความเป็นหนึ่งและความปล่อยวางที่เป็นเยี่ยมของพระศาสดาทั้งหลาย ?คุณลักษณะของความเป็นเจ้า คุณสมบัติของพระผู้เป็นเจ้า ความเป็นเอกสูงสุด สาระที่ซ่อนเร้นที่สุด ล้วนเป็นความจริงของพระผู้เป็นสาระแห่งชีวิตเหล่านี้ ?เนื่องด้วยพวกเขาต่างก็อาศัยอยู่บนบัลลังก์แห่งการเปิดเผยพระธรรมสวรรค์ และประทับอยู่บนที่นั่งแห่งการปกปิดสวรรค์ การเปิดเผยองค์ของพระผู้เป็นเจ้าถูกแสดงให้เห็นชัดโดยการมาปรากฏของพวกเขา ?และความงามของพระผู้เป็นเจ้าถูกเปิดเผยโดยสีหน้าของพวกเขา ดังนี้นี่เองที่สำเนียงของพระผู้เป็นเจ้าเองเป็นที่ได้ยินจากการเอ่ยออกมาของพระผู้แสดงสภาวะเป็นเจ้าเหล่านี้

เมื่อพิจารณาดูสถานะที่สองของพระศาสดาทั้งหลาย ?ซึ่งเป็นสถานะแห่งความแตกต่าง ความต่างจากกัน ข้อจำกัดทางโลก ?ลักษณะเฉพาะตัวและมาตรฐานทั้งหลาย พวกเขาแสดงความเป็นทาสอย่างสิ้นเชิง ?ขัดสนจนหมดสิ้นและถ่อมตัวโดยสมบูรณ์ ดังที่พระองค์ทรงกล่าวว่า?:? เราคือคนรับใช้ของพระผู้เป็นเจ้า?(โกรอ่าน 19:31)? เราเป็นเพียงมนุษย์เหมือนเจ้า ?(โกรอ่าน 18:110)

จากคำกล่าวที่โต้แย้งไม่ได้และสาธิตไว้โดยบริบูรณ์เหล่านี้ ?จงพยายามทำความเข้าใจความหมายของปัญหาต่างๆ ที่เจ้าถาม เพื่อว่าเจ้าจะแน่วแน่ในศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า ?และไม่ยุ่งใจเพราะความไปคนละทางของวาทะต่างๆ ของศาสนทูตทั้งหลายและบรรดาผู้ที่พระองค์เลือกสรร

หากพระศาสดาผู้ครอบคลุมทุกสรรพสิ่งองค์ใดของพระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า?:? เราคือพระผู้เป็นเจ้า! ??แท้จริงแล้วพระองค์ทรงกล่าวสัจธรรมอย่างไร้ข้อกังขา ?เพราะเป็นที่สาธิตหลายครั้งแล้วว่า โดยการเปิดเผยองค์ ?คุณลักษณะและนามทั้งหลายของพระศาสดา การเปิดเผยองค์ นามและคุณลักษณะทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้าถูกแสดงให้เห็นชัดในโลก ?ดังนี้พระองค์ทรงเปิดเผยไว้ว่า?:? ลำธนูเหล่านั้นเป็นของพระผู้เป็นเจ้า ?ไม่ใช่ของเจ้า! ?(โกรอ่าน 8:17)? และเช่นกันพระองค์ทรงกล่าวไว้ว่า?:? ความจริงแล้วผู้ที่ปฏิญาณความจงรักภักดีต่อเจ้า ?เท่ากับปฏิญาณความจงรักภักดีนั้นต่อพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง ?(โกรอ่าน 48:10)? และหากพระศาสดาองค์ใดเปล่งวาทะว่า?:? เราคือธรรมทูตของพระผู้เป็นเจ้า ??พระองค์ทรงพูดความจริงเช่นกัน และเป็นความจริงที่ไร้ข้อกังขา ?ดังที่พระองค์ทรงกล่าวไว้ว่า?:? พระโมฮัมหมัดไม่ใช่บิดาของใครในหมู่พวกเจ้า ?แต่พระองค์คือธรรมทูตของพระผู้เป็นเจ้า ?(โกรอ่าน 33:40)? เมื่อพิจารณาในแง่นี้ ?พระศาสดาทุกองค์ล้วนเป็นเพียงธรรมทูตของกษัตริย์ในอุดมคติ ?ผู้เป็นสาระที่ไม่มีเปลี่ยนแปลง และหากพระศาสดาทุกพระองค์ประกาศว่า?:? เราคือตราประทับของศาสนทูตทั้งหลาย ??แท้จริงแล้วพวกเขาเอ่ยแต่ความจริงที่ไร้ข้อกังขาแม้แต่น้อย ?เพราะพวกเขาล้วนเป็นบุคคลเดียวกัน วิญญาณเดียวกัน ชีวิตเดียวกัน ?การเปิดเผยเดียวกัน พวกเขาล้วนเป็นการปรากฏองค์ของ ?พระผู้เป็นตอนเริ่มต้น ?และ ?พระผู้เป็นตอนจบ ???พระผู้เป็นแรก ?และ ?พระผู้เป็นสุดท้าย ??พระผู้ที่มองเห็น ?และ ?พระผู้ที่ซ่อนเร้น ?ซึ่งทั้งหมดนี้เกี่ยวพันกับพระผู้เป็นพระวิญญาณเร้นลับที่สุดของพระวิญญาณทั้งหลาย ?และเป็นสาระอนันต์ของสาระทั้งหลาย และหากพระศาสดาทั้งหลายกล่าวว่า ?เราคือคนรับใช้ของพระผู้เป็นเจ้า ?นี้คือความจริงที่เห็นชัดและโต้แย้งไม่ได้เช่นกัน เพราะพวกเขาถูกแสดงให้เห็นชัดในสภาวะของความเป็นทาสอย่างสิ้นเชิง ?ซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดสามารถบรรลุถึงความเป็นทาสนี้ ดังนี้ในขณะที่พระผู้เป็นสาระแห่งชีวิตเหล่านี้ด่ำดิ่งลึกอยู่ใต้มหาสมุทรแห่งความวิสุทธิ์อนันต์และบรมโบราณ หรือเวลาที่พวกเขาเหินขึ้นไปสู่ยอดที่สูงส่งที่สุดแห่งความลึกลับสวรรค์ ?พวกเขาอ้างวาทะของตนว่าเป็นสุรเสียงของสวรรค์ เป็นเสียงร้องเรียกของพระผู้เป็นเจ้าเอง หากดวงตาที่หยั่งเห็นเปิดออก ดวงตานั้นจะมองเห็นว่าในสภาวะนี้ พระศาสดาทั้งหลายถือว่าตนเองว่างเปล่าและไม่ดำรงอยู่เมื่อเผชิญกับพระผู้ทรงแทรกซอนทุกสรรพสิ่ง ?พระผู้ไม่มีเสื่อม เราคิดว่า พวกเขาถือว่าตนเองเป็นศูนยภาพโดยสิ้นเชิง พวกเขามีความเห็นว่าการกล่าวถึงตนในราชสำนักนั้นเป็นการหมิ่นประมาทศาสนา เพราะการกระซิบอย่างเบาที่สุดของอัตตาในราชสำนักดังกล่าวคือ หลักฐานของการแสดงออกของอัตตาและการดำรงอยู่ที่ไม่ขึ้นกับใคร ?ในสายตาของบรรดาผู้ที่มาถึงราชสำนักนี้ การกระซิบแนะดังกล่าวในตัวมันเองคือการละเมิดที่ร้ายแรง และจะร้ายแรงยิ่งกว่าเพียงไหนหากกล่าวถึงสิ่งอื่นต่อพระองค์ หากหัวใจของมนุษย์ ลิ้น จิตใจหรือวิญญาณของเขา สาละวนอยู่กับผู้ใดนอกจากพระผู้เป็นที่รักยิ่ง หากดวงตาของเขามองเห็นพระพักตร์อื่นใดนอกจากความงามของพระองค์ ?หากหูของเขาเงี่ยฟังทำนองใดนอกจากเสียงของพระองค์ และหากเท้าของเขาย่างบนหนทางใดนอกจากหนทางของพระองค์

ในยุคนี้สายลมของพระผู้เป็นเจ้าพัดพา ?และพระวิญญาณของพระองค์แทรกซอนทุกสิ่ง ดังกล่าวคือการหลั่งไหลกรุณาธิคุณของพระองค์ที่ปากกาต้องหยุดนิ่งและลิ้นพูดไม่ออก

ด้วยสถานะนี้พระศาสดาทั้งหลายได้อ้างตนเป็นสุรเสียงของพระผู้เป็นเจ้าและที่คล้ายกัน ?แต่ด้วยสถานะของความเป็นธรรมทูตของพวกเขา พวกเขาได้ประกาศตนเป็นธรรมทูตของพระผู้เป็นเจ้า ?ในทุกกรณีพวกเขาได้เปล่งวาทะที่เข้ากับความจำเป็นในโอกาสนั้น และได้ถือว่าการประกาศทั้งหมดเหล่านี้เป็นของพวกเขาเอง ?ซึ่งเป็นการประกาศที่ครอบคลุมตั้งแต่อาณาจักรแห่งการเปิดเผยพระธรรมสวรรค์ไปจนถึงอาณาจักรของสรรพภาวะ ตั้งแต่อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าไปจนถึงอาณาจักรของโลกที่ดำรงอยู่ ?ดังนี้นี่เองอะไรก็ตามที่เป็นวาทะของพวกศาสดาทั้งหลาย ไม่ว่าจะเกี่ยวพันกับอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า ความเป็นนาย ความเป็นศาสนทูต ความเป็นธรรมทูต ความเป็นผู้อภิบาล ?ความเป็นอัครสาวกหรือความเป็นทาสรับใช้ ล้วนเป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นคำพูดเหล่านี้ที่เราคัดมาสนับสนุนการอภิปรายเหตุผลของเรา ต้องนำมาพิจารณาอย่างตั้งใจ เพื่อว่าวาทะที่ไปคนละทางของบรรดาพระศาสดาของพระผู้ที่มองไม่เห็นและพระผู้เป็นอรุโณทัยแห่งความวิสุทธิ์ทั้งหลาย ?จะไม่ทำให้วิญญาณปั่นป่วนและปัญญาฉงนอีกต่อไป

วจนะที่เอ่ยโดยดวงอาทิตย์แห่งสัจธรรมทั้งหลายจะต้องได้รับการไตร่ตรอง ?และหากนัยสำคัญของวจนะเหล่านั้นไม่เป็นที่เข้าใจ ควรแสวงหาความรู้แจ้งจากบรรดาพระผู้พิทักษ์คลังแห่งความรู้ ?เพื่อว่าพวกเขาจะอรรถาธิบายความหมายและคลี่คลายความลึกลับของวจนะเหล่านี้ เพราะเป็นความไม่ถูกต้องที่มนุษย์จะตีความวจนะศักดิ์สิทธิ์ตามความเข้าใจที่บกพร่องของตน ?หรือปฏิเสธและไม่ยอมรับสัจธรรมของวจนะเมื่อพบว่าขัดกับสิ่งที่ตนต้องการและอยากจะให้เป็น เพราะปัจจุบันนี้คือท่าทีของบรรดานักบวชและบัณฑิตแห่งยุคนี้ ผู้ซึ่งครองที่นั่งแห่งวิชาความรู้ ?ให้ชื่อความเขลาว่าความรู้ และเรียกการกดขี่ว่าความยุติธรรม หากคนเหล่านี้ถามพระผู้เป็นแสงสว่างแห่งสัจธรรมเกี่ยวกับรูปจำลองที่ความเพ้อฝันอันเหลวไหลของตนคิดขึ้นมา และหากพวกเขาพบว่าคำตอบของพระองค์ไม่ตรงกับความคิดและความเข้าใจคัมภีร์ของตนเอง ?วางใจได้ว่าพวกเขาจะประณามพระผู้เป็นเหมืองและต้นกำเนิดน้ำพุแห่งความรู้ทั้งปวงว่า ไม่มีความเข้าใจ สิ่งดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในทุกยุค

ตัวอย่างเช่น ?เมื่อพระโมฮัมหมัด ?พระผู้เป็นนายแห่งชีวิต ?ถูกถามเกี่ยวกับดวงจันทร์ใหม่ ?พระองค์ทรงตอบตามที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาว่า?:? ดวงจันทร์ใหม่คือช่วงเวลาต่างๆ ที่กำหนดไว้ให้มนุษย์ ?(โกรอ่าน 2:189)? ครั้นแล้วพวกที่ได้ยินพระองค์ประณามพระองค์ว่าเป็นคนเขลา

ทำนองเดียวกันในวจนะท่อนที่เกี่ยวกับ ?พระวิญญาณ ??พระองค์ทรงกล่าวว่า?:? และพวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับพระวิญญาณ ?จงกล่าวว่า? พระวิญญาณไปตามบัญชาของพระผู้เป็นนายของเรา? ?(โกรอ่าน 17:85)? ทันใดที่พระโมฮัมหมัดให้คำตอบ ?พวกเขาคัดค้านเสียงดังว่า?:?ดูซิ!? คนเขลาที่ไม่รู้ว่าพระวิญญาณคืออะไร ?เรียกตนเองว่าเป็นพระผู้เปิดเผยความรู้สวรรค์! ??และบัดนี้จงมองดู ?บรรดานักบวชแห่งยุคนี้ได้ยอมจำนนต่อสัจธรรมของพระองค์อย่างตาบอด ?เพราะว่าได้รับเกียรติด้วยนามของพระองค์และพบว่าบิดาของตนยอมรับการเปิดเผยพระธรรมของพระองค์ ???จงสังเกตดู หากชนชาตินี้ในปัจจุบันได้รับคำตอบเช่นนี้สำหรับคำถามดังกล่าว พวกเขาจะปฏิเสธและประณามคำตอบเหล่านั้นอย่างไม่ลังเล ?ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขาจะเอ่ยคำหาเรื่องเดียวกันอีกครั้งดังที่พวกเขาเอ่ยในยุคนี้ ทั้งหมดเป็นเช่นนี้แม้ด้วยความจริงที่ว่า บรรดาพระผู้เป็นสาระแห่งชีวิตทรงความประเสริฐยิ่งเหนือรูปจำลองที่เพ้อฝัน ?และได้รับการสดุดีอย่างวัดไม่ได้เหนือคำพูดไร้สาระทั้งหมดเหล่านี้ และเหนือความเข้าใจของทุกหัวใจที่หยั่งรู้ สิ่งที่พวกเขาเรียกว่าวิชาเมื่อเปรียบกับความรู้นี้ คือความจอมปลอมทั้งสิ้น และความเข้าใจทั้งหมดของพวกเขาไม่ใช่อื่นใดนอกจากความหลงผิดที่โจ๋งครึ่ม ?ไม่เพียงเท่านั้น อะไรก็ตามที่มาจากเหมืองแห่งอัจฉริยภาพสวรรค์และคลังแห่งความรู้อนันต์เหล่านี้คือสัจธรรม และไม่ใช่อื่นใดนอกจากสัจธรรม คำพูดที่ว่า?:? ความรู้คือจุดเดียวซึ่งคนโง่เง่าทำให้ทวีจำนวน ?คือข้อพิสูจน์ของการอภิปรายเหตุผลของเรา ?และคำสอน?:? ความรู้คือแสงสว่างที่พระผู้เป็นเจ้าสาดมายังหัวใจของใครก็ตามที่พระองค์ประสงค์ ?คือข้อยืนยันคำกล่าวของเรา

เนื่องด้วยพวกเขาไม่เข้าใจความหมายของความรู้ ?และสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าความรู้คือรูปจำลองต่างๆที่ออกแบบโดยความเพ้อฝันของตนเอง ?ซึ่งผุดมาจากบรรดาผู้ที่เป็นร่างของความเขลา พวกเขาจึงทำร้ายพระผู้เป็นบ่อเกิดแห่งความรู้ดังที่เจ้าเห็นและได้ยินมา

ตัวอย่างเช่น ?ชายคนหนึ่ง?(ฮาจี มีร์ซา ?คาริม คาน)?ซึ่งมีชื่อเสียงด้านวิชาและความสำเร็จ ?และนับตัวเองว่าเป็นหนึ่งในบรรดาผู้นำที่เหนือชั้นของประชาชนของเขา ?ได้ว่าให้เสียและประณามผู้อรรถาธิบายวิชาที่แท้จริงทุกคน สิ่งนี้เป็นที่ชัดเจนเสียยิ่งกว่าชัดในคำพาดพิงและคำกล่าวที่ชัดแจ้งในหนังสือของเขาตลอดทั้งเล่ม ?เนื่องด้วยเราได้ยินเกี่ยวกับเขาอยู่บ่อยๆ เราตั้งใจจะอ่านงานเขียนของเขาบางส่วน แม้ว่าเราไม่เคยรู้สึกอยากอ่านข้อเขียนของคนอื่น กระนั้นเนื่องด้วยบางคนถามเราเกี่ยวกับเขา ?เราจึงรู้สึกว่าจำเป็นที่จะอ้างอิงถึงหนังสือของเขา เพื่อว่าเราจะได้ตอบบรรดาผู้ที่ถามเราด้วยความรู้ความเข้าใจ อย่างไรก็ตามงานเขียนภาษาอาหรับของเขาหาไม่ได้ จนกระทั่งวันหนึ่งชายคนหนึ่งแจ้งให้เราทราบว่า ?บทประพันธ์หนึ่งของเขาที่ชื่อว่าเอร์ซาโดล อวาม?(การนำทางสำหรับคนเขลา)?มีอยู่ในเมืองนี้ ?จากชื่อหนังสือนี้เราได้กลิ่นของความถือดีและความทะนง ?เนื่องด้วยเขานึกว่าตัวเองเป็นผู้รู้และถือว่าประชาชนที่เหลือโง่เขลา ?ที่จริงแล้วค่าของเขาเป็นที่รู้ได้จากชื่อที่เขาตั้งให้กับหนังสือของตน ?เป็นที่ประจักษ์ว่าผู้ประพันธ์กำลังไปตามหนทางแห่งอัตตาและกิเลส และหลงทางอยู่ในที่รกร้างแห่งความโง่เขลาเบาปัญญา ?เราคิดว่าเขาได้ลืมคำสอนที่รู้จักกันดีที่ว่า?:? ความรู้คือทั้งหมดที่รู้ได้ ?และอำนาจและอานุภาพคือสรรพโลก ?แม้กระนั้นเราก็ขอหนังสือเล่มนี้มาและเก็บไว้สามสี่วัน ?ซึ่งได้อ้างอิงถึงราวสองครั้ง ครั้งที่สองเราพบเรื่องราวของ ?มิราจ ?(การขึ้น)?ของพระโมฮัมหมัดโดยบังเอิญ ?ซึ่งมีการพูดถึงพระองค์ว่า ?หากไม่ใช่เพราะเจ้า ?เราย่อมไม่สร้างนภาทั้งหลาย ?เราสังเกตเห็นว่า เขาได้แจกแจงศาสตร์ราวยี่สิบสาขาหรือมากกว่านั้น ?ซึ่งความรู้เกี่ยวกับศาสตร์เหล่านี้เขาถือว่าจำเป็นต่อการเข้าใจความลึกลับของ ?มีราจ ?เราจับความจากคำกล่าวของเขาได้ว่า ?นอกจากว่ามนุษย์จะมีความรู้ลึกซึ้งในศาสตร์ทั้งหมดนี้ เขาจะไม่มีทางเข้าถึงใจความที่ประเสริฐและเหนือธรรมดานี้ด้วยความเข้าใจที่เหมาะสม ?ศาสตร์จำนวนหนึ่งที่ระบุไว้คือ อภิปรัชญา การเล่นแร่แปรธาตุและเวทมนตร์ วิชาที่ไร้สาระและเลิกกันไปแล้วเหล่านี้ ชายผู้นี้ถือว่าเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการเข้าใจความลึกลับที่ศักดิ์สิทธิ์และยืนยงของความรู้สวรรค์

พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกรุณา!? ดังกล่าวนี้คือระดับความเข้าใจของเขา ?และถึงกระนั้นจงมองดูว่า เขาหาเรื่องและให้ร้ายพระผู้เป็นพรหมกายของความรู้ที่ไม่มีสิ้นสุดของพระผู้เป็นเจ้าอย่างไร!? คำพูดนี้เข้าท่าและเป็นจริงเช่นไร?:? เจ้าสาดคำให้ร้ายใส่พระพักตร์ของพระผู้ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงองค์เดียวได้ทำให้เป็นผู้พิทักษ์ทรัพย์สมบัติของนภาที่เจ็ดของพระองค์หรือ? ??ไม่มีหัวใจหรือปัญญาที่หยั่งรู้ ไม่มีใครในหมู่ผู้ชาญฉลาดและผู้รู้ ให้ความสนใจคำกล่าวที่เสียสติเหล่านี้ และกระนั้นเป็นที่ชัดเจนและประจักษ์เพียงไรสำหรับหัวใจที่หยั่งรู้ว่า ?สิ่งที่เรียกว่าวิชานี้ถูกปฏิเสธเสมอมาโดยพระผู้เป็นพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงองค์เดียว ความรู้เกี่ยวกับศาสตร์เหล่านี้ซึ่งเป็นที่ดูหมิ่นในสายตาของผู้รู้อย่างแท้จริง จะถือได้ว่าจำเป็นต่อการเข้าใจความลึกลับของ ?มีราจ ?ได้อย่างไร ?ในขณะที่พระผู้เป็นนายของ ?มีราจ ?เองไม่เคยให้อักษรเดียวของวิชาที่จำกัดและเข้าใจยากเหล่านี้มาทำให้หนักสมอง และไม่เคยทำให้หัวใจที่ผ่องใสของตนมีมลทินด้วยความหลงสติเช่นนี้ ?เป็นความจริงเช่นไรที่เขากล่าวว่า?:? ความสำเร็จทั้งหมดของมนุษย์เคลื่อนไหวบนลาที่ขาพิการ ?ขณะที่สัจธรรมลอยไปกับสายลมข้ามอวกาศไปอย่างรวดเร็ว ?ความชอบธรรมของพระผู้เป็นเจ้าเป็นพยาน!? ใครก็ตามที่ปรารถนาจะหยั่งความลึกลับของ ?มีราจ ?นี้ ?และอยากน้ำหยดเดียวจากมหาสมุทรนี้ หากกระจกแห่งหัวใจของเขาถูกบดบังด้วยธุลีแห่งวิชาเหล่านี้ ?เขาจะต้องชำระหัวใจให้บริสุทธิ์ก่อนที่แสงสว่างแห่งความลึกลับนี้จะสะท้อนอยู่ในนั้นได้

ในยุคนี้บรรดาผู้ที่ดำดิ่งอยู่ใต้มหาสมุทรแห่งความรู้บรมโบราณ ?และอาศัยอยู่ในเรือแห่งอัจฉริยภาพสวรรค์ ห้ามประชาชนไม่ให้แสวงหาวิชาที่เหลวไหลเหล่านี้ ?ขอความสรรเสริญจงมีแด่พระผู้เป็นเจ้า อกที่เรืองรองของพวกเขาบริสุทธิ์พ้นจากทุกร่องรอยของวิชาดังกล่าว ?และประเสริฐเหนือม่านที่ร้ายกาจดังกล่าว เราได้เผาผลาญม่านที่ทึบที่สุดนี้ด้วยไฟแห่งความรักของพระผู้เป็นที่รักยิ่ง ?ซึ่งเป็นม่านที่ถูกกล่าวถึงในคำพูด?:? ม่านที่ร้ายกาจที่สุดคือม่านแห่งความรู้ ??เราได้ก่อวิหารแห่งความรู้สวรรค์ขึ้นมาบนเถ้าถ่านของม่านนี้ ?ขอความสรรเสริญจงมีแด่พระผู้เป็นเจ้า เราได้เผา ?ม่านแห่งความรุ่งโรจน์ ?ด้วยไฟแห่งความงามของพระผู้เป็นที่รักยิ่ง ?เราได้ขับทุกสิ่งออกไปจากหัวใจของมนุษย์นอกจากพระผู้เป็นยอดปรารถนาและความรุ่งโรจน์ของโลก เราไม่ยึดติดกับความรู้ใดนอกจากความรู้ของพระองค์ ?และไม่มุ่งหัวใจไปหาสิ่งใดนอกจากความรุ่งโรจน์โชติช่วงของแสงสว่างของพระองค์

เราประหลาดใจยิ่งนักเมื่อสังเกตเห็นว่า ?จุดประสงค์เดียวของเขาคือเพื่อจะทำให้ประชาชนตระหนักว่า ?วิชาทั้งหมดเหล่านี้อยู่ในครอบครองของเขา และกระนั้นเราขอสาบาญต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า ?ไม่มีแม้ลมหายใจเดียวที่พัดมาจากทุ่งหญ้าแห่งความรู้สวรรค์ เคยโชยมายังวิญญาณของเขา หรือเขาจะเคยคลี่คลายความลึกลับเดียวของอัจฉริยภาพบรมโบราณก็หาไม่ ?ไม่เพียงเท่านั้น หากอรรถาธิบายความหมายของความรู้ให้เขาฟัง เขาจะยุ่งใจไปหมด และทั้งชีวิตของเขาจะสั่นไปถึงรากฐาน แม้ว่าคำกล่าวของเขาจะต่ำและไร้สติ ?จงมองดูว่า คำกล่าวอ้างที่เลอเลิศของเขาเลยเถิดไปถึงไหน!

พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกรุณา!? เราประหลาดใจยิ่งเพียงไหนต่อการที่ประชาชนมาชุมนุมอยู่รอบๆ เขา ?และแสดงความภักดีต่อเขา!? ด้วยพึงพอใจกับธุลีชั่วแล่น ?ประชาชนเหล่านี้ได้หันหน้าไปหาธุลีนั้น ?และโยนพระผู้ทรงเป็นพระผู้เป็นนายของนายทั้งหลายไปข้างหลัง ?ด้วยพอใจกับเสียงร้องและหลงใหลในใบหน้าของอีกา พวกเขาได้สละทำนองเพลงของนกไนติงเกลและเสน่ห์ของดอกกุหลาบ ?การอ่านหนังสือที่อวดอ้างนี้อย่างถี่ถ้วนได้เปิดเผยให้เห็นความนึกคิดที่หลงผิดสุดจะพรรณนาเช่นไร!? ความนึกคิดที่หลงผิดเหล่านี้ไม่คู่ควรสำหรับปากกาใดที่จะพรรณนา ?และต่ำเกินกว่าที่จะให้ความสนใจแม้ชั่วขณะ อย่างไรก็ตามหากพบเกณฑ์ในการวินิจฉัย ?เกณฑ์นี้จะแยกสัจธรรมจากความจอมปลอม แยกแสงสว่างจากความมืด และแยกดวงอาทิตย์จากเงาได้ทันที

หนึ่งในศาสตร์ทั้งหลายที่ผู้อวดอ้างนี้นำมาอวดคือการเล่นแร่แปรธาตุ ?เรายังหวังว่ากษัตริย์หรือผู้ที่มีอานุภาพเหนือชั้น จะขอให้เขาแปรศาสตร์นี้จากความเพ้อฝันให้เป็นความจริง ?จากการอวดอ้างให้เป็นความสำเร็จที่แท้จริง ขอให้คนรับใช้ที่ต่ำต้อยและไม่ได้เรียนวิชาผู้นี้ ซึ่งไม่เคยอวดอ้างสิ่งดังกล่าวหรือถือว่าสิ่งเหล่านี้คือเกณฑ์ของความรู้ที่แท้จริง ?รับงานนี้ เพื่อว่าสัจธรรมจะเป็นที่รู้และแยกได้จากความจอมปลอม แต่จะมีประโยชน์อะไร!? ทั้งหมดที่ประชาชนรุ่นนี้ให้เราได้คือบาดแผลจากลูกดอก ?และถ้วยที่พวกเขายื่นให้ริมฝีปากของเราก็มีแต่ถ้วยยาพิษ ?เรายังมีแผลเป็นจากโซ่บนคอของเรา และร่างกายของเรายังมีรอยต่างๆ ที่เป็นหลักฐานของความทารุณอย่างไม่ผ่อนปรน

และเกี่ยวกับความสำเร็จของชายผู้นี้ ?ความเขลา ความเข้าใจและความเชื่อของเขา ?จงมองดูว่าคัมภีร์ที่ครอบคลุมทุกสิ่งได้เปิดเผยไว้ว่าอย่างไร?:? แท้จริงแล้วต้นไม้ซัคกุม?(ต้นไม้นรก)?จะเป็นอาหารสำหรับอาสิม?(คนบาปหรือบาป) ? (โกรอ่าน 44:43-44)? และมีวจนะตามมาอีกบางท่อนจนกระทั่งพระองค์กล่าวว่า?:? จงชิมสิ่งนี้ ?เพราะตัวเจ้านั้นคือคาริม?(มีเกียรติ)?ที่ยิ่งใหญ่ ?(โกรอ่าน 44:49)? จงพิจารณาดูว่าเขาถูกพรรณนาไว้อย่างชัดเจนและชัดแจ้งเพียงไรในคัมภีร์ที่ไม่มีเสื่อมของพระผู้เป็นเจ้า!? ยิ่งไปกว่านั้นชายผู้นี้ยังแสร้งเป็นถ่อมตัวแล้วกล่าวถึงตนเองในหนังสือของตนว่าเป็น ?คนรับใช้อาสิม ?:? อาสิม ?ในคัมภีร์ของพระผู้เป็นเจ้ายิ่งใหญ่ในหมู่สามัญชน ?คาริมยิ่งใหญ่ที่ชื่อ!

จงไตร่ตรองดูวจนะท่อนที่วิสุทธิ์นี้ ?เพื่อว่าความหมายของวจนะ ?ไม่มีสิ่งใดสีเขียวหรือเหี่ยวเฉา ?แต่ก็เป็นที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ที่ไม่มีผิดพลาด ?(โกรอ่าน 6:59)?จะประทับอยู่บนจารึกแห่งหัวใจของเจ้า ?แม้กระนั้นผู้คนมากมายก็แสดงความภักดีต่อเขา ?พวกเขาปฏิเสธพระโมเสสแห่งความรู้และความยุติธรรม ?และยึดถือซามิริ?(นักเวทย์มนต์ในสมัยของพระโมเสส)?แห่งความเขลา ?พวกเขาหันสายตาไปจากดวงตะวันแห่งสัจธรรมที่ส่องแสงบนนภาสวรรค์ที่เป็นนิรันดร์ ?และไม่ใส่ใจความอำไพของดวงตะวันนี้เลย

ดูกร ?ภราดรของเรา!? เหมืองสวรรค์เท่านั้นที่สามารถให้มณีแห่งความรู้สวรรค์ ?สุคนธรสของดอกไม้ลี้ลับสูดได้จากอุทยานในอุมคติเท่านั้น และดอกลิลลี่แห่งอัจฉริยภาพบรมโบราณไม่สามารถบานที่ใดได้เว้นแต่ในนครแห่งหัวใจที่ไม่แปดเปื้อน ??ในดินที่อุดม พืชงอกขึ้นมาอย่างล้นเหลือโดยการอนุญาตของพระผู้เป็นเจ้า และในดินที่ไม่ดี พืชแทบจะไม่งอก ?(โกรอ่าน 7:57)

เนื่องด้วยเป็นที่แสดงไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า ?เฉพาะผู้ที่เข้ามาถึงความลึกลับของอัจฉริยภาพสวรรค์เท่านั้น ?ที่สามารถเข้าใจทำนองเพลงที่ขับขานโดยวิหคแห่งสวรรค์ ดังนั้นเป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะแสวงหาความรู้แจ้งจากผู้ที่หัวใจสว่างและพระผู้เป็นคลังแห่งความลึกลับสวรรค์ ?เกี่ยวกับความละเอียดซับซ้อนของศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าและคำพาดพิงที่เข้าใจยาก ที่อยู่ในวาทะของพระผู้เป็นอรุโณทัยแห่งความวิสุทธิ์ ดังนี้ความลึกลักเหล่านี้จะถูกคลี่คลาย ?ไม่ใช่โดยวิชาที่เรียนมา แต่โดยความช่วยเหลือของพระผู้เป็นเจ้าและการหลั่งกรุณาธิคุณของพระองค์เท่านั้น ?ดังนั้นจงถามจากบรรดาผู้ที่มีคัมภีร์ต่างๆ อยู่ในอารักขา หากเจ้าไม่รู้ ?(โกรอ่าน 16:43)

ดูกร ?ภราดรของเรา ?แต่เมื่อผู้แสวงหาที่แท้จริงมุ่งมั่นที่จะก้าวไปบนหนทางแห่งการค้นหาที่นำไปสู่ความรู้ของพระผู้ดำรงอยู่ก่อนยุคสมัย ?ก่อนอื่นใดเขาต้องชำระหัวใจของตนซึ่งเป็นที่เปิดเผยความลึกลับที่ซ่อนเร้นของพระผู้เป็นเจ้า ให้บริสุทธิ์ปลอดจากธุลีแห่งวิชาที่เรียนมาทั้งหมดที่มาบดบัง ?และคำพาดพิงต่างๆ ของพวกที่เป็นร่างของความเพ้อฝันอันชั่วร้าย เขาต้องชำระอกของเขาซึ่งเป็นที่คุ้มภัยของความรักที่ยั่งยืนของพระผู้เป็นที่รักยิ่ง ให้ปลอดจากมลทินทุกอย่าง ?และทำให้วิญญาณของตนวิสุทธิ์ปลอดจากทุกสิ่งที่เกี่ยวพันกับน้ำและดิน ปลอดจากการยึดติดกับสิ่งที่ไม่จิรังยั่งยืนทั้งปวง เขาต้องชำระหัวใจของตนจนไม่เหลือเศษของความรักหรือความเกลียดชัง ?เพื่อมิให้ความรักพาให้เขาหลงผิดอย่างตาบอด หรือความเกลียดชังผลักเขาออกจากสัจธรรม ดังที่เจ้าเป็นพยานในยุคนี้ว่า เพราะความรักและความเกลียดชังดังกล่าว ประชาชนส่วนใหญ่ถูกพรากจากพระพักตร์อมตะ ?และหลงไกลไปจากพระผู้เป็นพรหมกายของความลึกลับสวรรค์อย่างไร และด้วยไม่มีใครนำทางให้ จึงเร่ร่อนไปในที่รกร้างแห่งการลืมตัวและหลงผิด ผู้แสวงหาดังกล่าวต้องวางใจในพระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ต้องละวางจากประชาชนทั้งหลายของโลก ?ปล่อยวางจากโลกแห่งธุลี และยึดถือพระผู้ทรงเป็นพระผู้เป็นนายของนายทั้งหลาย เขาต้องไม่พยายามยกตัวเองเหนือผู้ใด ต้องล้างทุกร่องรอยของความทะนงและความถือดีออกจากจารึกของหัวใจ ต้องยึดเหนี่ยวความอดทนและยอมจำนน สงบเงียบ และละเว้นจากการพูดเหลวไหล? เพราะลิ้นคือไฟที่คุกรุ่น ?และการพูดเกินควรคือพิษที่ถึงตาย ?ไฟนั้นเผาผลาญร่างกาย แต่ไฟของลิ้นกลืนกินทั้งหัวใจและวิญญาณ ?พลังของไฟแรกคงอยู่เพียงเวลาหนึ่ง แต่ผลจากไฟของลิ้นคงอยู่เป็นศตวรรษ

ผู้แสวงหานั้นควรถือว่าการนินทาคือความหลงผิดอย่างร้ายแรง ?และออกมาให้ห่างจากอาณาจักรของการนินทา? เนื่องด้วยการนินทาดับแสงสว่างของหัวใจและดับชีวิตของวิญญาณ? เขาควรมักน้อยและเป็นอิสระจากความต้องการที่เกินควร ?เขาควรถนอมมิตรภาพกับผู้ที่ละวางจากโลก และถือว่าการหลีกเลี่ยงโลกียชนที่คุยโตคือประโยชน์ที่ล้ำค่า ?ทุกรุ่งอรุณเขาควรสนทนากับพระผู้เป็นเจ้า และพากเพียรในการแสวงหาพระผู้เป็นที่รักยิ่งด้วยวิญญาณทั้งหมดของเขา ?เขาควรเผาผลาญทุกความคิดที่หลงผิดด้วยเปลวไฟแห่งการกล่าวถึงพระองค์ด้วยความรัก และผ่านเลยทุกสิ่งไปนอกจากพระองค์ด้วยความรวดเร็วของสายฟ้า ?เขาควรช่วยเหลือผู้ที่สิ้นเนื้อประดาตัว และไม่ใจจืดต่อผู้ที่ขัดสน เขาควรแสดงความเมตตาต่อสัตว์ และยิ่งต้องแสดงความเมตตามากกว่าเพียงไหนต่อเพื่อนมนุษย์และผู้ที่ได้รับการประสาทด้วยวาจา ?เขาไม่ควรลังเลที่จะสละชีวิตเพื่อพระผู้เป็นที่รักยิ่งของเขา หรือยอมให้คำตำหนิของประชาชนมาทำให้ตนหันหนีไปจากพระผู้เป็นสัจธรรม เขาไม่ควรปรารถนาให้ผู้อื่นในสิ่งที่เขาไม่ปรารถนาให้กับตนเอง ?หรือสัญญาสิ่งที่ตนทำไม่ได้ ด้วยหัวใจทั้งหมดเขาควรหลีกเลี่ยงมิตรภาพกับบรรดาผู้กระทำความชั่วร้าย และอธิษฐานเพื่อการไถ่บาปของพวกเขา เขาควรให้อภัยคนบาป และไม่รังเกียจสภาพที่ต่ำของเขา เพราะไม่มีใครรู้ว่าจุดจบของตนจะเป็นอย่างไร ?บ่อยแค่ไหนที่คนบาปเข้าถึงสาระแห่งความศรัทธา ณ ชั่วโมงแห่งความตาย และโดยการดื่มน้ำอมตะได้บินขึ้นไปสู่ลานสวรรค์ และบ่อยแค่ไหนที่ศาสนิกชนที่เชื่อมั่นศรัทธา ณ ชั่วโมงที่วิญญาณของตนแยกจากร่าง กลับเปลี่ยนไปจนตกลงไปในไฟนรก จุดประสงค์ของเราในการเปิดเผยวาทะที่ให้ความมั่นใจและมีน้ำหนักเหล่านี้คือ ?เพื่อจะให้ผู้แสวงหาตระหนักว่า เขาควรถือว่าทุกสิ่งนอกจากพระผู้เป็นเจ้านั้นไม่จิรัง และนับทุกสิ่งนอกจากพระองค์ พระผู้เป็นจุดหมายแห่งการบูชาทั้งปวงว่าเป็นศูนยภาพโดยสิ้นเชิง

เหล่านี้คือส่วนหนึ่งของคุณลักษณะของผู้ประเสริฐ ?และเป็นเครื่องหมายของผู้มีธรรมในจิตใจ คุณลักษณะเหล่านี้ได้รับการกล่าวโยงมาที่เงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับผู้เดินทางที่ย่างเท้าบนหนทางแห่งความรู้ที่แน่แท้ ?เมื่อผู้เดินทางที่ปล่อยวางและผู้แสวงหาที่จริงใจ ทำได้ตามเงื่อนไขที่จำเป็นเหล่านี้ เมื่อนั้นและเมื่อนั้นเท่านั้นจึงจะเรียกได้ว่าเขาคือผู้แสวงหาที่แท้จริง ?เมื่อใดก็ตามที่เขาทำได้ตามเงื่อนไขที่แสดงนัยไว้ในวจนะ?:? ใครก็ตามที่พยายามเพื่อเรา ?(โกรอ่าน 16:43)? เขาจะได้พระพรที่ประทานมาโดยวจนะ?:? วางใจได้ว่าเราจะนำทางให้เขาในหนทางของเรา ?(โกรอ่าน 16:43)

ต่อเมื่อตะเกียงแห่งการค้นหา ?ความพยายามอย่างจริงจัง ความปรารถนายิ่ง ?ความอุทิศอย่างแรงกล้า ความรักอย่างคลั่งไคล้ ?ความหรรษาและความสุขล้น ถูกจุดในหัวใจของผู้แสวงหา ?และสายลมแห่งความเมตตารักใคร่ของพระองค์โชยมายังวิญญาณของเขา ?อันธการแห่งความผิดพลาดจึงจะถูกปัดเป่า หมอกแห่งความสงสัยเคลือบแคลงใจจึงจะถูกสลายไป ?และแสงสว่างแห่งความรู้และความมั่นใจจึงจะอาบชีวิตของเขา ณ ชั่วโมงนี้พระผู้นำข่าวลี้ลับที่นำข่าวดีของพระวิญญาณ ?จะส่องแสงอำไพมาจากนครของพระผู้เป็นเจ้าประดุจยามเช้า และจะปลุกหัวใจ วิญญาณและจิตให้ตื่นจากความหลับใหลอย่างไม่ใส่ใจโดยเสียงแตรแห่งความรู้ ?เมื่อนั้นพระพรอเนกอนันต์และกรุณาธิคุณที่หลั่งมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์นิรันดร์ จะประทานชีวิตใหม่ให้แก่ผู้แสวงหา จนเขาพบว่าตนได้รับการประสาทด้วยดวงตาใหม่ ?หูใหม่ หัวใจใหม่ และปัญญาใหม่ เขาจะตรองดูสัญลักษณ์ต่างๆ ที่เห็นชัดของจักรวาล และค้นพบความลึกลับที่ซ่อนเร้นของวิญญาณ เมื่อพิศดูด้วยดวงตาของพระผู้เป็นเจ้า ?เขาจะเห็นว่าภายในทุกอะตอมมีประตูไปสู่สถานะแห่งความมั่นใจที่ไพบูลย์ เขาจะค้นพบว่าในทุกสิ่งมีความลึกลับของการเปิดเผยพระธรรมสวรรค์และหลักฐานต่างๆ ของการปรากฏองค์ชั่วนิรันดร์

เราขอสาบาญต่อพระผู้เป็นเจ้า!? หากเขาย่างเท้าบนหนทางแห่งการนำทางและพยายามปีนยอดแห่งความชอบธรรม ?เพื่อจะไปให้ถึงสถานะที่รุ่งโรจน์และสูงสุดนี้ เขาจะได้สูดสุคนธรสของพระผู้เป็นเจ้าจากระยะทางหนึ่งพันหลีก ?และจะเห็นยามเช้าอำไพแห่งการนำทางสวรรค์รุ่งขึ้นมาบนอรุโณทัยของทุกสิ่ง ทุกสิ่งไม่ว่าจะเล็กเพียงไร จะเป็นการเปิดเผยที่นำเขาไปสู่พระผู้เป็นที่รักยิ่ง ?พระผู้เป็นจุดหมายแห่งการแสวงหาของเขา ผู้แสวงหานี้จะหยั่งเห็นชัดถึงขนาดที่เขาจะแยกแยะสัจธรรมและความจอมปลอม ดังที่เขาเห็นความแตกต่างระหว่างดวงอาทิตย์กับเงา ?หากสุคนธรสของพระผู้เป็นเจ้าโชยมายังสุดมุมโลกตะวันออก วางใจได้ว่าเขาจะจำกลิ่นได้และสูดสุคนธรสนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะอาศัยอยู่สุดโลกตะวันตก ทำนองเดียวกันเขาจะแยกสัญลักษณ์ทั้งหมดของพระผู้เป็นเจ้า ?กล่าวคือ วาทะที่น่าพิศวง ผลงานและการกระทำที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ ได้อย่างชัดเจนจากการกระทำ ถ้อยคำและหนทางของมนุษย์ ดังที่นักอัญมณีแยกมณีจากกรวด หรือมนุษย์แยกฤดูใบไม้ผลิจากฤดูใบไม้ร่วง แยกความร้อนจากความเย็น? เมื่อเส้นทางวิญญาณของมนุษย์ได้รับการชำระจนหมดความผูกพันทางโลกที่ขวางกั้น ?วางใจได้ว่าวิญญาณนั้นจะสัมผัสรู้ลมหายใจของพระผู้เป็นที่รักยิ่งตลอดระยะทางที่วัดไม่ได้ ?และจะไปถึงนครแห่งความมั่นใจและเข้าไปในนั้น โดยการนำไปของสุคนธรสของลมหายใจดังกล่าว ในนครนี้เขาจะมองเห็นความมหัศจรรย์ของอัจฉริยภาพบรมโบราณของพระองค์ ?และจะสังเกตเห็นคำสอนที่ซ่อนเร้นทั้งหมดจากเสียงใบไม้ของพฤกษาที่เจริญงอกงามในนครนี้ ด้วยหูของกายและใจเขาจะได้ยินเสียงเพลงสดุดีแห่งความรุ่งโรจน์และการสรรเสริญจากธุลีของนครนี้ ?ดังขึ้นไปถึงพระผู้เป็นนายของนายทั้งหลาย และด้วยดวงตาของจิตเขาจะค้นพบความลึกลับทั้งหลายของ ?การกลับมา ?และ ?การฟื้นชีวิต ?เครื่องหมาย สัญลักษณ์ การเปิดเผยและความอำไพ ที่พระผู้เป็นกษัตริย์แห่งนามและคุณลักษณะทั้งหลายทรงลิขิตไว้สำหรับนครนี้ ?รุ่งโรจน์สุดจะพรรณนาเพียงไร!? การมาถึงนครนี้ดับกระหายโดยไม่ใช้น้ำ ?จุดความรักของพระผู้เป็นเจ้าโดยไม่ใช้ไฟ ?ภายในหญ้าทุกใบมีความลึกลับแห่งอัจฉริยภาพที่ไม่อาจหยั่งรู้ ?และนกไนติงเกลมากมายขับขานทำนองเพลงลงมาบนดอกกุหลาบทุกพุ่มด้วยความสุขหรรษา ?ดอกทิวลิปของนครนี้คลี่คลายความลึกลับของไฟที่ไม่รู้ดับในพุ่มไม้ลุกไหม้ และสุคนธรสแห่งความวิสุทธิ์ของนครนี้โชยกลิ่นหอมของพระวิญญาณของพระเมไซยะ ?นครนี้ประทานความมั่งคั่งที่ปราศจากทอง ประสาทความเป็นอมตะที่ปราศจากความตาย ในใบไม้ทุกใบมีความปีติสุดจะพรรณนาถนอมไว้ และภายในทุกห้องมีความลึกลับที่นับไม่ถ้วนซ่อนเร้นอยู่

บรรดาผู้ที่ตรากตราอย่างหาญกล้าในการแสวงหาพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ?เมื่อครั้งหนึ่งได้ละวางจากทุกสิ่งนอกจากพระองค์ จะปล่อยวางและสมานกับนครนี้ ?จนการพรากจากนครนี้แม้ขณะเดียวเป็นเรื่องสุดจะนึกคิดสำหรับพวกเขา พวกเขาจะเงี่ยฟังข้อพิสูจน์ที่ไม่มีผิดพลาดจากไม้ดอกของที่ชุมนุมนั้น ?จะรับข้อยืนยันที่แน่นอนที่สุดจากความงามของดอกกุหลาบและทำนองเพลงของนกไนติงเกลในนครนี้ นครนี้จะได้รับการฟื้นฟูและประดับประดาใหม่ราวทุกหนึ่งพันปี

ดูกร ?สหายของเรา ?ดังนั้นเป็นความถูกต้องที่เราจะออกแรงพยายามเต็มที่ ?เพื่อไปให้ถึงนครนี้ และฉีก ?ม่านแห่งความรุ่งโรจน์ ?ให้ขาดสะบั้นโดยกรุณาธิคุณของพระผู้เป็นเจ้าและความเมตตารักใคร่ของพระองค์ ?เพื่อว่าด้วยความแน่วแน่ที่ไม่แปรเปลี่ยน เราจะเสียสละวิญญาณที่อิดโรยของเราในหนทางของพระผู้เป็นที่รักยิ่งองค์ใหม่ เราควรวิงวอนพระองค์อย่างแรงกล้าด้วยน้ำตาซ้ำแล้วซ้ำอีก ?ขอทรงโปรดเราด้วยกรุณาธิคุณนี้? นครนี้ไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกจากพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าที่ถูกเปิดเผยในทุกยุคสมัยและทุกยุคศาสนา ?ในสมัยของพระโมเสสนครนี้คือเพนทาทุค? ในสมัยของพระเยซูคือกอสเปว? ในสมัยพระโมฮัมหมัดผู้เป็นธรรมทูตของพระผู้เป็นเจ้าคือคัมภีร์โกรอ่าน ?ในยุคนี้คือคัมภีร์บายัน และในยุคศาสนาของพระผู้ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าจะแสดงให้เห็นชัดคือคัมภีร์ของพระองค์เอง ?ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่คัมภีร์ทั้งหมดของยุคศาสนาก่อนๆ จะต้องใช้อ้างอิง เป็นคัมภีร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและอยู่เหนือคัมภีร์เหล่านั้น ?ในนครเหล่านี้มีสิ่งยังชีพสำหรับจิตวิญญาณจัดไว้ให้อย่างเหลือล้น มีความปีติที่ไม่มีเสื่อมลิขิตไว้ อาหารที่มีให้คือขนมปังแห่งสวรรค์ ?และพระวิญญาณที่สื่อมาคือพระพรที่ไม่รู้สิ้นของพระผู้เป็นเจ้า นครเหล่านี้มอบของขวัญแห่งเอกภาพให้แก่ดวงวิญญาณที่ปล่อยวาง เพิ่มพูนผู้ที่ขัดสน ?และยื่นถ้วยแห่งความรู้ให้แก่ผู้พเนจรในที่รกร้างแห่งความเขลา การนำทาง พระพร วิชา ความเข้าใจ ความศรัทธาและความมั่นใจทั้งหมด ที่ประทานให้แก่ทุกคนที่อยู่ในสวรรค์และบนโลก ?ถูกซ่อนและถนอมไว้ภายในนครเหล่านี้

ตัวอย่างเช่น ?คัมภีร์โกรอ่านคือที่มั่นมี่ล่วงล้ำไม่ได้สำหรับประชาชนของพระโมฮัมหมัด ?ในสมัยของพระองค์ใครก็ตามที่เข้ามาในที่มั่นนี้ จะได้รับการคุ้มกันจากการโจมตีที่โหดร้าย ?ลูกดอกที่คุกคาม ความสงสัยที่กลืนกินวิญญาณ และการกระซิบที่หมิ่นศาสนาของศัตรู เขายังได้รับส่วนแบ่งของผลไม้อนันต์ที่หอมหวานอีกด้วย ?ซึ่งเป็นผลไม้แห่งอัจฉริยภาพจากพฤกษาสวรรค์ ?เขาได้ดื่มน้ำที่ไม่มีเสื่อมคุณภาพจากชโลทรแห่งความรู้ ?และได้ชิมอมฤตแห่งความลึกลับของเอกภาพสวรรค์

ทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับประชาชนที่เกี่ยวโยงกับการเปิดเผยพระธรรมของพระโมฮัมหมัดและกฎของพระองค์ ?ถูกเปิดเผยและเห็นชัดในเรซวานแห่งความรุ่งโรจน์อำไพนี้ คัมภีร์นี้เป็นข้อยืนยันที่ยั่งยืนสำหรับประชาชนหลังจากพระโมฮัมหมัด ?เนื่องด้วยโองการของคัมภีร์นี้โต้แย้งไม่ได้ และคำสัญญาของคัมภีร์นี้เป็นที่วางใจได้ ทุกคนได้รับบัญชาให้ปฏิบัติตามศีลของคัมภีร์นี้จนกระทั่ง ?ปีหกสิบ ?(ปี ฮ.ศ.1260 คือปีที่พระบ๊อบประกาศพันธกิจ)?ซึ่งเป็นปีแห่งการเสด็จมาของพระศาสดาที่น่าพิศวงของพระผู้เป็นเจ้า ?คัมภีร์นี้คือคัมภีร์ที่นำทางผู้แสวงหาไปสู่เรซวานแห่งการปรากฏองค์ของพระผู้เป็นเจ้าอย่างวางใจได้ ?และดลผู้ที่ละทิ้งประเทศของตนและกำลังย่างเท้าบนหนทางของผู้แสวงหาให้เข้าไปในวิหารแห่งการกลับมาอยู่ร่วมกันชั่วนิรันดร์ ?การนำทางของคัมภีร์นี้ไม่มีทางผิดพลาด ข้อพิสูจน์ของคัมภีร์นี้ไม่มีข้อพิสูจน์อื่นเป็นเลิศกว่า คำสอนอื่นทั้งหมด หนังสือและบันทึกอื่นทั้งหมดไม่มีความเป็นเอกดังกล่าว ?เนื่องด้วยทั้งคำสอนเหล่านั้นและบรรดาผู้ที่สอนได้รับการยืนยันและพิสูจน์โดยเนื้อหาของคัมภีร์นี้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นคำสอนทั้งหลายเองนั้นต่างกันอย่างยิ่ง และมีสิ่งที่เข้าใจยากมากมายหลายอย่าง

เมื่อพันธกิจของพระโมฮัมหมัดใกล้จะสิ้นสุด ?พระองค์เองทรงกล่าววจนะเหล่านี้?:? แท้จริงแล้วเราให้ข้อยืนยันแฝดที่มีน้ำหนักไว้กับเจ้า?:?คัมภีร์ของพระผู้เป็นเจ้าและครอบครัวของเรา ??ถึงแม้ว่าคำสอนมากมายถูกเปิดเผยโดยบ่อเกิดแห่งความเป็นศาสนทูตและเหมืองแห่งการนำทางสวรรค์นี้ ?กระนั้นพระองค์ทรงกล่าวถึงคัมภีร์นี้เท่านั้น ซึ่งเป็นการกำหนดให้คัมภีร์นี้เป็นเครื่องมือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและข้อยืนยันที่แน่นอนที่สุดสำหรับผู้แสวงหา ?เป็นการนำทางสำหรับประชาชนจนกว่าจะถึงวันแห่งการฟื้นคืนชีพ

ด้วยการมองที่แน่วแน่ ?หัวใจที่บริสุทธิ์และวิญญาณที่วิสุทธิ์ ?จงตั้งใจพิจารณาสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าสถาปนาไว้ในคัมภีร์ให้เป็นข้อยืนยันการนำทางสำหรับประชาชนของพระองค์ ?ซึ่งทั้งคนชั้นสูงและคนต่ำยอมรับว่าเป็นของแท้ เราทั้งสองและประชาชนทั้งหมดของโลกต้องยึดถือข้อยืนยันนี้ เพื่อว่าโดยแสงสว่างของข้อยืนยันนี้ ?เราจะรู้และแยกสัจธรรมได้จากความจอมปลอม แยกการนำทางจากความหลงผิด เนื่องด้วยพระโมฮัมหมัดได้จำกัดข้อยืนยันของพระองค์ไว้ที่คัมภีร์และครอบครัวของพระองค์ ?และครอบครัวของพระองค์ล่วงลับไปแล้ว จึงเหลือแต่คัมภีร์ของพระองค์เท่านั้นที่เป็นข้อยืนยันเดียวในหมู่ประชาชน

ในตอนเริ่มต้นของคัมภีร์พระองค์ทรงกล่าวว่า ?อเลฟ ?ลัม มิม ไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับคัมภีร์นี้?:?คัมภีร์นี้คือการนำทางสำหรับผู้ที่เกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า ?(โกรอ่าน 2:1)? ในอักษรต่างๆ ที่แยกจากกันในคัมภีร์โกรอ่าน ?มีความลึกลับของสาระของพระผู้เป็นเจ้าเทิดทูนไว้ ?และภายในเปลือกหอยของอักษรเหล่านี้มีไข่มุกแห่งเอกภาพของพระองค์ถนอมอยู่ ?เราไม่ขอพูดเรื่องนี้เพราะไม่มีเนื้อที่ อักษรเหล่านี้ดูเหมือนจะหมายถึงพระโมฮัมหมัดเอง ?ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงกล่าวต่อพระองค์ว่า?:? ดูกร ?โมฮัมหมัด ?ไม่มีข้อสงสัยหรือความไม่แน่นอนเกี่ยวกับคัมภีร์นี้ที่ถูกส่งลงมาจากนภาแห่งเอกภาพสวรรค์ ?ในคัมภีร์นี้มีการนำทางสำหรับผู้ที่เกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า ?จงพิจารณาดูว่า พระองค์ทรงกำหนดและมีโองการให้คัมภีร์เดียวกันนี้ ?นั่นคือคัมภีร์โกรอ่าน เป็นการนำทางสำหรับทุกคนที่อยู่ในสวรรค์และบนโลกอย่างไร พระองค์ พระผู้มีสภาวะเป็นเจ้าและเป็นสาระที่ไม่อาจรู้ ?ให้การยืนยันอย่างไม่มีข้อสงสัยหรือความไม่แน่นอนว่า คัมภีร์นี้คือการนำทางสำหรับมวลมนุษยชาติจนกว่าจะถึงวันแห่งการฟื้นคืนชีพ และบัดนี้เราขอถามว่า ?เป็นธรรมหรือไม่ที่ชนชาตินี้จะมองข้อยืนยันที่มีน้ำหนักที่สุดนี้ด้วยความสงสัยเคลือบแคลงใจ ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าประกาศว่าจุดกำเนิดของข้อยืนยันนี้มาจากสวรรค์ ?และทรงประกาศให้เป็นที่บรรจุสัจธรรม ?เป็นธรรมหรือไม่ที่พวกเขาจะหันหนีไปจากสิ่งที่พระองค์กำหนดให้เป็นเครื่องมือนำทางที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับการไปถึงยอดสุดของความรู้ ?และแสวงหาสิ่งอื่นนอกจากคัมภีร์นี้ ?พวกเขายอมให้คำพูดที่เหลวไหลและโง่เง่าของมนุษย์มาหว่านเมล็ดแห่งความไม่ไว้วางใจในจิตใจของตนได้อย่างไร ?พวกเขายังคงโต้แย้งกันอย่างเหลวไหลได้อย่างไรว่า ?คนนั้นพูดแบบนี้หรือแบบนั้น หรือว่าบางสิ่งไม่ได้บังเกิดขึ้น ?นอกจากคัมภีร์นี้ของพระผู้เป็นเจ้า มีสิ่งอื่นใดที่เป็นไปได้หรือที่สามารถเป็นเครื่องมือที่ทรงอำนาจกว่า และเป็นการนำทางที่แน่นอนกว่าสำหรับมนุษยชาติ ?หากว่าพระองค์ไม่ได้เปิดเผยสิ่งนั้นไว้ในวจนะท่อนนี้

เป็นหน้าที่ของเราที่จะไม่หันเหไปจากบัญชาที่ต้านทานไม่ได้และโองการที่ตายตัวของพระผุ้เป็นเจ้า ?ที่เปิดเผยไว้ในวจนะท่อนที่กล่าวมาข้างบน เราควรยอมรับคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่น่าพิศวงทั้งหลาย เพราะหาไม่แล้วเท่ากับเราไม่ยอมรับสัจธรรมของวจนะที่วิสุทธิ์ท่อนนี้ ?เป็นที่ประจักษ์ว่าใครก็ตามที่ไม่ยอมรับสัจธรรมของคัมภีร์โกรอ่าน ในความเป็นจริงแล้วเท่ากับไม่ยอมรับสัจธรรมของคัมภีร์ทั้งหลายที่มาก่อน นี้เป็นเพียงนัยที่เห็นชัดของวจนะท่อนนี้ ?หากเราอรรถาธิบายความหมายและคลี่คลายความลึกลับที่ซ่อนเร้นของวจนะท่อนนี้ ตราบชั่วนิรันดร์ก็อธิบายไม่หมด และจักรวาลก็ไม่สามารถฟังคำอธิบายเหล่านี้ได้!? แท้จริงแล้วพระผู้เป็นเจ้าให้การยืนยันสัจธรรมของคำพูดของเรา!

ในอีกวรรคหนึ่งพระองค์ทรงกล่าวไว้ทำนองเดียวกันว่า?:? และหากเจ้าสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่เราส่งลงมาให้คนรับใช้ของเรา ?เช่นนั้นจงเขียนซูระห์ที่คล้ายกันขึ้นมา และเรียกพยานทั้งหลายของเจ้ามานอกจากพระผู้เป็นเจ้า ?หากเจ้าเป็นบุรุษแห่งสัจธรรม ?(โกรอ่าน 2:23)? จงมองดูว่าสถานะนี้สูงส่งเพียงใด ?และคุณของวจนะเหล่านี้สุดยอดเพียงไร ?เป็นคุณที่พระองค์ประกาศให้เป็นข้อยืนยันที่แน่นอนที่สุดของพระองค์ ?ข้อพิสูจน์ที่ไม่มีผิดพลาดของพระองค์ หลักฐานของอานุภาพกำราบทุกสิ่งของพระองค์ ?และการเปิดเผยอำนาจของพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ พระผู้เป็นกษัตริย์แห่งสวรรค์ ?ทรงประกาศความเป็นใหญ่ที่โต้แย้งไม่ได้ของวจนะของคัมภีร์ของพระองค์เหนือทุกสิ่งที่ให้การยืนยันสัจธรรมของพระองค์ ?เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับข้อพิสูจน์และสัญลักษณ์อื่นทั้งหมด วจนะที่เปิดเผยจากสวรรค์ส่องแสงเหมือนดวงอาทิตย์ ขณะที่สิ่งอื่นทั้งหมดเป็นเสมือนดวงดาว ?สำหรับประชาชนทั้งหลายของโลกวจนะเหล่านี้คือข้อยืนยันที่ยั่งยืน ข้อพิสูจน์ที่แย้งไม่ได้ แสงสว่างที่เรืองรองของกษัตริย์ในอุดมคติ ความเป็นเลิศและคุณของวจนะเหล่านี้ไม่มีสิ่งใดเหนือกว่า ?วจนะเหล่านี้คือคลังของไข่มุกสวรรค์และที่เก็บความลึกลับของพระผู้เป็นเจ้า วจนะเหล่านี้คือพันธะที่สลายออกไม่ได้ สายใยที่แน่นหนา?อูวาโทลโวสกา ?แสงสว่างที่ดับไม่ได้? โดยวจนะเหล่านี้ชโลทรแห่งความรู้สวรรค์หลั่งไหลและไฟแห่งอัจฉริยภาพสุดยอดบรมโบราณเรืองแสง ?นี้คือไฟที่จุดเปลวแห่งความรักในอกของผู้ที่ซื่อสัตย์ และในเวลาเดียวกันก็ก่อความเยือกเย็นแห่งความไม่เอาใจใส่ในหัวใจของศัตรู

ดูกร ?สหาย!? เป็นความถูกต้องที่เราจะไม่ทิ้งบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า ?แต่ควรยอมตามและยอมจำนนต่อสิ่งที่พระองค์บัญญัติไว้เป็นข้อยืนยันจากสวรรค์ของพระองค์ ?วจนะท่อนนี้คือวาทะที่มีน้ำหนักและเต็มเปี่ยมเกินกว่าดวงวิญญาณที่เดือดร้อนนี้จะสาธิตและอรรถาธิบาย ?พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสความจริงและทรงนำทาง แท้จริงแล้วพระองค์ทรงความยิ่งใหญ่ที่สุดเหนือประชาชนทั้งหมดของพระองค์ ?พระองค์คือพระผู้ทรงอำนาจ พระผู้ทรงให้คุณ

ทำนองเดียวกันพระองค์ทรงกล่าวไว้ว่า?:? ดังกล่าวคือวจนะของพระผู้เป็นเจ้า ?เราสวดวจนะท่อนเหล่านี้ให้เจ้าฟังด้วยสัจธรรม ?แต่พวกเขาจะเชื่อในการเปิดเผยใดหากพวกเขาปฏิเสธพระผู้เป็นเจ้าและวจนะทั้งหลายของพระองค์? ?(โกรอ่าน 45:5)? หากเจ้าจะทำความเข้าใจนัยของวจนะท่อนนี้ ?เจ้าจะยอมรับสัจธรรมที่ว่า ไม่เคยมีการปรากฏใดที่ยิ่งใหญ่กว่าการปรากฏของศาสนทูตทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้า ?และไม่มีข้อยืนยันใดเคยปรากฏบนพิภพ ที่ยิ่งใหญ่กว่าข้อยืนยันของวจนะที่พวกเขาเปิดเผย ไม่เพียงเท่านั้น ไม่มีข้อยืนยันใดเป็นเลิศกว่าข้อยืนยันนี้ ?ยกเว้นสิ่งที่พระผู้เป็นนาย พระผู้เป็นเจ้าของเจ้า มีพระประสงค์

ในอีกวรรคหนึ่งพระองค์ทรงกล่าวว่า?:? ความยุ่งยากบังเกิดกับคนบาปที่มดเท็จทุกคน ?ที่ได้ยินวจนะของพระผู้เป็นเจ้าสวดให้ตนฟัง แล้วยังคงหยิ่งทะนงราวกับว่าตนไม่ได้ยินวจนะเหล่านั้น!? จงบอกให้เขารู้การลงโทษที่เจ็บปวด ?(โกรอ่าน 45:6)? นัยของวจนะท่อนนี้โดยลำพังก็เพียงพอสำหรับทุกคนที่อยู่ในสวรรค์และบนโลก ?หากประชาชนไตร่ตรองวจนะต่างๆ ของพระผู้เป็นนายของตน เพราะเจ้าได้ยินแล้วว่า ?ในยุคนี้ประชาชนเพิกเฉยต่อวจนะที่เปิดเผยจากสวรรค์อย่างดูหมิ่นเช่นไร ราวกับว่าวจนะเหล่านี้เป็นสิ่งที่แย่ที่สุด ?และกระนั้นไม่เคยมีสิ่งใดที่ยิ่งใหญ่กว่าวจนะเหล่านี้มาปรากฏ หรือจะถูกแสดงให้เห็นชัดในโลก!? จงกล่าวต่อพวกเขาว่า?:? ดูกร ?ประชาชนที่ไม่เอาใจใส่!? เจ้าพูดซ้ำสิ่งที่บิดาของพวกเจ้าพูดในยุคก่อน ?ผลไม้ใดก็ตามที่พวกเขาเก็บมาจากต้นไม้แห่งความไม่ซื่อสัตย์ของพวกเขา ?พวกเจ้าจะได้เก็บสิ่งเดียวกัน ในไม่ช้าพวกเจ้าจะถูกเก็บไปรวมกับบิดาของพวกเจ้า ?และจะอาศัยอยู่ในไฟนรกกับพวกเขา ซึ่งเป็นที่พำนักที่เลวร้าย!? ที่พำนักของประชาชนที่วางอำนาจบาตรใหญ่

และกระนั้นในอีกวรรคหนึ่งพระองค์ทรงกล่าวว่า?:? และเมื่อเขาคุ้นเคยกับวจนะท่อนใดของเรา ?เขาทำให้วจนะเหล่านั้นเป็นสิ่งน่าขัน มีการลงโทษที่น่าอดสูสำหรับพวกเขา! ?(โกรอ่าน 45:8)? ประชาชนพวกนี้ให้ข้อสังเกตอย่างเยาะเย้ยว่า?:? เจ้าจงแสดงปาฏิหาริย์อีกอย่างหนึ่ง ?และให้อีกสัญลักษณ์หนึ่งแก่เรา! ??คนหนึ่งจะพูดว่า?:? จงทำให้นภาส่วนหนึ่งหล่นลงมาใส่เราเดี๋ยวนี้ ?(โกรอ่าน 26:187)? และอีกคนจะพูดว่า?:? หากนี้คือสัจธรรมที่มีมาก่อนเจ้า ?จงทำให้นภาหลั่งฝนเป็นก้อนหินลงมาใส่เรา ?(โกรอ่าน 8:32)? ดังเช่นชนชาติอิสราเอลในสมัยของพระโมเสสเอาขนมปังสวรรค์ไปแลกกับสิ่งโสมมทั้งหลายของโลก ?ทำนองเดียวกันประชาชนเหล่านี้พยายามแลกเปลี่ยนวจนะที่เปิดเผยจากสวรรค์กับความต้องการที่ชั่วร้าย ?ต่ำช้าและเหลวไหลของตน ทำนองเดียวกันเจ้ามองเห็นว่าในยุคนี้ แม้ว่าสิ่งยังชีพสำหรับจิตวิญญาณลงมาจากนภาแห่งความปรานีสวรรค์ ?และหลั่งมาจากก้อนเมฆแห่งความเมตตารักใคร่ของพระองค์ ?และแม้ว่าทะเลแห่งชีวิตกำลังสาดซัดภายในเรซวานของหัวใจตามบัญชาของพระผู้เป็นนายแห่งชีวิตทั้งปวง ?กระนั้นประชาชนเหล่านี้ซึ่งหิวโหยเยี่ยงสุนัข ก็มารุมล้อมซากสัตว์และพึงพอใจกับน้ำเกลือนิ่งในทะเลสาบ ?พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกรุณา!? หนทางของประชาชนพวกนี้ช่างพิลึกเพียงไร!? พวกเขาเรียกร้องขอการนำทาง ?แม้ว่าธงของพระผู้ทรงนำทางทุกสิ่งถูกสาวขึ้นแล้ว ?พวกเขายึดถือความรู้ที่ละเอียดซับซ้อนและเข้าใจยาก ?เมื่อพระผู้เป็นจุดหมายของความรู้ทั้งปวงส่องแสงประดุจดวงอาทิตย์ ?พวกเขาเห็นดวงอาทิตย์ด้วยตาของตนเอง และกระนั้นก็ยังตั้งคำถามกับสุริยาที่เจิดจ้านี้เกี่ยวกับข้อพิสูจน์ของแสงอาทิตย์ ?พวกเขามองเห็นฝนแห่งวสันตฤดูหลั่งลงมายังพวกเขา และกระนั้นก็ยังแสวงหาหลักฐานของความอารีนี้ ข้อพิสูจน์ของดวงอาทิตย์คือแสงอาทิตย์ที่ส่องมาอาบทุกสิ่ง ?หลักฐานของการหลั่งไหลของฝนคือความอารีของฝนนั้น ซึ่งฟื้นฟูและฉาบโลกด้วยชีวิต ใช่แล้ว คนตาบอดไม่สามารถรับรู้สิ่งใดจากดวงอาทิตย์เว้นแต่ความร้อน และดินที่แห้งแล้งไม่ได้ส่วนแบ่งของการหลั่งฝนแห่งความปรานี ??อย่าได้พิศวงหากในคัมภีร์โกรอ่าน ผู้ที่ไม่เชื่อไม่สังเกตเห็นสิ่งใดนอกจากการขีดเขียนตัวอักษร เพราะในดวงอาทิตย์คนตาบอดไม่พบสิ่งใดนอกจากความร้อน

ในอีกวรรคหนึ่งพระองค์ทรงกล่าวไว้ว่า?:? และเมื่อวจนะที่ชัดเจนของเราถูกสวดให้พวกเขาฟัง ?พวกเขาได้แค่เถียงว่า? จงนำบิดาของเราคืนมาหากท่านพูดความจริง!? ?(โกรอ่าน 45:24)? จงมองดู ?พวกเขาแสวงหาหลักฐานที่สิ้นคิดเช่นไรจากบรรดาพระผู้เป็นพรหมกายของความปรานีที่ห้อมล้อมทุกสรรพสิ่ง!? พวกเขาเยาะเย้ยวจนะเหล่านี้ ?ซึ่งอักษรเดียวของวจนะดังกล่าวยิ่งใหญ่กว่าการสร้างสวรรค์และโลก ?วจนะดังกล่าวกระตุ้นคนตายในหุบเขาแห่งอัตตาและกิเลสด้วยวิญญาณแห่งความศรัทธา ?และร้องเรียกว่า?:? จงบันดาลให้บิดาของเรารีบออกมาจากหลุมศพหิน ??ดังกล่าวคือความวิปริตและความทะนงของประชาชนพวกนี้ ?สำหรับประชาชนทั้งหมดของโลกวจนะเหล่านี้แต่ละท่อนคือข้อยืนยันที่วางใจได้ ?และข้อพิสูจน์ที่รุ่งโรจน์ของสัจธรรมของพระองค์ แท้จริงแล้ววจนะเหล่านี้แต่ละท่อนเพียงพอสำหรับมวลมนุษยชาติ ?หากเจ้าทำสมาธิใคร่ครวญดูวจนะท่อนต่างๆ ของพระผู้เป็นเจ้า ในท่อนที่กล่าวมาข้างบนนี้เองมีไข่มุกแห่งความลึกลับซ่อนเร้นอยู่ ?ไม่ว่าความเจ็บป่วยจะเป็นอย่างไร การเยียวยาที่วจนะท่อนนี้เสนอให้ไม่มีทางล้มเหลว

อย่าใส่ใจการโต้แย้งที่เหลวไหลของบรรดาผู้ที่ยืนยันว่า ?คัมภีร์และวจนะทั้งหลายในคัมภีร์ไม่มีทางเป็นข้อยืนยันสำหรับสามัญชน ?เนื่องด้วยพวกเขาไม่เข้าใจความหมายและไม่เห็นคุณค่าของวจนะเหล่านั้น และกระนั้นข้อยืนยันที่วางใจได้ของพระผู้เป็นเจ้าสำหรับโลกตะวันออกและโลกตะวันตก ?หาใช่อื่นใดนอกจากคัมภีร์โกรอ่าน หากคัมภีร์นี้อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์ คัมภีร์นี้จะได้รับการประกาศว่าเป็นข้อยืนยันสากลสำหรับประชาชนทั้งหมดได้อย่างไร ??หากการโต้แย้งของพวกเขาเป็นความจริง ก็ไม่จำเป็นสำหรับใครหรือพวกเขาที่จะรู้จักพระผู้เป็นเจ้า เนื่องด้วยความรู้ของพระผู้มีสภาวะเป็นเจ้าอยู่เหนือความรู้ของคัมภีร์ของพระองค์ ?และสามัญชนจะไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจ

ดังกล่าวเป็นการโต้แย้งอย่างหลงผิดทั้งสิ้นและไม่เป็นที่ยอมรับ ?ซึ่งมีเหตุจูงใจมาจากความจองหองและความทะนงเท่านั้น เป็นแรงจูงใจที่จะพาประชาชนหลงไปจากเรซวานแห่งความยินดีสวรรค์ ?และกระชับอำนาจของพวกเขาในการควบคุมประชาชน และกระนั้นในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า สามัญชนเหล่านี้เหนือกว่าอย่างเหลือหลายและประเสริฐกว่าบรรดาผู้นำศาสนา ?ที่ได้หันหนีไปจากพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงองค์เดียว ความเข้าใจวจนะของพระองค์และวาทะของวิหคแห่งสวรรค์ไม่ขึ้นกับวิชาของมนุษย์ แต่ขึ้นกับความบริสุทธิ์ของหัวใจ ?ความวิสุทธิ์ของวิญญาณ และความเป็นอิสระของจิตเท่านั้น หลักฐานของสิ่งนี้คือ บรรดาผู้ที่ในปัจจุบันไม่รู้แม้แต่อักษรเดียวตามมาตรฐานของวิชาที่ยอมรับกัน กำลังครองที่นั่งสูงสุดแห่งความรู้ ?และโดยการหลั่งกรุณาธิคุณสวรรค์ อุทยานแห่งหัวใจของพวกเขาประดับด้วยดอกกุหลาบแห่งอัจฉริยภาพและดอกทิวลิปแห่งความเข้าใจ ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ผู้ที่จริงใจในหัวใจที่ได้รับส่วนแบ่งของแสงสว่างของยุคที่ยิ่งใหญ่!

และทำนองเดียวกันพระองค์ทรงกล่าวไว้ว่า?:? สำหรับบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อในวจนะของพระผู้เป็นเจ้า ?หรือไม่เชื่อว่าตนจะได้พบพระองค์อีก พวกเขาจะสิ้นหวังด้วยความปรานีของเรา ?และการลงโทษที่สาหัสรอคอยพวกเขาอยู่ ?(โกรอ่าน 29:23)? เช่นกัน ?และพวกเขากล่าวว่า? เช่นนั้นเราจะละทิ้งเทพเจ้าทั้งหลายของเราเพื่อกวีผู้คลั่งหรือ? ?(โกรอ่าน 37:36)? นัยของวจนะท่อนนี้เป็นที่เห็นชัด ?จงมองดูว่าหลังจากที่วจนะเหล่านี้ถูกเปิดเผย ?พวกเขาให้ข้อสังเกตอะไร พวกเขาเรียกพระองค์ว่ากวี ?เยาะเย้ยวจนะของพระผู้เป็นเจ้า และอุทานว่า?:? วจนะเหล่านี้ของเขาเป็นเพียงเรื่องราวของประชาชนในสมัยโบราณ! ??นี้พวกเขาหมายความว่า ?ถ้อยคำเหล่านี้ที่กล่าวไว้โดยชนชาติทั้งหลายในอดีต ?พระโมฮัมหมัดไปรวบรวมมาแล้วเรียกว่าพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า

ทำนองเดียวกันในยุคนี้ ?เจ้าได้ยินประชาชนใช้ข้อกล่าวหาคล้ายกันกับการเปิดเผยพระธรรมครั้งนี้ว่า?:? เขารวบรวมถ้อยคำเหล่านี้มาจากถ้อยคำต่างๆ ในอดีต ?หรือ ?ถ้อยคำเหล่านี้จอมปลอม ??คำพูดของพวกเขาจองหองและถือดี สภาพและสถานะของพวกเขาอยู่ต่ำ!

หลังจากที่พวกเขาเอ่ยคำปฏิเสธและคำประณามตามที่เราอ้างถึง ?พวกเขาคัดค้านว่า?:? ตามคัมภีร์ทั้งหลายของเรา ?ไม่ควรมีศาสนทูตอิสระมาปรากฏหลังจากพระโมเสสและพระเยซู ?เพื่อล้มเลิกกฎของการเปิดเผยพระธรรมสวรรค์ ไม่เพียงเท่านั้น ?ผู้ที่จะถูกแสดงให้เห็นชัดจะต้องสำเร็จกฎนั้น ?ครั้นแล้ววจนะท่อนนี้ถูกเปิดเผย ?ซึ่งชี้บ่งใจความสวรรค์ทั้งหมด และให้การยืนยันสัจธรรมที่ว่าการหลั่งไหลกรุณาธิคุณของพระผู้ทรงปรานีไม่มีทางยุติ?:? และเมื่อก่อนโจเซฟมาหาเจ้าด้วยสัญลักษณ์ที่ชัดเจน ?แต่เจ้าก็ไม่เลิกสงสัยธรรมสารที่เขานำมาให้เจ้า จนกระทั่งเมื่อเขาตายเจ้ากล่าวว่า? พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ชูธรรมทูตขึ้นมาอีกหลังจากเขา ? ดังนี้พระผู้เป็นเจ้าลวงผู้ที่เป็นคนละเมิดและคนสงสัย ?(โกรอ่าน 40:34)? ดังนั้นจงเข้าใจจากวาทะท่อนนี้และจงรู้ไว้เป็นที่แน่นอนว่า ?ประชาชนในทุกยุคด้วยยึดถือวจนะท่อนหนึ่งในคัมภีร์ ได้เอ่ยคำพูดที่ไม่มีประโยชน์และเหลวไหลดังกล่าว ?เป็นการโต้เถียงว่าไม่ควรมีศาสนทูตถูกแสดงให้เห็นชัดอีกในโลก ดังที่บรรดานักบวชคริสเตียนยึดมั่นวจนะของกอสเปวตามที่เราอ้างถึง ?และพยายามอธิบายว่ากฎของกอสเปวจะไม่มีวันถูกยกเลิก จะไม่มีศาสนทูตอิสระถูกแสดงให้เห็นชัดอีก นอกจากว่าพระองค์จะยืนยันกฎของกอสเปว ?ประชาชนส่วนใหญ่ทรมานด้วยโรคของจิตวิญญาณเดียวกัน

ดังที่เจ้าเห็นแล้วว่า ?ประชาชนแห่งคัมภีร์โกรอ่านซึ่งเหมือนกับประชาชนในอดีต ?ได้ยอมให้คำว่า ?ตราประทับของศาสนทูตทั้งหลาย ?มาบังตาของตนอย่างไร ?และกระนั้นพวกเขาเองให้การยืนยันวจนะท่อนนี้?:? ไม่มีใครรู้การตีความนี้นอกจากพระผู้เป็นเจ้าและบรรดาผู้ที่มีภูมิความรู้แน่น ?(โกรอ่าน 3:7)? และเมื่อพระผู้มีภูมิความรู้ทุกอย่างแน่น ?พระผู้เป็นแม่บท เป็นวิญญาณ เป็นความลับและสาระของความรู้ทุกอย่าง ?เปิดเผยสิ่งที่ขัดกับความต้องการของพวกเขาแม้เพียงนิดเดียว พวกเขาจะต่อต้านพระองค์อย่างเคืองแค้นและปฏิเสธพระองค์อย่างไม่ละอาย ?เจ้าได้ยินและเห็นสิ่งเหล่านี้มาแล้ว การกระทำและถ้อยคำดังกล่าวล้วนเป็นฝีมือของบรรดาผู้นำศาสนา ผู้ซึ่งไม่บูชาพระผู้เป็นเจ้าใดนอกจากกิเลสของตนเอง ?ผู้ซึ่งไม่แสดงความภักดีต่อสิ่งใดนอกจากทอง ผู้ซึ่งถูกห่อหุ้มอยู่ในม่านแห่งวิชาที่ทึบที่สุด ผู้ซึ่งติดอยู่ในสิ่งที่เข้าใจยากของวิชานั้นและหลงทางทางอยู่ในที่รกร้างแห่งความหลงผิด ?ดังที่พระผู้เป็นนายแห่งชีวิตประกาศไว้อย่างชัดแจ้งว่า?:? เจ้าคิดอะไรอยู่ ??ผู้ที่ให้กิเลสของตนเป็นพระผู้เป็นเจ้า ?ผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าดลให้หลงผิดโดยความรู้ ?ผู้ที่พระองค์ปิดผนึกหูและหัวใจและทอดม่านมาบังตาของเขา ?ผู้ซึ่งหลังจากที่ถูกพระผู้เป็นเจ้าปฏิเสธแล้วจะมานำทางบุคคลดังกล่าวหรือ ??เช่นนั้นเจ้าจะไม่รับการเตือนหรือ? ?(โกรอ่าน 45:22)

แม้ว่าความหมายตามตัวอักษรของ ?ผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าดลให้หลงผิดโดยความรู้ ?คือสิ่งที่เปิดเผยไว้แล้ว ?กระนั้นสำหรับเรานี้หมายถึงบรรดานักบวชแห่งยุคนี้ที่หันหนีไปจากพระผู้ทรงความงามของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ซึ่งด้วยยึดติดกับวิชาของตนเองที่มาจากความเพ้อฝันและความต้องการของตน ?ได้ประณามธรรมสารและการเปิดเผยพระธรรมของพระผู้เป็นเจ้า ?จงกล่าวว่า?:?สิ่งที่เจ้าหันหนีคือธรรมสารที่มีน้ำหนัก! ?(โกรอ่าน 40:34)? ทำนองเดียวกันพระองค์ทรงกล่าวว่า?:? และเมื่อวจนะที่ชัดเจนของเราถูกสวดให้พวกเขาฟัง ?พวกเขากล่าวว่า? นี้คือเพียงชายคนหนึ่งที่อยากจะชักจูงเจ้าไม่ให้บูชาบิดา ? และพวกเขากล่าวว่า? นี้มิใช่อื่นใดนอกจากความจอมปลอมที่ปั้นขึ้นมา? ?(โกรอ่าน 34:43)

จงเงี่ยหูฟังสุรเสียงที่วิสุทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า ?และเอาใจใส่ทำนองเสนาะที่เป็นอมตะของพระองค์ จงมองดูว่า ?พระองค์ทรงเตือนพวกที่ไม่ยอมรับวจนะของพระผู้เป็นเจ้าอย่างเคร่งขรึม ?และตัดสัมพันธ์กับพวกที่ปฏิเสธวจนะศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์อย่างไร จงพิจารณาดูว่าประชาชนหลงไปจากโควซาร์แห่งการปรากฏองค์ของพระผู้เป็นเจ้าไกลเพียงไหน ?และความไม่ซื่อสัตย์และความจองหองของผู้ที่จิตวิญญาณขัดสนนั้นร้ายกาจเพียงไรทั้งๆ ที่มีพระผู้ทรงความงามอันวิสุทธิ์นี้ ?แม้ว่าพระผู้เป็นสาระแห่งความเมตตารักใคร่และความอารี ทรงบันดาลให้บรรดาผู้ที่ไม่จิรังก้าวเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งความเป็นอมตะ ?และนำทางดวงวิญญาณที่ขัดสนทั้งหลายไปยังแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งความมั่งคั่ง กระนั้นบางคนก็ประณามพระองค์ว่าเป็น ?ผู้ใส่ร้ายพระผู้เป็นเจ้า ?พระผู้เป็นนายของชีวิตทั้งปวง ?บางคนกล่าวหาพระองค์ว่าเป็น ?ผู้ที่พรากประชาชนจากหนทางแห่งความศรัทธาและความเชื่อที่แท้จริง ?และยังมีบางคนประกาศให้พระองค์เป็น ?คนวิกลจริต ?และที่คล้ายกัน

ทำนองเดียวกันจงสังเกตดูในยุคนี้ว่า ?พวกเขาโจมตีพระผู้เป็นมณีแห่งความเป็นอมตะด้วยคำกล่าวหาที่ต่ำช้าอย่างไร ?พวกเขาละเมิดพระผู้เป็นบ่อเกิดของความบริสุทธิ์สุดจะพรรณนาเช่นไร แม้ว่าทั่วทั้งคัมภีร์และในธรรมจารึกศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นอมตะของพระองค์ ?พระผู้เป็นเจ้าทรงเตือนพวกที่ปฏิเสธและไม่ยอมรับวจนะที่เปิดเผยไว้ และทรงประกาศกรุณาธิคุณของพระองค์ต่อบรรดาผู้ที่ยอมรับวจนะเหล่านั้น กระนั้นจงมองดูการหาเรื่องสุดคณานับที่พวกเขานำมาใช้กับวจนะที่ถูกส่งลงมาจากนภาใหม่แห่งความวิสุทธิ์อนันต์ของพระผู้เป็นเจ้า!? ทั้งนี้แม้ไม่มีดวงตาใดเคยเห็นการหลั่งความอารีที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ?ไม่มีหูใดเคยได้ยินการเปิดเผยความเมตตารักใคร่ดังกล่าว ความอารีและการเปิดเผยดังกล่าวถูกแสดงให้เห็นชัด ?จนวจนะที่ถูกเปิดเผยดูเหมือนเป็นฝนของวสันตฤดูที่หลั่งมาจากก้อนเมฆแห่งความปรานีของพระผู้ทรงอารี ศาสนทูตทั้งหลายที่ ?ได้รับการประสาทด้วยความไม่ผันแปร ?ซึ่งความสูงส่งและความรุ่งโรจน์ของพระองค์ส่องแสงเหมือนดวงอาทิตย์ ?ต่างก็ได้รับเกียรติด้วยคัมภีร์เล่มหนึ่งซึ่งทุกคนเห็นแล้ว และวจนะในแต่ละคัมภีร์เป็นที่ยืนยันอย่างถูกต้อง ขณะที่วจนะจากก้อนเมฆแห่งความปรานีของพระผู้เป็นเจ้านี้หลั่งมาอย่างเหลือล้น จนไม่มีใครประเมินจำนวนได้ เท่าที่หาได้ในเวลานี้มีอยู่ราวยี่สิบเล่ม ?อีกมากมายเพียงไรที่อยู่เกินเอื้อมของเรา อีกมากมายเพียงไหนที่ถูกช่วงชิงไปและตกอยู่ในมือของศัตรู ซึ่งไม่มีใครรู้ชะตากรรม!

ดูกร ?ภราดร เราควรเปิดตาของเรา ?ทำสมาธิใคร่ครวญดูพระวจนะของพระองค์ ?และแสวงหาร่มเงาที่กำบังของพระศาสดาทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้า ?เพื่อว่าเราอาจจะได้รับการเตือนจากคำปรึกษาที่แน่ใจได้ในคัมภีร์ ?และเอาใจใส่คำตักเตือนที่บันทึกไว้ในธรรมจารึกศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ?เพื่อว่าเราจะไม่หาเรื่องพระผู้เปิดเผยวจนะ จะยอมจำนนต่อศาสนาของพระองค์อย่างสิ้นเชิง ?จะยอมรับกฎของพระองค์อย่างหมดหัวใจ จะเข้าไปในราชสำนักแห่งความปรานีของพระองค์ และอาศัยอยู่บนชายฝั่งแห่งกรุณาธิคุณของพระองค์ ?แท้จริงแล้วพระองค์ทรงปรานีและให้อภัยคนรับใช้ทั้งหลายของพระองค์

และทำนองเดียวกันพระองค์ทรงกล่าวว่า?:? จงกล่าวว่า ?ดูกร ประชาชนแห่งคัมภีร์!? พวกเจ้าไม่ได้อ้างหรอกหรือว่าพวกเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับเรา ?เพียงเพราะว่าเราเชื่อในพระผู้เป็นเจ้า เชื่อในสิ่งที่พระองค์ส่งลงมาให้เราและสิ่งที่พระองค์ส่งลงมาเมื่อกาลก่อน ?และเพราะว่าพวกเจ้าส่วนใหญ่คือผู้กระทำสิ่งเลวร้าย? ?(โกรอ่าน 5:62)? วจนะท่อนนี้เปิดเผยจุดประสงค์ของเราอย่างชัดแจ้งเช่นไร ?และสาธิตสัจธรรมในข้อยืนยันของวจนะทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้าอย่างชัดเจนเพียงไร!? วจนะท่อนนี้ถูกเปิดเผย ณ เวลาที่อิสลามถูกพวกไม่มีศาสนาโจมตี ?และเหล่าสาวกถูกกล่าวหาว่ามีความเชื่อที่ผิด เมื่อสหายทั้งหลายของพระโมฮัมหมัดถูกประณามว่าเป็นผู้ที่ไม่ยอมรับพระผู้เป็นเจ้า ?และเป็นสาวกของพ่อมดจอมโกหก ในสมัยเริ่มแรกเมื่ออิสลามยังดูเหมือนว่าไร้อำนาจและอานุภาพ มิตรสหายของศาสนทูตที่หันหน้ามาหาพระผู้เป็นเจ้า ?ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหนก็ถูกรังควาน ประหัตประหาร ขว้างก้อนหินใส่และว่าให้เสีย ในเวลานั้นวจนะที่วิสุทธิ์ท่อนนี้ถูกส่งลงมาจากนภาแห่งการเปิดเผยพระธรรมสวรรค์ ?วจนะท่อนนี้เปิดเผยหลักฐานที่แย้งไม่ได้ นำมาซึ่งแสงสว่างแห่งการนำทางที่วางใจได้ และสั่งการสหายทั้งหลายของพระโมฮัมหมัดให้ประกาศต่อพวกไม่มีศาสนาและพวกบูชาเทวรูปว่า?:? พวกเจ้ากดขี่และประหัตประหารเรา ?และกระนั้นเราได้ทำสิ่งอื่นใดหรือนอกจากว่า ?เราเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าและวจนะทั้งหลายที่ส่งลงมายังเราโดยชิวหาของพระโมฮัมหมัด ?และเชื่อในสิ่งที่ลงมายังศาสนทูตทั้งหลายในอดีต? ?นี้หมายความว่าความผิดเพียงอย่างเดียวของพวกเขาคือการยอมรับว่า ?วจนะใหม่ๆ ที่น่าพิศวงของพระผู้เป็นเจ้าที่ลงมาสู่พระโมฮัมหมัด และวจนะทั้งหลายที่ถูกเปิดเผยต่อศาสนทูตทั้งหลายในอดีต ?ล้วนเป็นของพระผู้เป็นเจ้า และการยอมรับสัจธรรมของวจนะเหล่านั้น นี้คือข้อยืนยันที่กษัตริย์แห่งสวรรค์สอนคนรับใช้ทั้งหลายของพระองค์

เมื่อพิจารณาสิ่งนี้ ?เป็นธรรมหรือไม่ที่ชนชาตินี้จะไม่ยอมรับวจนะที่เปิดเผยใหม่เหล่านี้ ?ที่ห้อมล้อมทั้งโลกตะวันออกและโลกตะวันตก และถือว่าตนเองเป็นผู้สนับสนุนความเชื่อที่แท้จริง ??พวกเขาไม่ควรเชื่อในพระผู้เปิดเผยวจนะเหล่านี้หรือ ?เมื่อพิจารณาข้อยืนยันที่พระองค์เองสถาปนา พระองค์จะไม่นับบรรดาผู้ที่ให้การยืนยันสัจธรรมของข้อยืนยันนี้ว่าเป็นศาสนิกชนที่แท้จริงได้อย่างไร ??หาใช่พระองค์ไม่ที่จะผลักไสบรรดาผู้ที่หันมาหาและยอมรับสัจธรรมของวจนะสวรรค์ ให้ห่างออกไปจากประตูแห่งความปรานีของพระองค์ หรือจะทรงขู่เข็ญบรรดาผู้ที่ยึดถือข้อยืนยันที่แน่นอนของพระองค์!? แท้จริงแล้วพระองค์ทรงพิสูจน์สัจธรรมและยืนยันการเปิดเผยพระธรรมของพระองค์โดยวจนะทั้งหลายของพระองค์ ?แท้จริงแล้วพระองค์คือพระผู้ทรงอานุภาพ พระผู้ทรงช่วยเหลือในภยันตราย พระผู้ทรงมหิทธานุภาพ

และทำนองเดียวกันพระองค์ทรงกล่าวว่า?:? และเราได้ส่งคัมภีร์ที่ลิขิตบนหนังแกะลงมาให้เจ้า ?และพวกเขาได้แตะคัมภีร์นี้ด้วยมือ พวกไม่มีศาสนาย่อมพูดอย่างแน่นอนว่า? นี้ไม่ใช่สิ่งใดนอกจากเวทย์มนต์? ?(โกรอ่าน 6:7)? วจนะส่วนใหญ่ในคัมภีร์โกรอ่านชี้บ่งใจความนี้ ?เพื่อเห็นแก่ความรวบรัดเราจึงกล่าวถึงวจนะท่อนเหล่านี้เท่านั้น ?จงพิจารณาดู มีสิ่งอื่นใดนอกจากวจนะหรือไม่ที่ได้รับการสถาปนาไว้ในคัมภีร์ทั้งเล่ม ?ให้เป็นมาตรฐานสำหรับการยอมรับพระผู้แสดงความงามของพระองค์ทั้งหลาย เพื่อว่าประชาชนจะได้ยึดเหนี่ยว ?และปฏิเสธพระศาสดาทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้า ?ในทางตรงกันข้ามในทุกกรณีพระองค์ทรงขู่เข็ญพวกที่ไม่ยอมรับและเยาะเย้ยวจนะต่างๆ ด้วยไฟ ?ดังที่แสดงให้เห็นแล้ว

ดังนั้นหากบุคคลหนึ่งลุกขึ้นและแสดงวจนะ ?ปาฐกถา สารและบทอธิษฐานมากมาย ที่ไม่ได้มาจากการเรียนรู้ ?จะมีข้ออ้างใดที่เป็นไปได้และมีเหตุผลพอสำหรับใครที่จะปฏิเสธวจนะเหล่านี้ ?และพรากตนเองจากอานุภาพของกรุณาธิคุณของวจนะดังกล่าว ?พวกเขาจะสามารถให้คำตอบอะไรเมื่อวิญญาณของตนได้จากร่างกายที่หมองหม่นและขึ้นไป ??พวกเขาจะหาเหตุผลให้กับตัวเองได้หรือโดยการกล่าวว่า?:? เราได้ยึดถือคำพยากรณ์หนึ่ง ?และไม่เห็นคำพยากรณ์นั้นบังเกิดขึ้นจริงตามตัวอักษร ?ดังนั้นเราจึงหาเรื่องบรรดาพระผู้เป็นพรหมกายของการเปิดเผยพระธรรมสวรรค์ ?และออกห่างจากกฎของพระผู้เป็นเจ้า? ?เจ้าไม่ได้ยินหรือว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำไมศาสนทูตจำนวนหนึ่งได้รับการระบุว่าเป็นศาสนทูตที่ ?ได้รับการประสาทด้วยความไม่ผันแปร ?ก็คือการเปิดเผยคัมภีร์หนึ่งแก่พวกเขา ??และกระนั้นชนชาตินี้มีเหตุผลอะไรในการปฏิเสธพระผู้เปิดเผยและลิขิตวจนะมากมายหลายเล่ม และเชื่อตามคำพูดของผู้ที่หว่านเมล็ดแห่งความสงสัยในหัวใจของมนุษย์อย่างโง่เง่า และได้ลุกขึ้นนำประชาชนไปบนหนทางแห่งความหลงผิดไปสู่โลกันตร์ ??พวกเขายอมให้สิ่งดังกล่าวมาพรากตนเองจากแสงสว่างของดวงอาทิตย์แห่งความอารีสวรรค์ได้อย่างไร ?นอกจากสิ่งเหล่านี้ หากประชาชนเหล่านี้หลีกหนีและปฏิเสธดวงวิญญาณสวรรค์นี้ ลมหายใจที่วิสุทธิ์นี้ เราสงสัยว่าพวกเขาจะยึดถือใครได้ และนอกจากใบหน้าของพระองค์ ?พวกเขาจะหันไปหาใบหน้าของใครได้ ?ใช่แล้ว ?ทุกคนมีหนึ่งในสี่ของสวรรค์ที่พวกเขาหันไปหา ?(โกรอ่าน 2:148)? เราได้แสดงสองทางนี้ต่อเจ้า ?จงเดินทางที่เจ้าเลือก แท้จริงแล้วนี้คือสัจธรรม ?และหลังจากสัจธรรมไม่เหลือสิ่งใดนอกจากความหลงผิด

หนึ่งในข้อพิสูจน์ทั้งหลายที่สาธิตสัจธรรมของการเปิดเผยพระธรรมครั้งนี้คือดังนี้ ?ในทุกยุคและทุกยุคศาสนา เมื่อใดก็ตามที่พระผู้เป็นสาระที่มองไม่เห็นถูกเปิดเผยในตัวตนของพระศาสดาของพระองค์ ?ดวงวิญญาณจำนวนหนึ่งซึ่งไม่เป็นที่รู้จักและปล่อยวางจากความติดพันทางโลกทั้งหมด จะแสวงหาความสว่างจากดวงอาทิตย์แห่งความเป็นพระศาสดาและดวงจันทร์แห่งการนำทางสวรรค์ ?และจะพบเห็นการปรากฏองค์ของพระผู้เป็นเจ้า ?ด้วยเหตุผลนี้นักบวชทั้งหลายในยุคนั้นและบรรดาผู้ครอบครองความมั่งคั่ง ?จะดูถูกและเยาะเย้ยประชาชนเหล่านี้ ดังที่พระองค์ทรงเปิดเผยเกี่ยวกับพวกที่หลงผิดว่า?:? เมื่อนั้นบรรดาหัวหน้าของประชาชนของพระองค์ที่ไม่เชื่อกล่าวว่า? เราเห็นในตัวท่านเป็นเพียงมนุษย์เหมือนเรา ?และเราไม่เห็นใครเป็นสาวกของท่านนอกจากพวกต่ำชั้นที่สุดที่คิดอ่านไม่รอบคอบ ?ไม่เห็นท่านมีดีอะไรกว่าเรา ไม่เพียงเท่านั้น เราถือว่าท่านเป็นพวกมดเท็จ? ?(โกรอ่าน 11:27)? พวกเขาหาเรื่องพระศาสดาผู้วิสุทธิ์ทั้งหลายและคัดค้านว่า?:? ไม่มีใครเป็นสาวกของท่านนอกจากพวกที่น่าสมเพชและพวกที่ไม่คู่ควรที่จะได้รับความสนใจ ??จุดมุ่งหมายของพวกเขาคือเพื่อจะแสดงว่า ไม่มีใครในหมู่ผู้รู้ ผู้มั่งคั่งและผู้มีชื่อเสียง ?ที่เชื่อในพระศาสดาเหล่านี้ ด้วยข้อพิสูจน์นี้และที่คล้ายกัน พวกเขาพยายามสาธิตความไม่จริงของพระผู้ที่ไม่ตรัสสิ่งใดนอกจากสัจธรรม

อย่างไรก็ตามในยุคศาสนาที่อำไพที่สุดนี้ ?อธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนี้ นักบวชที่สว่าง ?ผู้ที่มีวิชาสุดยอดและบัณฑิตที่ปัญญารอบคอบจำนวนหนึ่ง ?ได้มาถึงราชสำนักของพระองค์ ได้ดื่มถ้วยน้ำแห่งการปรากฏองค์ของพระองค์ ?และได้รับความโปรดปรานที่ล้ำเลิศที่สุดของพระองค์เป็นเกียรติ ?พวกเขาได้สละโลกและทุกสิ่งที่อยู่ในโลกเพื่อเห็นแก่พระผู้เป็นที่รักยิ่ง ?เราจะกล่าวถึงชื่อของพวกเขาบางคน เพื่อว่าสิ่งนี้อาจจะทำให้คนขี้ขลาดเข้มแข็งขึ้น ?และคนขี้ตกใจกล้าหาญขึ้น

หนึ่งในพวกเขาคือมุลลา ฮุสเซน ?ซึ่งกลายเป็นผู้รับความรุ่งโรจน์โชติช่วงของดวงอาทิตย์แห่งการเปิดเผยพระธรรมสวรรค์ ?หากมิใช่เพราะเขาพระผู้เป็นเจ้าย่อมไม่ประทับบนที่นั่งแห่งความปรานีของพระองค์ หรือขึ้นครองบัลลังก์แห่งความรุ่งโรจน์อนันต์ ?อีกคนหนึ่งในหมู่พวกเขาคือซียิด ยาห์ยอ ผู้ที่พิเศษและไม่มีที่เสมอในวัยเดียวกัน

มุลลา โมฮัมหมัด อาลีเย ซานจานี

มุลลา อาลีเย บาสทามี

มุลลา?ซาอิด บาร์ฟูรูชี

มุลลา?เนมัทโทลลาเย มาซินดารานี

มุลลา ยูเซเฟ อาเดบิลี

มุลลา?เมห์ดีเย โคยี

ซียิด?ฮุสเซนเน ทูร์ชิซิ

มุลลา?เมห์ดีเย คานดี

มุลลา บาเกร์

มุลลา อับดุลคาเลเก ยาซดี

มุลลา?อาลีเย บารากานี

และคนอื่นๆ จำนวนเกือบสี่ร้อยคน ?ซึ่งชื่อของพวกเขาล้วนถูกจารึกไว้บน ?ธรรมจารึกที่พิทักษ์ไว้ ?ของพระผู้เป็นเจ้า

ทุกคนเหล่านี้ได้รับการนำทางโดยแสงสว่างของดวงอาทิตย์แห่งการเปิดเผยพระธรรมสวรรค์นี้ ?สารภาพและยอมรับสัจธรรมของพระองค์ ดังกล่าวคือความศรัทธาของพวกเขาที่ทำให้พวกเขาส่วนใหญ่ละวางจากความมั่งคั่งและญาติพี่น้อง ?และยึดเหนี่ยวความยินดีของพระผู้ทรงความรุ่งโรจน์ พวกเขาสละชีวิตเพื่อพระผู้เป็นที่รักยิ่งของตน และยอมสละทุกอย่างในหนทางของพระองค์ ?อกของพวกเขากลายเป็นเป้าสำหรับลูกดอกของศัตรู และศีรษะของพวกเขาประดับอยู่บนหอกของพวกไม่มีศาสนา ไม่มีดินแดนใดที่ยังไม่ได้ดื่มเลือดของผู้ที่เป็นร่างของความปล่อยวางเหล่านี้ ?ไม่มีดาบใดที่ไม่ได้ฟันคอของพวกเขา การกระทำของพวกเขาเท่านั้นที่ให้การยืนยันสัจธรรมในคำพูดของพวกเขา ข้อยืนยันของดวงวิญญาณที่วิสุทธิ์เหล่านี้ที่ได้ลุกขึ้นสละชีวิตอย่างรุ่งโรจน์เพื่อพระผู้เป็นที่รักยิ่งของตน ?จนทั้งโลกพิศวงต่อลักษณะการเสียสละของพวกเขา? ไม่เพียงพอสำหรับประชาชนในยุคนี้หรือ ??นี้ไม่ใช่พยานที่เพียงพอที่ค้านกับความไม่ซื่อสัตย์ของบรรดาผู้ที่ทรยศความศรัทธาของตนด้วยเรื่องเล็กน้อย ?ผู้ซึ่งเอาความเป็นอมตะไปแลกกับสิ่งที่จะต้องมอดม้วย ผู้ซึ่งทิ้งโควซาร์แห่งการปรากฏองค์ของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อน้ำพุเค็ม ?ซึ่งจุดมุ่งหมายเดียวในชีวิตของพวกเขาคือการแย่งชิงทรัพย์สินของผู้อื่น ??ดังที่เจ้าเห็นแล้วว่าพวกเขาทั้งหมดสาละวนอยู่กับสิ่งไร้แก่นสารต่างๆ ในโลก ?และได้หลงไกลไปจากพระผู้เป็นพระผู้เป็นนาย พระผู้ทรงความสูงส่งที่สุดอย่างไร

จงมีความเป็นธรรม?:?ข้อยืนยันของบรรดาผู้ที่มีการกระทำสอดคล้องกับคำพูด ?มีความประพฤติภายนอกสอดคล้องกับจิตใจภายใน เป็นที่น่ายอมรับหรือคู่ควรที่จะได้รับความสนใจหรือไม่ ??จิตใจฉงนต่อการกระทำของพวกเขา ?และวิญญาณพิศวงต่อความแกร่งกล้าและทนทรหดของพวกเขา? หรือว่าข้อยืนยันของดวงวิญญาณที่ไม่ซื่อสัตย์เหล่านี้เป็นที่น่ายอมรับ ?ซึ่งพวกเขามิได้หายใจสิ่งใดนอกจากลมหายใจแห่งกิเลสที่เห็นแก่ตัว และถูกจองจำอยู่ในกรงแห่งความเพ้อฝันอันเหลวไหลของตน ??เสมือนค้างคาวแห่งความมืด พวกเขาไม่ยกศีรษะของตนขึ้นจากที่นอน เว้นแต่เพื่อจะไขว่คว้าสิ่งที่ไม่จิรังของโลก และจิตใจของพวกเขาไม่สงบยามค่ำคืน ?เว้นแต่จะได้ตรากตรำส่งเสริมจุดมุ่งหมายของชีวิตที่โสมมของตน ด้วยจมอยู่ในแผนการที่เห็นแก่ตัวของตน พวกเขาหาได้รู้โองการสวรรค์ ยามกลางวันพวกเขาพยายามไขว่คว้าประโยชน์ทางโลกด้วยวิญญาณทั้งหมดของตน ?และยามกลางคืนพวกเขายุ่งอยู่กับการสนองตัณหาของตนเท่านั้น กฎหรือมาตรฐานใดหรือที่ให้มนุษย์มีเหตุผลสมควรที่จะยึดถือคำปฏิเสธของดวงวิญญาณที่จิตใจคับแคบดังกล่าว แล้วละเลยความศรัทธาของบรรดาผู้ที่ได้สละชีวิต ?ความมั่งคั่ง ความโด่งดังและกิตติศัพท์ ชื่อเสียงและเกียรติของตน เพื่อเห็นแก่ความยินดีของพระผู้เป็นเจ้า

สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของ ?เจ้าชายของผู้สละชีวิตทั้งหลาย ?(อิหม่ามฮุสเซน)?ไม่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกรียงไกรที่สุด ?หลักฐานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสัจธรรมของเขาหรือ ?ประชาชนในอดีตไม่ได้ประกาศหรือว่าเหตุการณ์เหล่านั้นไม่เคยมีมาก่อน ??พวกเขาไม่ได้ยืนยันหรือว่า ไม่มีผู้แสดงสัจธรรมคนใดเคยแสดงความไม่ผันแปรและความรุ่งโรจน์ตระการตาดังกล่าว ?และกระนั้นเหตุการณ์ครั้งนี้ในชีวิตของเขาแม้จะเริ่มต้นตอนเช้าก็จบลงเมื่อผ่านไปครึ่งวัน ?ขณะที่บรรดาผู้ที่เป็นแสงสว่างที่วิสุทธิ์เหล่านี้ได้ทนความทุกข์ทรมานที่หลั่งมายังพวกเขาจากรอบด้านอย่างกล้าหาญเป็นเวลาสิบแปดปี พวกเขาได้เสียสละชีวิตในหนทางของพระผู้ทรงความรุ่งโรจน์ด้วยความรัก ความอุทิศ ?ความอิ่มใจและความหรรษาที่วิสุทธิ์อย่างไร!? ทุกคนเป็นพยานต่อความจริงของเรื่องนี้ ?และกระนั้นพวกเขาดูแคลนการเปิดเผยพระธรรมครั้งนี้ได้อย่างไร ??มียุคไหนหรือที่เคยเป็นพยานต่อเหตุการณ์ที่เป็นประวัติศาสตร์เหล่านี้ ? หากสหายเหล่านี้ไม่ใช่ผู้ไขว่คว้าพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง ?ใครอื่นหรือที่จะเรียกได้ด้วยชื่อนี้ ?สหายเหล่านี้เคยเป็นผู้แสวงหาอำนาจและความรุ่งโรจน์หรือ ??พวกเขาเคยปรารถนาความร่ำรวยหรือ ?พวกเขาเคยมีความต้องการใดหรือนอกจากความยินดีของพระผู้เป็นเจ้า ??หากสหายเหล่านี้กับข้อยืนยันที่ยอดเยี่ยมและผลงานที่น่าพิศวงทั้งหมดของพวกเขาเป็นความจอมปลอม เช่นนั้นใครหรือที่คู่ควรจะอ้างตนว่าเป็นความจริง ??เราขอสาบาญต่อพระผู้เป็นเจ้า!? การกระทำของพวกเขาคือข้อยืนยันที่เพียงพอและข้อพิสูจน์ที่แย้งไม่ได้สำหรับประชาชนทั้งหมดของโลก ?หากมนุษย์ไตร่ตรองความลึกลับของการเปิดเผยพระธรรมสวรรค์ในหัวใจ ?และบรรดาผู้ที่กระทำอย่างไม่ยุติธรรม ?จะรู้ในไม่ช้าว่าชะตากรรมอะไรรอคอยเขาอยู่! ?(โกรอ่าน 26:227)

ยิ่งไปกว่านั้นสัญลักษณ์ของความจริงและความจอมปลอมถูกระบุและกำหนดไว้ในคัมภีร์ ?คำกล่าวอ้างและการอวดอ้างของมวลมนุษย์จะต้องถูกทดสอบโดยเกณฑ์ที่สวรรค์กำหนดนี้ เพื่อว่าผู้ที่มีวาจาสัตย์จะเป็นที่รู้และแยกจากผู้อวดอ้าง ?เกณฑ์นี้มิใช่อื่นใดนอกจากวจนะท่อนนี้?:? จงปรารถนาความตายหากเจ้าเป็นบุรุษแห่งสัจธรรม ?(โกรอ่าน 2:94, 62:6)? จงพิจารณาดูผู้สละชีวิตด้วยความจริงใจไร้ข้อกังขาเหล่านี้ ?ซึ่งวาจาสัตย์ของพวกเขาให้การยืนยันพระธรรมที่ชัดแจ้งของคัมภีร์ ?และตามที่เจ้าได้เป็นพยาน พวกเขาทุกคนได้เสียสละชีวิต ความมั่งคั่ง ?ภรรยา ลูก ทุกอย่างของตน และขึ้นไปสู่ห้องสูงสุดบนสวรรค์ เป็นธรรมหรือที่จะปฏิเสธข้อยืนยันของผู้ประเสริฐที่ปล่อยวางเหล่านี้ ?ที่ยืนยันสัจธรรมของการเปิดเผยพระธรรมที่รุ่งโรจน์และเหนือชั้นนี้ แล้วถือว่าการประณามพระผู้เป็นแสงสว่างอำไพนี้เป็นที่น่ายอมรับ ซึ่งประณามโดยชนชาติที่ไม่ซื่อสัตย์ดังกล่าว ?ผู้ซึ่งละทิ้งความศรัทธาเพื่อทอง และเพราะเห็นแก่ความเป็นผู้นำ จึงไม่ยอมรับพระองค์ พระผู้ทรงเป็นผู้นำคนแรกของมวลมนุษยชาติ ?ทั้งนี้แม้ว่าเวลานี้อุปนิสัยใจคอของพวกเขาถูกเปิดเผยต่อประชาชนทั้งหมดที่ยอมรับพวกเขาว่า ?เป็นพวกที่จะไม่ยอมทิ้งอำนาจทางโลกของตนแม้แต่น้อยเพื่อเห็นแก่ศาสนาศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า ไหนเลยจะทิ้งชีวิตของตน ความมั่งคั่งและที่คล้ายกัน

จงมองดูว่าตามพระธรรมที่ชัดแจ้งในคัมภีร์ ?เกณฑ์สวรรค์ได้แยกคนจริงและคนจอมปลอมอย่างไร ?แม้กระนั้นพวกเขายังคงไม่รู้สัจธรรมนี้ และหลับอยู่ในความไม่เอาใจใส่ ?กำลังไขว่คว้าสิ่งไร้แก่นสารต่างๆ ในโลก และครุ่นคิดถึงความเป็นผู้นำทางโลกที่ไร้สาระ

ดูกร ?บุตรแห่งมนุษย์!? หลายต่อหลายวันผ่านไป ?โดยที่เจ้าสาละวนอยู่กับความเพ้อฝันและจินตนาการที่เหลวไหลของเจ้า ?เจ้าจะหลับใหลอยู่บนเตียงไปอีกนานเท่าไร ?จงตื่นขึ้นมาจากความหลับใหล ?เพราะดวงอาทิตย์ขึ้นมาถึงเที่ยงวันแล้ว และอาจส่องแสงอำไพมายังเจ้า

อย่างไรก็ตามขอให้รู้ไว้ด้วยว่า ?ไม่มีใครในหมู่บัณฑิตและนักบวชเหล่านี้ที่เรากล่าวถึง ?ได้รับการประสาทด้วยตำแหน่งและเกียรติของความเป็นผู้นำ เพราะบรรดาผู้นำศาสนาที่รู้จักกันดีและมีอิทธิพล ?ผู้ซึ่งครองตำแหน่งแห่งอำนาจและปฏิบัติหน้าที่ของความเป็นผู้นำ ไม่สามารถแสดงความภักดีต่อพระผู้เปิดเผยสัจธรรม ?นอกจากผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าประสงค์ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นยกเว้นไม่กี่คน ?และคนรับใช้ไม่กี่คนของเราเป็นผู้ที่รู้คุณ ?(โกรอ่าน 34:13)? ดังที่ในยุคศาสนานี้ในหมู่นักบวชที่มีชื่อที่ควบคุมประชาชนไว้ในเงื้อมมือแห่งอำนาจ ?ไม่มีใครยอมรับศาสนานี้ ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขาพยายามต่อต้านศาสนานี้ด้วยความเป็นปรปักษ์และมุ่งมั่น ?อย่างที่ไม่มีหูใดเคยได้ยินหรือดวงตาใดเคยเห็นที่คล้ายกัน

พระบ๊อบ ?พระผู้เป็นนาย ?ผู้ทรงประเสริฐสุด ?ขอให้ชีวิตของทุกคนเป็นพลีเพื่อพระองค์ ?ทรงเปิดเผยสารเฉพาะเจาะจงฉบับหนึ่งถึงเหล่านักบวชของทุกเมือง ?ซึ่งในสารนี้พระองค์ทรงอธิบายลักษณะของการปฏิเสธและการไม่ยอมรับของพวกเขาแต่ละคน ??ดังนั้นพวกเจ้าซึ่งเป็นบุรุษแห่งการหยั่งเห็น จงเอาใจใส่ให้ดี! ?(โกรอ่าน 59:2)? โดยการกล่าวถึงการต่อต้านของพวกเขา ?พระองค์มีเจตนาที่จะทำให้คำคัดค้านที่ประชาชนแห่งคัมภีร์บายันอาจจะใช้ในยุคแห่งการปรากฏองค์ของ ?โมสทากอส ?(พระผู้ถูกวิงวอน)?ไม่มีน้ำหนัก ?ซึ่งเป็นวันแห่งการฟื้นคืนชีพครั้งหลัง ?โดยการอ้างว่าในยุคศาสนาของคัมภีร์บายัน นักบวชจำนวนหนึ่งยอมรับศาสนา ?แต่ในการเปิดเผยพระธรรมครั้งหลังนี้ ไม่มีใครในหมู่นักบวชเหล่านี้ยอมรับคำกล่าวอ้างของพระองค์ ?จุดประสงค์ของพระองค์คือเพื่อจะเตือนประชาชนเพื่อว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงห้าม พวกเขาจะไม่ยึดถือความคิดที่โง่เง่าดังกล่าว ?และพรากตนเองจากพระผู้ทรงความงามสวรรค์ ใช่แล้ว นักบวชเหล่านี้ที่เรากล่าวถึง ส่วนใหญ่แล้วไม่มีชื่อเสียง และโดยกรุณาธิคุณของพระผู้เป็นเจ้า ?พวกเขาทั้งหมดได้รับการชำระให้ปลอดจากสิ่งไร้แก่นสารต่างๆ ในโลก และเป็นอิสระจากเครื่องยศแห่งความเป็นผู้นำ ?ดังกล่าวคือความอารีของพระผู้เป็นเจ้า ?ซึ่งพระองค์ทรงให้ผู้ที่พระองค์ประสงค์

อีกข้อพิสูจน์และหลักฐานหนึ่งของสัจธรรมของการเปิดเผยพระธรรมครั้งนี้ ?ซึ่งส่องแสงเหมือนกับดวงอาทิตย์ท่ามกลางข้อพิสูจน์อิ่นทั้งหมดคือ ความไม่ผันแปรของพระผู้ทรงความงามนิรันดร์ในการประกาศศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า ?แม้ว่ายังหนุ่มและเยาว์วัย ?และแม้ว่าศาสนาที่พระองค์เปิดเผยขัดกับความปรารถนาของประชาชนทั้งหมดของโลก ?ทั้งคนชั้นสูงและคนต่ำต้อย คนร่ำรวยและคนยากไร้ คนรุ่งเรืองและคนตกต่ำ กษัตริย์และข้าแผ่นดิน ?ถึงกระนั้นพระองค์ก็ลุกขึ้นประกาศศาสนาอย่างแน่วแน่ ทุกคนรู้และได้ยิน พระองค์ไม่กลัวใครและไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา ?สิ่งนี้ถูกแสดงให้เห็นชัดได้หรือนอกจากโดยอานุภาพของการเปิดเผยพระธรรมสวรรค์ และอำนาจของพระประสงค์ที่เอาชนะไม่ได้ของพระผู้เป็นเจ้า ??ความชอบธรรมของพระผู้เป็นเจ้าเป็นพยาน!? หากใครคิดพิจารณาการเปิดเผยพระธรรมครั้งยิ่งใหญ่นี้ในหัวใจ ?ความคิดเกี่ยวกับการประกาศนั้นอย่างเดียวก็จะทำให้เขาสับสน!? หากหัวใจของมวลมนุษย์มายัดเยียดกันอยู่ในหัวใจของเขา ?เขาก็ยังคงลังเลที่จะเสี่ยงกับวิสาหกิจที่น่าเกรงขามดังกล่าว ?เขาสามารถทำสิ่งนี้สำเร็จได้ก็โดยการอนุญาตของพระผู้เป็นเจ้า โดยที่ช่องหัวใจของเขาถูกเชื่อมโยงกับบ่อเกิดของกรุณาธิคุณสวรรค์ ?และวิญญาณของเขาวางใจในการค้ำจุนที่วางใจได้ของพระผู้ทรงมหิทธานุภาพเท่านั้น? เราสงสัยว่าอะไรหรือที่พวกเขาคิดว่าเป็นเหตุของความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่นี้ ??พวกเขากล่าวหาพระองค์ว่าเบาปัญญาดังที่เคยกล่าวหาศาสนทูตทั้งหลายในอดีตหรือ ??หรือพวกเขายืนยันว่าแรงจูงใจของพระองค์มิใช่อื่นใด นอกจากอยากเป็นผู้นำและการได้มาซึ่งความร่ำรวยทางโลก

พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกรุณา!? ในคัมภีร์ของพระองค์ที่ทรงให้ชื่อว่า ?กายูโมล แอสมา ?ซึ่งเป็นคัมภีร์แรกที่ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจที่สุด ?พระองค์ทรงพยากรณ์การสละชีวิตของตนเองด้วยวรรคนี้?:? ข้าแต่พระผู้เป็นเศษที่เหลือของพระผู้เป็นเจ้า!? ข้าพเจ้าได้เสียสละตนเองเพื่อพระองค์เท่านั้น ?ข้าพเจ้ายอมรับการสาปแช่งทั้งหลายเพื่อเห็นแก่พระองค์ ?และไม่ปรารถนาสิ่งใดนอกจากการสละชีวิตในหนทางแห่งความรักของพระองค์ ?พยานที่เพียงพอสำหรับข้าพเจ้าคือพระผู้เป็นเจ้า พระผู้ทรงความประเสริฐ ?พระผู้ทรงคุ้มครอง พระผู้ดำรงอยู่ก่อนยุคสมัย!

ทำนองเดียวกันในการตีความอักษร ?ฮา ??พระองค์ปรารถนาจะสละชีวิตโดยกล่าวว่า?:? เราคิดว่าเราได้ยินสุรเสียงร้องเรียกอยู่ในชีวิตส่วนลึกที่สุดของเรา? จงเสียสละสิ่งที่เจ้ารักมากที่สุดในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า ?ดังที่อิหม่ามฮุสเซน ขอสันติสุขจงมีแด่เขา ได้สละชีวิตของเขาเพื่อเห็นแก่เรา ? และหากเราไม่คำนึงถึงความลึกลับที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ?พระผู้กุมชีวิตของเราไว้ระหว่างมือของพระองค์เป็นพยาน ?ถึงแม้ว่ากษัตริย์ทั้งหมดของโลกจะรวมตัวกัน พวกเขาก็ไม่สามารถเอาไปจากเราได้แม้อักษรเดียว ?และคนรับใช้เหล่านี้ซึ่งไม่คู่ควรที่จะได้รับความสนใจและแท้จริงแล้วเป็นพวกที่ถูกรังเกียจ จะยิ่งไม่สามารถเพียงไหน…เพื่อว่าทุกคนจะรู้ว่าเราอดทน ?ยอมจำนน และเสียสละตนเองแค่ไหนในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า

พระผู้เปิดเผยวาทะดังกล่าวจะได้รับการพิจารณาได้หรือว่า ?เดินอยู่ในหนทางอื่นนอกจากหนทางของพระผู้เป็นเจ้า และปรารถนาสิ่งอื่นนอกจากความยินดีของพระองค์ ??ในวจนะท่อนนี้มีลมหายใจแห่งความปล่อยวางปกปิดไว้ ซึ่งหากหายใจเต็มที่มายังโลก ทุกชีวิตจะสละชีวิตและเสียสละวิญญาณของตน? จงใคร่ครวญดูความประพฤติที่เลวทรามของประชาชนรุ่นนี้ ?และเป็นพยานต่อความอกตัญญูอันเหลือเชื่อของพวกเขา จงสังเกตดูว่าพวกเขาได้ปิดตาตัวเองต่อความรุ่งโรจน์ทั้งหมดนี้อย่างไร ?และกำลังไขว่คว้าซากสัตว์ที่เหม็นเน่าอย่างน่าเวทนา ซึ่งจากท้องของซากสัตว์เหล่านี้มีเสียงร้องขึ้นมาจากสสารของผู้ซื่อสัตย์ที่ถูกกลืน ?และกระนั้นพวกเขาตะโกนคำใส่ร้ายพระผู้เป็นอรุโณทัยแห่งความวิสุทธิ์ทั้งหลายอย่างไม่สมควรเช่นไร ?ดังนี้เราเล่าให้เจ้าฟังสิ่งที่น้ำมือของพวกไม่มีศาสนาได้กระทำ ?ผู้ซึ่งในวันแห่งการฟื้นคืนชีพได้หันหน้าหนีไปจากการมาปรากฏองค์ของพระผู้เป็นเจ้า ?ผู้ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ทรมานด้วยไฟแห่งความเชื่อที่ผิดของพวกเขาเอง ?และพระองค์ได้เตรียมการลงโทษไว้สำหรับพวกเขาในโลกหน้า ซึ่งจะกลืนกินทั้งร่างกายและวิญญาณของพวกเขา ?เพราะคนเหล่านี้กล่าวว่า?:? พระผู้เป็นเจ้าไร้อานุภาพ ?และมือแห่งความปรานีของพระองค์ถูกล่าม

ความแน่วแน่ในศาสนาคือข้อยืนยันที่แน่นอนและหลักฐานที่รุ่งโรจน์ของสัจธรรม ?ดังที่ ?ตราประทับของศาสนทูตทั้งหลาย ?ทรงกล่าวว่า?:? วจนะสองท่อนได้ทำให้เราแก่ ??วจนะทั้งสองท่อนนี้ชี้บ่งความไม่ผันแปรในศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า ?ดังที่พระองค์ทรงกล่าวว่า?:? จงมีความแน่วแน่ตามที่เจ้าได้รับบัญชา ?(โกรอ่าน 11:113)

และบัดนี้จงพิจารณาดูว่า ?ซัดเดร่ย์แห่งเรซวานของพระผู้เป็นเจ้านี้ในวัยหนุ่มเต็มที่ ?ได้ลุกขึ้นประกาศศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าอย่างไร จงมองดูว่าพระผู้ทรงความงามของพระผู้เป็นเจ้านี้ได้เปิดเผยความแน่วแน่เช่นไร ?ทั้งโลกได้ลุกขึ้นขัดขวางพระองค์แต่ก็ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง พวกเขาประหัตประหารซัดเดร่ย์แห่งความความวิสุทธิ์นี้ยิ่งรุนแรงเท่าไร ?ความศรัทธาของพระองค์ก็ยิ่งเพิ่มขึ้น และเปลวไฟแห่งความรักของพระองค์ก็ลุกอย่างสว่างไสวยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นที่ประจักษ์ และไม่มีใครโต้แย้งความจริงนี้ ?ในที่สุดพระองค์ยอมสละวิญญาณของตนและบินขึ้นไปสู่อาณาจักรเบื้องบน

และหลักฐานส่วนหนึ่งของสัจธรรมแห่งการปรากฏองค์ของพระองค์คือ ?อำนาจเหนือกว่า อานุภาพเหนือธรรมดาและความเป็นใหญ่ที่พระองค์ พระผู้เปิดเผยชีวิตและเป็นพระศาสดาของพระผู้เป็นที่บูชา ?ได้เปิดเผยไปทั่วโลกโดยลำพังและไม่ได้รับการช่วยเหลือ?ทันใดที่พระผู้ทรงความงามนิรันดร์นี้เปิดเผยตนเองในเมืองชีราซในปีหกสิบ ?และฉีกม่านแห่งการปกปิดจนขาดสะบั้น สัญลักษณ์ของอิทธิพลเหนือกว่า อำนาจ ?อธิปไตยและอานุภาพ ที่มาจากพระผู้เป็นสาระของสาระทั้งหลาย ทะเลของทะเลทั้งหลาย ?เป็นที่เห็นชัดในทุกดินแดนอย่างมากมาย จนเครื่องหมาย หลักฐาน สัญลักษณ์และข้อยืนยันของพระผู้เป็นดวงอาทิตย์แห่งธรรมนี้ปรากฏขึ้นในทุกเมือง ?ผู้ที่มีหัวใจบริสุทธิ์และเมตตามากมายเพียงไร สะท้อนแสงของดวงอาทิตย์นิรันดร์นี้อย่างซื่อสัตย์ และความรู้เอนกอนันต์เพียงไหนมาจากมหาสมุทรแห่งอัจฉริยภาพสวรรค์นี้ ?ซึ่งห้อมล้อมทุกชีวิต!? ในทุกเมืองนักบวชและเจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งหมดลุกขึ้นขัดขวางและสกัดพวกเขา ?พร้อมจะใช้ความประสงค์ร้าย ความริษยา และการวางอำนาจบาตรใหญ่เพื่อปราบปรามพวกเขา ?ดวงวิญญาณบริสุทธิ์ผู้เป็นสาระของความยุติธรรมจำนวนมากมายเพียงไร ถูกกล่าวหาว่าวางอำนาจบาตรใหญ่และถูกสังหาร!? ผู้เป็นร่างของความบริสุทธิ์มากมายเพียงไหน ?ที่มิได้แสดงสิ่งใดนอกจากความรู้ที่แท้จริงและการกระทำที่ไม่ด่างพร้อย ?ต้องตายอย่างเจ็บปวด!? กระนั้นก็ตามผู้บริสุทธิ์เหล่านี้แต่ละคนหายใจพระนามของพระผู้เป็นเจ้าจนวินาทีสุดท้าย ?และเหินอยู่ในอาณาจักรแห่งการยอมจำนน ดังกล่าวนี้คืออำนาจและอิทธิพลที่พระองค์ใช้เปลี่ยนแปลงพวกเขา ?จนพวกเขาไม่ปรารถนาสิ่งใดนอกจากพระประสงค์ของพระองค์ และระลึกถึงพระองค์ด้วยวิญญาณของตน

จงใคร่ครวญดู?:?ใครในโลกนี้หรือที่สามารถแสดงอานุภาพเหนือธรรมดาและอิทธิพลแทรกซอนดังกล่าว ??หัวใจที่ไม่ด่างพร้อยและดวงวิญญาณที่บริสุทธิ์ทั้งหมดเหล่านี้ได้ตอบสนองต่อโองการเรียกตัวของพระองค์ด้วยการยอมจำนนอย่างสิ้นเชิง ?แทนที่จะบ่น พวกเขาขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า และท่ามกลางความมืดมนที่ปวดร้าว พวกเขาไม่เปิดเผยสิ่งใดนอกจากการยอมตามพระประสงค์ของพระองค์อย่างเบิกบาน ?เป็นที่ประจักษ์ว่าประชาชนทั้งหมดบนพิภพเกลียดพวกเขาอย่างไม่ผ่อนผันเพียงไร ประสงค์ร้ายและชังพวกเขาอย่างเคืองแค้นเพียงไหน พวกเขาถือว่าการประหัตประหารและความเจ็บปวดที่กระทำต่อผู้บริสุทธิ์และมีธรรมเหล่านี้ ?คือวิธีไปสู่ความรอดพ้น ความเจริญรุ่งเรืองและความสำเร็จที่ยั่งยืน ตั้งแต่สมัยของอดัมโลกเคยเป็นพยานต่อความโกลาหลและอลหม่านที่รุนแรงเช่นนี้หรือ ?แม้ความทรมานทั้งหมดที่ได้รับและความเดือดร้อนนานัปการที่ทนมา ?พวกเขาก็ยังกลายเป็นขี้ปากและจุดหมายของการสาปแช่งทุกแห่งหน เราคิดว่าความอดทนเปิดเผยออกมาได้ก็ด้วยความแกร่งกล้าของพวกเขา และความซื่อสัตย์เองบังเกิดขึ้นได้ก็โดยการกระทำของพวกเขาเท่านั้น

จงไตร่ตรองเหตุการณ์อันเป็นประวัติศาสตร์เหล่านี้ในหัวใจของเจ้า ?เพื่อว่าเจ้าจะได้เข้าใจความยิ่งใหญ่และสังเกตเห็นความรุ่งโรจน์ที่ตรึงใจของการเปิดเผยพระธรรมครั้งนี้? เมื่อนั้นโดยกรุณาธิคุณของพระผู้ทรงปรานี ?วิญญาณแห่งความศรัทธาจะถูกหายใจเข้าไปในชีวิตของเจ้า ?และเจ้าจะได้ครองที่นั่งแห่งความมั่นใจและอยู่บนนั้น พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวเป็นพยานให้เรา!? หากเจ้าไตร่ตรองสักพัก ?เจ้าจะยอมรับว่านอกจากสัจธรรมทั้งหมดเหล่านี้ที่พิสูจน์ให้เห็นและหลักฐานทั้งหลายที่กล่าวมา ?การปฎิเสธ การสาปแช่งและการประณามโดยประชาชนของโลกในตัวมันเอง คือข้อพิสูจน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและข้อยืนยันที่แน่นอนที่สุดของสัจธรรมของวีรบุรุษเหล่านี้ในสนามแห่งการยอมจำนนและการปล่อยวาง ?เมื่อใดก็ตามที่เจ้าทำสมาธิใคร่ครวญดูคำพูดหาเรื่องต่างๆ ที่กล่าวโดยประชาชนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนักบวช ผู้รู้หรือคนเขลา เจ้าจะมั่นคงแน่วแน่ในศาสนายิ่งขึ้น เพราะสิ่งใดก็ตามที่บังเกิดขึ้น ?พระผู้เป็นเหมืองแห่งความรู้สวรรค์และเป็นผู้รับกฎนิรันดร์ของพระผู้เป็นเจ้า ได้พยากรณ์ไว้แล้ว

แม้ว่าเราไม่มีเจตนาจะกล่าวถึงคำพยากรณ์ต่างๆ ของยุคที่ผ่านมา ?กระนั้นเพราะความรักของเราที่มีต่อเจ้า เราจะกล่าวถึงบางคำพยากรณ์ที่มีความเกี่ยวโยงกับการอภิปรายเหตุผลของเรา ?อย่างไรก็ตามเราไม่รู้สึกว่าคำพยากรณ์ดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องด้วยสิ่งที่เรากล่าวไว้แล้วเพียงพอสำหรับโลกและทุกสิ่งที่อยู่ในโลก ?ความจริงแล้วคัมภีร์ทั้งหมดและความลึกลับในคัมภีร์เหล่านี้ถูกกล่าวไว้อย่างรวบรัดในเรื่องราวอย่างย่อนี้ ถึงขนาดที่ว่าหากบุคคลหนึ่งไตร่ตรองสิ่งนี้ในหัวใจสักพัก ?เขาจะค้นพบความลึกลับทั้งหลายของพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าจากทั้งหมดที่กล่าวมา และจะเข้าใจความหมายของสิ่งใดก็ตามที่กษัตริย์ในอุดมคติแสดงให้ปรากฏ เนื่องด้วยประชาชนมีความเข้าใจและสถานะต่างกัน ?เราจะขอกล่าวถึงบางคำพยากรณ์ เพื่อว่าคำพยากรณ์เหล่านี้จะให้ความไม่ผันแปรแก่ดวงวิญญาณที่หวั่นไหว ให้ความสงบแก่จิตใจที่วิตก ดังนี้ข้อยืนยันของพระผู้เป็นเจ้าสำหรับประชาชนทั้งคนชั้นสูงและคนต่ำต้อย ??จะครบถ้วนสมบูรณ์

หนึ่งในคำพยากรณ์ดังกล่าวคือ ?และเมื่อพระผู้เป็นมาตรฐานแห่งสัจธรรมถูกแสดงให้เห็นชัด ?ประชาชนของทั้งโลกตะวันออกและโลกตะวันตกจะสาปแช่งพระองค์ ?การดื่มอมฤตแห่งการละวาง การไปให้ถึงยอดอันสูงส่งแห่งความปล่อยวาง ?และการทำสมาธิใคร่ครวญที่กล่าวไว้ในวจนะ ?การใคร่ครวญชั่วโมงเดียวดีกว่าการบูชาที่เคร่งศาสนาเจ็ดสิบปี ?เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อว่าความลับของความประพฤติที่น่าสมเพชของประชาชนจะถูกค้นพบ ?ประชาชนที่แม้ว่ารักและปรารถนาสัจธรรมที่ตนนับถือ ก็สาปแช่งบรรดาสาวกของพระผู้เป็นสัจธรรมเมื่อพระองค์ถูกแสดงให้เห็นชัด คำพยากรณ์ที่กล่าวไว้ข้างบนเป็นพยานต่อสัจธรรมนี้ เป็นที่ประจักษ์ว่าเหตุผลสำหรับความประพฤติดังกล่าวมิใช่อื่นใดนอกจากการล้มเลิกระเบียบ ?ธรรมเนียม นิสัยและพิธีกรรมที่ครอบพวกเขาอยู่ ไม่เช่นนั้นแล้วหากพระผู้ทรงความงามของพระผู้ทรงปรานีทำตามระเบียบและธรรมเนียมเดียวกันที่ใช้กันอยู่ในหมู่ประชาชน และหากพระองค์อนุมัติการปฏิบัติสิ่งเหล่านั้น ความขัดแย้งและความมาดร้ายดังกล่าวย่อมไม่เป็นที่เห็นชัดในโลก ?คำพยากรณ์ที่ประเสริฐนี้ได้รับการยืนยันและพิสูจน์โดยวจนะเหล่านี้ที่พระองค์เปิดเผยไว้ว่า?:? วันที่พระผู้เรียกตัวจะเรียกให้มารับเรื่องที่เข้มงวด ?(โกรอ่าน 54:6)

เสียงร้องเรียกของพระผู้นำข่าวสวรรค์จากเหนือม่านแห่งความรุ่งโรจน์ ?ซึ่งกำลังเรียกมนุษยชาติให้สละทุกสิ่งที่พวกเขายึดติดโดยสิ้นเชิงนั้น ?แทงกิเลสในใจของพวกเขา และนี่คือสาเหตุของความยุ่งยากอันขมขื่นและความอลหม่านที่รุนแรงที่เกิดขึ้น ?จงพิจารณาดูหนทางของประชาชน พวกเขาละเลยคำพยากรณ์ที่มีหลักฐานเหล่านี้ที่ล้วนแต่บรรลุแล้ว และไปยึดถือคำพยากรณ์ที่น่ากังขาว่าเชื่อถือได้หรือไม่ ?แล้วถามว่าทำไมยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นตามคำพยากรณ์ และกระนั้นสิ่งต่างๆ ที่พวกเขานึกไม่ถึงถูกแสดงให้เห็นชัดแล้ว เครื่องหมายและสัญลักษณ์ของพระผู้เป็นสัจธรรมส่องแสงราวกับดวงอาทิตย์เที่ยงวัน ?และกระนั้นประชาชนกำลังเร่ร่อนอย่างสับสนไร้จุดหมายในที่รกร้างแห่งความโง่เขลาเบาปัญญา แม้ว่ามีคำพยากรณ์อันเป็นที่ยอมรับและวจนะท่อนต่างๆ ในคัมภีร์โกรอ่านที่ชี้บ่งศาสนาใหม่ กฎใหม่ และการเปิดเผยพระธรรมครั้งใหม่ ?ประชาชนรุ่นนี้ก็ยังคาดหวังรอคอยที่จะได้เห็นพระศาสดาตามพันธสัญญา ที่จะมาสนับสนุนกฎของยุคศาสนาของพระโมฮัมหมัด ทำนองเดียวกันชาวยิวและคริสเตียนก็ใช้ข้อโต้แย้งแบบนี้

หนึ่งในวาทะที่คาดการณ์ถึงกฎใหม่และการเปิดเผยพระธรรมครั้งใหม่ในอนาคตคือวรรคเหล่านี้ใน ?บทอธิษฐานแห่งโนดเบห์ ?:? พระผู้ถูกถนอมไว้ให้มาฟื้นฟูบทบัญญัติและกฎอยู่ที่ไหน ??พระผู้มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงศาสนาและสาวกทั้งหลายอยู่ที่ไหน? ??ทำนองเดียวกันอิหม่ามอาลีเปิดเผยไว้ในซิยารัท?(ธรรมจารึกแห่งการเยือน)?:? สันติสุขจงมีแด่พระผู้เป็นสัจธรรมใหม่ ??เมื่อถูกถามเกี่ยวกับลักษณะของอิหม่ามเมห์ดิ ?อาบู อับดิลลาห์ตอบว่า ?พระองค์จะทำสิ่งที่พระโมฮัมหมัดผู้เป็นธรรมทูตของพระผู้เป็นเจ้าเคยทำ ?และจะลบล้างสิ่งที่มีมาก่อนพระองค์ ดังที่ธรรมทูตของพระผู้เป็นเจ้าได้ลบล้างวิถีทางต่างๆ ของธรรมทูตทั้งหลายที่มาก่อน

จงมองดูว่า ?แม้ว่ามีคำพยากรณ์เหล่านี้และที่คล้ายกัน ?พวกเขาก็ยังโต้เถียงอย่างเหลวไหลเพียงไรว่า ?กฎต่างๆ ที่เปิดเผยไว้แต่ก่อนต้องไม่ถูกเปลี่ยนแปลง ?และกระนั้นจุดหมายของการเปิดเผยพระธรรมทุกครั้งมิใช่เพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยใจคอทั้งหมดของมนุษยชาติหรอกหรือ ?ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะแสดงออกมาทั้งภายนอกและภายใน จะมีผลต่อจิตใจภายในและสภาพความเป็นอยู่ภายนอก ?เพราะหากอุปนิสัยใจคอของมนุษยชาติไม่ถูกเปลี่ยนแปลง ?ความเปล่าประโยชน์ของพระศาสดาสากลทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้าจะเห็นได้ชัด ใน ?อวาลิม ?ซึ่งเป็นหนังสือที่เชื่อถือได้และรู้จักกันดี เป็นที่ลิขิตไว้ว่า?:? ชายหนุ่มจากบานีฮาชิมจะถูกแสดงให้เห็นชัด ?เขาจะเปิดเผยคัมภีร์เล่มใหม่และเผยแพร่กฎใหม่ ??จากนั้นตามมาด้วยวจนะเหล่านี้?:? ศัตรูส่วนใหญ่ของพระองค์จะเป็นนักบวช ??ในอีกวรรคหนึ่งมีการเล่าเกี่ยวกับอิหม่ามซาเดคผู้เป็นบุตรชายของพระโมฮัมหมัดว่า ?เขาพูดไว้ดังนี้?:? ชายหนุ่มคนหนึ่งจะปรากฏจากบานีฮาชิม ?เขาจะบัญชาประชาชนให้ซื่อสัตย์ต่อเขา คัมภีร์ของเขาจะเป็นคัมภีร์เล่มใหม่ ?ซึ่งเขาจะเรียกประชาชนให้มาปฏิญาณความศรัทธา การเปิดเผยพระธรรมของเขานั้นเข้มงวดสำหรับชาวอาหรับ ?หากเจ้าได้ยินเกี่ยวกับเขา จงรีบไปหาเขา ?พวกเขาปฏิบัติตามคำสั่งการของบรรดาอิหม่ามของศาสนาและตะเกียงแห่งความมั่นใจได้ดีเพียงไร!? แม้ว่าเป็นที่กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า?:? หากเจ้าได้ยินว่าชายหนุ่มจากบานีฮาชิมมาปรากฏ ?และเรียกประชาชนให้มาหาคัมภีร์ของพระผู้เป็นเจ้าเล่มใหม่ ?กฎใหม่ของพระผู้เป็นเจ้า จงรีบไปหาเขา ?กระนั้นพวกเขาทั้งหมดกลับประกาศว่า ?พระผู้เป็นนายแห่งชีวิตนั้นเป็นพวกไม่มีศาสนาและเป็นคนนอกรีต พวกเขาไม่รีบไปหาแสงสว่างฮาชิเมทนั้น ?พระศาสดาของพระผู้ป็นเจ้านั้น ยกเว้นไปหาด้วยดาบที่ชักออกมาและหัวใจที่เต็มไปด้วยความประสงค์ร้าย ยิ่งไปกว่านั้นจงสังเกตดูว่าความเกลียดชังของเหล่านักบวชถูกกล่าวไว้อย่างชัดแจ้งเพียงไรในหนังสือต่างๆ ?แม้ว่ามีคำพยากรณ์ที่มีนัยสำคัญและเป็นที่ประจักษ์เหล่านี้ มีคำพาดพิงที่แน่ใจได้และโต้แย้งไม่ได้เหล่านี้ ประชาชนก็ได้ปฏิเสธพระผู้เป็นสาระที่สะอาดหมดจดแห่งความรู้และวาทะศักดิ์สิทธิ์ แล้วหันไปหาบรรดาผู้อรรถาธิบายสนับสนุนการพยศและความหลงผิด ?ทั้งๆ ที่มีคำพยากรณ์ที่บันทึกไว้เหล่านี้และวาทะต่างๆ ที่เปิดเผยไว้ พวกเขาก็พูดแต่สิ่งที่กิเลสที่เห็นแก่ตัวของตนเองจูงใจ และหากพระผู้เป็นสาระของสัจธรรมเปิดเผยสิ่งที่ขัดกับความต้องการของพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาอยากจะให้เป็น พวกเขาจะประณามพระองค์ทันทีว่าเป็นคนไม่มีศาสนาและจะคัดค้านว่า?:? สิ่งนี้ขัดกับคำพูดของบรรดาอิหม่ามของศาสนาและผู้เป็นแสงสว่างที่อำไพ ?ไม่มีสิ่งดังกล่าวกำหนดไว้โดยกฎที่ละเมิดไม่ได้ของเรา ?แม้ดังนี้ก็ตามในยุคนี้ ?ผู้น่าสงสารที่จะต้องตายเหล่านี้ก็ยังใช้ถ้อยคำที่ไร้ค่าดังกล่าว

และบัดนี้จงพิจารณาอีกคำพยากรณ์หนึ่ง ?และสังเกตดูว่าสิ่งทั้งหมดเหล่านี้ถูกทำนายไว้อย่างไร ?ใน ?อาร์บาอิน ?มีการบันทึกไว้ว่า?:? จะมีชายหนุ่มมาจากบานีฮาชิม ?เขาจะเปิดเผยกฎใหม่ๆ เขาจะเรียกประชาชนมาหาเขา ?แต่จะไม่มีใครเอาใจใส่เสียงร้องเรียกของเขา ศัตรูของเขาส่วนใหญ่จะเป็นนักบวช ?พวกเขาจะไม่เชื่อฟังคำบัญชาของเขาแต่จะคัดค้านว่า?:? สิ่งนี้ขัดกับสิ่งที่ตกทอดมายังเราโดยบรรดาอิหม่ามของศาสนา? ??ในยุคนี้ทุกคนกำลังเอาถ้อยคำเดียวกันนี้มาพูดซ้ำหารู้ไม่ว่า ?พระองค์ประทับอยู่บนบัลลังก์แห่ง ?พระองค์ทำตามสิ่งที่พระองค์ประสงค์ ??และอยู่บนที่นั่งแห่ง ?พระองค์บัญญัติสิ่งที่พระองค์ปรารถนา

ไม่มีความเข้าใจใดสามารถเข้าใจธรรมชาติของการเปิดเผยพระธรรมของพระองค์ ?ไม่มีความรู้ใดเข้าใจศาสนาของพระองค์ได้บริบูรณ์ คำพูดทั้งหมดขึ้นกับการอนุมัติของพระองค์ ?และทุกสิ่งจำเป็นต้องอาศัยศาสนาของพระองค์ ทุกสิ่งนอกจากพระองค์ถูกสร้างขึ้นมาโดยบัญชาของพระองค์ ?เคลื่อนไหวและมีชีวิตโดยกฎของพระองค์ พระองค์คือผู้เปิดเผยความลึกลับสวรรค์และผู้อรรถาธิบายอัจฉริยภาพบรมโบราณที่ซ่อนเร้น ?ดังนี้เป็นที่เล่าไว้ใน ?บีฮารูลอันวาร์ ??อวาลิม ?และ ?ยานบู ?ของอิหม่ามซาเดคผู้เป็นบุตรของพระโมฮัมหมัดว่า เขาได้กล่าววจนะเหล่านี้?:? ความรู้คืออักษรยี่สิบเจ็ดตัว ?ทั้งหมดที่ศาสนทูตทั้งหลายเปิดเผยไว้คือสองตัวอักษรจากยี่สิบเจ็ดตัวนี้ ?ตราบจนบัดนี้ไม่มีใครรู้มากไปกว่าสองตัวอักษรนี้ แต่เมื่ออิหม่ามกาอิมปรากฏขึ้นมา ?พระองค์จะทำให้อักษรอีกยี่สิบห้าตัวที่เหลือเป็นที่เห็นชัด ?จงพิจารณาดูว่า เขาได้ประกาศให้ความรู้ประกอบด้วยอักษรยี่สิบเจ็ดตัว ?และถือว่าศาสนทูตทั้งหมดนับแต่อดัมจนถึง ?ตราประทับ ?เป็นผู้อรรถาธิบายเพียงสองตัวอักษรจากยี่สิบเจ็ดตัวนี้ และถูกส่งลงมากับอักษรสองตัวนี้ ?เขายังกล่าวด้วยว่าอิหม่ามกาอิมจะเปิดเผยอักษรอีกยี่สิบห้าตัวที่เหลือ จงมองดูจากวาทะนี้ว่าสถานะของพระองค์ยิ่งใหญ่และสูงส่งเพียงไร!? ตำแหน่งของพระองค์เป็นเลิศกว่าตำแหน่งของศาสนทูตทั้งหมด ?และการเปิดเผยพระธรรมของพระองค์อยู่เหนือความเข้าใจของบรรดาผู้ที่พระศาสดาเหล่านั้นเลือกสรร ?การเปิดเผยพระธรรมที่ศาสนทูตทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้า เหล่านักบุญและผู้ที่พระองค์เลือกสรร ไม่ได้รับทราบหรือไม่ได้เปิดเผย ?ซึ่งเป็นไปตามโองการที่ไม่อาจหยั่งรู้ของพระผู้เป็นเจ้า ประชาชนที่ใจร้ายและเลวทรามเหล่านี้ได้พยายามวัดการเปิดเผยพระธรรมนี้ด้วยปัญญาที่บกพร่อง ?ด้วยวิชาและความเข้าใจที่บกพร่องของตน หากการเปิดเผยพระธรรมนี้ไม่เข้ากับมาตรฐานของพวกเขา พวกเขาจะปฏิเสธการเปิดเผยพระธรรมนี้ทันที ?เจ้าคิดหรือว่าพวกเขาส่วนใหญ่ได้ยินหรือเข้าใจ ??พวกเขาเป็นเสมือนคนดุร้าย!? ใช่แล้ว ?พวกเขาหลงไกลออกไปยิ่งขึ้นจากหนทาง! ?(โกรอ่าน 25:44)

เราสงสัยว่าพวกเขาอธิบายคำพยากรณ์ที่กล่าวมาข้างบนอย่างไร ??คำพยากรณ์ที่แน่ใจได้เหล่านี้คาดการณ์ถึงการเปิดเผยสิ่งที่ต่างๆ ที่ไม่อาจหยั่งรู้ ?และการบังเกิดขึ้นของเหตุการณ์ใหม่ๆ ที่น่าพิศวงในยุคของพระองค์ เหตุการณ์ต่างๆ ที่น่าพิศวงดังกล่าวเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงในหมู่ประชาชน ?จนนักบวชและบัณฑิตทั้งหมดตัดสินประหารชีวิตพระองค์และสหายทั้งหลายของพระองค์ และประชาชนทั้งหมดของโลกลุกขึ้นต่อต้านพระองค์ ดังที่บันทึกไว้ใน ?คาฟี ?ในคำพยากรณ์ของ ?จาเบร์ ??ใน ?ธรรมจารึกแห่งฟาห์ติมี ?เกี่ยวกับลักษณะของอิหม่ามกาอิมว่า?:? พระองค์จะแสดงความสมบูรณ์ของพระโมเสส ?ความอำไพของพระเยซู และความอดทนของยอบ บรรดาผู้ที่พระองค์เลือกสรรจะถูกเหยียดหยามในยุคของพระองค์ ?ศีรษะของพวกเขาจะถูกแลกเปลี่ยนเป็นของขวัญ ?เสมือนกับศีรษะของชาวเติร์คและชาวเดลาเมทที่ถูกแลกเปลี่ยนเป็นของขวัญ ?พวกเขาจะถูกสังหารและเผา ความกลัวจะครอบงำพวกเขา ความยุ่งใจและความหวั่นใจจะทำให้พวกเขารู้สึกสยองในหัวใจ ?พิภพจะถูกย้อมสีด้วยเลือดของพวกเขา ผู้หญิงของพวกเขาจะเศร้าโศกและร่ำไห้ บุคคลเหล่านี้คือสหายของเราอย่างแท้จริง! ??จงพิจารณาดู ?ไม่มีแม้แต่อักษรเดียวในคำพยากรณ์นี้ที่ยังไม่บรรลุ ?พวกเขาหลั่งเลือดที่วิสุทธิ์ในเกือบทุกสถานที่ พวกเขาถูกจับเป็นเชลยในทุกเมือง ?ถูกจับแห่ไปทั่วทั้งมณฑลต่างๆ และบางคนถูกเผาไฟ และกระนั้นไม่มีใครหยุดเพื่อใคร่ครวญดูว่า ?หากอิหม่ามกาอิมเปิดเผยกฎและบทบัญญัติของยุคศาสนาก่อน เช่นนั้นแล้วทำไมจึงมีการบันทึกคำพยากรณ์ดังกล่าว ?และทำไมจึงเกิดความขัดแย้งและการวิวาทถึงขั้นที่ประชาชนถือว่า การสังหารสหายเหล่านี้เป็นข้อบังคับสำหรับพวกเขา ?และลงความเห็นว่าการประหัตประหารดวงวิญญาณที่วิสุทธิ์เหล่านี้ คือวิธีการเข้าถึงความโปรดปรานสูงสุด

ยิ่งไปกว่านั้นจงสังเกตดูว่า ?สิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นและการกระทำดังกล่าว ?ล้วนถูกกล่าวไว้ในคำพยากรณ์เมื่อก่อนอย่างไร ดังที่บันทึกไว้ใน ?ราวดิเยคาฟี ?เกี่ยวกับ ?ซาวรา ??ใน ?ราวดิเยคาฟี ?มีการเล่าถึงโมอาวิเยห์บุตรของวาห์ฮับว่า อาบู อับดิลลาห์ได้พูดว่า?:? เจ้ารู้จักซาวราหรือ? ??ข้าพเจ้ากล่าวว่า?:? ขอให้ชีวิตของข้าพเจ้าเป็นพลีแด่ท่าน!? พวกเขากล่าวว่านั่นคือแบกแดด ??เขาตอบว่า ?ไม่ใช่ ?และจากนั้นกล่าวเพิ่มเติมว่า?:? เจ้าได้เข้าไปในเมืองเรย์หรือยัง? ?(เมืองโบราณใกล้กับที่สร้างเมืองเตหะราน)? ซึ่งข้าพเจ้าตอบว่า?:? ใช่แล้ว ?ข้าพเจ้าเข้าไปในเมืองนี้แล้ว ??ครั้นแล้วเขาสอบถามว่า?:? เจ้าไปที่ตลาดวัวควายหรือเปล่า? ??ข้าพเจ้าตอบว่า ?ไป ?เขากล่าวว่า?:? เจ้าเห็นภูเขาดำด้านขวามือของถนนหรือไม่ ??ซาวราคือสถานที่เดียวกัน ที่นั่นชายแปดสิบคนซึ่งเป็นลูกของหลายคน ?จะถูกสังหาร ซึ่งพวกเขาทุกคนคู่ควรที่จะถูกเรียกว่ากาหลิบ ?ข้าพเจ้าถามว่า ?ใครจะสังหารพวกเขา? ??เขาตอบว่า ?บุตรหลานแห่งเปอร์เซีย

ดังกล่าวคือสภาพและชะตาของสหายทั้งหลายของพระองค์ที่ทำนายไว้ในสมัยก่อน ?และบัดนี้จงสังเกตดูว่าตามคำพยากรณ์นี้ ซาวรามิใช่อื่นใดนอกจากดินแดนเรย์ ?ในสถานที่นั้นสหายทั้งหลายของพระองค์ถูกสังหารอย่างทรมานแสนสาหัส และผู้วิสุทธิ์ทั้งหมดเหล่านี้ได้สละชีวิตด้วยน้ำมือของชาวเปอร์เซียตามที่บันทึกไว้ในคำพยากรณ์ ?เจ้าได้ยินเรื่องนี้แล้วและทุกคนให้การยืนยัน เช่นนั้นทำไมพวกที่คลานเหมือนตัวหนอนเหล่านี้ไม่หยุดเพื่อทำสมาธิใคร่ครวญดูคำพยากรณ์เหล่านี้ ที่ล้วนเห็นชัดประดุจดวงอาทิตย์ที่รุ่งโรจน์เวลาเที่ยงวัน ??ด้วยเหตุผลใดที่พวกเขาไม่ยอมรับพระผู้เป็นสัจธรรม และยอมให้บางคำพยากรณ์ที่พวกเขาไม่เข้าใจนัย มายับยั้งตนเองมิให้ยอมรับการเปิดเผยพระธรรมของพระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ทรงความงามของพระองค์ และพาพวกเขาไปอาศัยอยู่ในหุบเหวนรก ??สิ่งทั้งหลายดังกล่าวมิได้มีเหตุมาจากอื่นใดนอกจากความไม่ซื่อสัตย์ของบรรดานักบวชและบัณฑิตแห่งยุคนี้ อิหม่ามซาเดคผู้เป็นบุตรของพระโมฮัมหมัดกล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ว่า?:? บรรดาบัณฑิตของศาสนาในยุคนั้นจะเป็นนักบวชที่ชั่วร้ายที่สุดภายใต้เงาของนภา ?ความมาดร้ายจะออกมาจากพวกเขาและจะกลับไปหาพวกเขา

เราขอวิงวอนบรรดาผู้รู้แห่งคัมภีร์บายันอย่าเอาเยี่ยงอย่างเช่นนี้ ?และเมื่อถึงเวลาของโมสทากอส? อย่าทำร้ายพระองค์ผู้ทรงเป็นสาระของพระผู้เป็นเจ้า ?เป็นแสงสว่างสวรรค์ เป็นอนันตกาลที่ตายตัว เป็นตอนเริ่มต้นและตอนจบของพระศาสดาทั้งหลายของพระผู้ที่มองไม่เห็น ?อย่างที่ทำกันในยุคนี้ เราขอร้องพวกเขาอย่าได้วางใจในสติปัญญา ความเข้าใจและวิชาของตน หรือโต้เถียงพระผู้เปิดเผยความรู้สวรรค์อันไม่มีสิ้นสุด ?และกระนั้นแม้ว่ามีคำตักเตือนทั้งหมดเหล่านี้ เราก็สังเกตเห็นว่าชายที่มีตาเดียวคนหนึ่งซึ่งตัวเขาเองเป็นหัวหน้าของประชาชน กำลังลุกขึ้นด้วยความคิดร้ายต่อเราเป็นที่สุด ?เรามองเห็นล่วงหน้าว่าในทุกเมือง ประชาชนจะลุกขึ้นเพื่อปราบปรามพระผู้ทรงความงามที่วิสุทธิ์ สหายทั้งหลายของพระผู้เป็นนายแห่งชีวิตและเป็นยอดปรารถนาสุดท้ายของมวลมนุษย์นี้ ?จะหนีหน้าผู้กดขี่และแสวงหาที่พักพิงจากเขาในที่รกร้าง ขณะที่บางคนจะยอมจำนนและเสียสละชีวิตในหนทางของพระองค์ด้วยความปล่อยวางอย่างสิ้นเชิง เราคิดว่าเราสามารถหยั่งเห็นผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเชื่อมั่นศรัทธาและเคร่งศาสนา ?จนผู้คนลงความเห็นว่าเป็นข้อบังคับที่จะต้องเชื่อฟังเขา ?และถือว่าจำเป็นที่จะต้องยอมจำนนต่อบัญชาของเขา ซึ่งเขาจะลุกขึ้นโจมตีพฤกษาสวรรค์ถึงราก ?และจะพยายามสุดความสามารถที่จะต่อต้านพระองค์ ดังกล่าวนี้คือหนทางของประชาชน!

เราขอหวังว่า ?ประชาชนแห่งคัมภีร์บายันจะเห็นแจ้ง ?จะเหินในอาณาจักรแห่งวิญญาณและอาศัยอยู่ในนั้น ?จะหยั่งเห็นพระผู้เป็นสัจธรรม และด้วยดวงตาที่หยั่งเห็นจะมองเห็นความจอมปลอมที่อำพราง ?อย่างไรก็ตามในวันเวลาเหล่านี้กลิ่นดังกล่าวของความริษยาฟุ้งกระจายไปอย่างที่ เราขอสาบาญต่อพระผู้อบรมทุกชีวิตที่มองเห็นและมองไม่เห็น ?ตั้งแต่เริ่มต้นการก่อตั้งโลกที่แม้จะไม่มีจุดเริ่มต้นจนกระทั่งปัจจุบัน ความประสงค์ร้าย ความอิจฉาและความเกลียดชังดังกล่าวไม่เคยมีมาก่อน ?และจะไม่มีให้เห็นในอนาคต เพราะประชาชนจำนวนหนึ่งที่ไม่เคยสูดสุคนธรสแห่งความยุติธรรม ได้ชูธงแห่งการปลุกระดมและรวมตัวกันต่อต้านเรา เราเป็นพยานต่อการคุกคามโดยหอกของพวกเขาจากรอบด้าน ?และเราเห็นลูกธนูของพวกเขาจากทุกทิศทาง ทั้งนี้แม้ว่าเราไม่เคยอยากให้ใครมาสรรเสริญหรือพยายามเป็นที่โปรดปรานกว่าใคร สำหรับทุกคนเราเป็นสหายที่เมตตาที่สุด เป็นมิตรที่รักใคร่และอดกลั้นที่สุด ?เมื่ออยู่กับคนยากไร้เราแสวงหามิตรภาพกับพวกเขา ในหมู่ผู้รู้และมีระดับเรายอมจำนน เราขอสาบาญต่อพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงองค์เดียว!? ความยุ่งยากและความทรมานต่างๆ ที่น้ำมือของศัตรูและประชาชนแห่งคัมภีร์ทำกับเรานั้นสาหัส ?กระนั้นทั้งหมดนี้เลือนหายไปสิ้นเมื่อเทียบกับสิ่งที่บังเกิดกับเราโดยน้ำมือของผู้ที่แสดงตัวเป็นมิตรของเรา

มีอะไรให้เราพูดอีก ??หากจักรวาลจ้องมองด้วยดวงตาแห่งความยุติธรรม ?จักรวาลนั้นจะไม่สามารถทานน้ำหนักของวาทะนี้!? ในช่วงเริ่มต้นของการมาถึงดินแดนนี้ ?เมื่อเราสังเกตเห็นเค้าลางของเหตุการณ์บางอย่างว่าใกล้จะเกิดขึ้น ?เราตัดสินใจที่จะจากไปก่อนที่เหตุการณ์เหล่านั้นจะเกิดขึ้น เราไปยังที่รกร้างว่างเปล่า ?แยกตัวอยู่ตามลำพังที่นั่นและใช้ชีวิตสันโดษที่นั่นเป็นเวลาสองปี?น้ำตาแห่งความปวดร้าวหลั่งออกมาจากดวงตาของเรา ?และมหาสมุทรแห่งความเจ็บปวดสาดซัดอยู่ในหัวใจที่ตกเลือดของเรา ?หลายคืนที่เราไม่มีอาหารยังชีพ หลายวันที่ร่างกายของเราไม่ได้พักผ่อน? พระผู้มีชีวิตของเราอยู่ระหว่างมือของพระองค์เป็นพยาน!? แม้ว่ามีความเดือดร้อนเหล่านี้หลั่งลงมาและมีความหายนะที่ไม่หยุดหย่อน ?วิญญาณของเราก็อยู่ในความเบิกบานอย่างเป็นสุข และชีวิตทั้งหมดของเราดีใจอย่างสุดจะอธิบาย ?เพราะในยามสันโดษเราไม่รับรู้ภัยหรือประโยชน์ สุขภาพหรือความเจ็บป่วย ของดวงวิญญาณใด?เราสนทนากับวิญญาณของเราโดยลำพัง ?ลืมโลกและทุกสิ่งที่อยู่ในโลก?อย่างไรก็ตามเราไม่รู้ว่าตาข่ายแห่งลิขิตสวรรค์กว้างใหญ่กว่าความคิดที่กว้างที่สุดของผู้ที่จะต้องตาย ?และลูกดอกแห่งโองการของพระองค์เหนือกว่าแผนที่กล้าหาญที่สุดของมนุษย์ ไม่มีใครสามารถหนีกับดักที่พระองค์วางไว้ ?ไม่มีวิญญาณใดได้ผ่อนคลายเว้นแต่โดยการยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระองค์ ความชอบธรรมของพระผู้เป็นเจ้าเป็นพยาน!? การถอนตัวของเราไม่คิดจะกลับมา ?และการแยกตัวออกไปของเราไม่หวังจะกลับมาอยู่ร่วมกันอีก?? จุดหมายเดียวที่เราจากไปคือเพื่อจะหลีกเลี่ยงการเป็นประเด็นของความร้าวฉานในหมู่ผู้ที่ซื่อสัตย์ ?เป็นบ่อเกิดของความโกลาหลสำหรับมิตรสหายของเรา เป็นวิธีการทำร้ายวิญญาณใด หรือเป็นเหตุของความเศร้าโศกของหัวใจใด ?เหนือจากนี้เราไม่มีเจตนาอื่นใด และนอกจากสิ่งเหล่านี้เราไม่มีจุดหมายอื่นใด ?และกระนั้นแต่ละคนก็วางอุบายตามความต้องการของตนเอง ?และไปตามความเพ้อฝันที่เหลวไหลของตนเอง จนกระทั่งถึงชั่วโมงที่จากแหล่งที่ลี้ลับมีคำบัญชาเรียกให้เรากลับไปยังที่ที่เรามา ?ด้วยยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระองค์ เรายอมตามคำสั่งนั้น

ปากกาใดสามารถเล่าสิ่งต่างๆ ที่เราเห็นเมื่อเรากลับมา!? สองปีผ่านไปซึ่งในระหว่างนี้ศัตรูทั้งหลายได้หาทางอย่างขยันขันแข็งไม่หยุดหย่อนที่จะกำจัดเรา ?ซึ่งทุกคนเป็นพยาน ถึงกระนั้นไม่มีใครในหมู่ผู้ที่ซื่อสัตย์ลุกขึ้นมาให้การช่วยเหลือเรา ไม่มีใครอยากจะช่วยปลดปล่อยเรา ?ไม่เพียงเท่านั้น แทนที่จะช่วยเหลือเรา ถ้อยคำและการกระทำของพวกเขากลับหลั่งความทุกข์โศกให้แก่วิญญาณของเราอย่างไม่ขาดสาย!? ท่ามกลางพวกเขาทั้งหมดเราเอาชีวิตเข้าเสี่ยงโดยยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระองค์อย่างสิ้นเชิง เพื่อว่าโดยความเมตตารักใคร่ของพระผู้เป็นเจ้าและกรุณาธิคุณของพระองค์ ?พระผู้เป็นอักษรที่ถูกเปิดเผยและเห็นชัดนี้ อาจจะได้สละชีวิตเป็นพลีในหนทางของพระผู้เป็นจุดปฐม ผู้เป็นพระวจนะที่ประเสริฐสุด พระผู้ซึ่งพระวิญญาณพูดโดยบัญชาของพระองค์เป็นพยาน ?หากมิใช่เพราะความปรารถนานี้ของวิญญาณของเรา เราจะไม่ชักช้าอยู่ในเมืองนี้อีกต่อไปแม้ชั่วขณะ ?พยานที่เพียงพอสำหรับเราคือพระผู้เป็นเจ้า ?เราขอจบการอภิปรายเหตุผลของเราด้วยวจนะเหล่านี้?:? ไม่มีอานุภาพหรือพลังใดนอกจากในพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น ???เราเป็นของพระผู้เป็นเจ้า และเราจะกลับไปสู่พระองค์

บรรดาผู้ที่มีหัวใจที่จะเข้าใจ ?บรรดาผู้ที่ได้ดื่มอมฤตแห่งความรัก ?ผู้ที่มิได้สนองความต้องการที่เห็นแก่ตัวของตนแม้ชั่วขณะ ?จะมองเห็นสัญลักษณ์ ข้อยืนยันและหลักฐานต่างๆ ที่โชติช่วงประดุจดวงอาทิตย์เที่ยงวัน ?ที่เป็นพยานต่อสัจธรรมของการเปิดเผยพระธรรมที่น่าพิศวงนี้ ศาสนาสวรรค์ที่เหนือธรรมดานี้ ?จงใคร่ครวณดูว่า ประชาชนได้ปฏิเสธพระผู้ทรงความงามของพระผู้เป็นเจ้าและยึดถือความโลภของตนอย่างไร ?แม้ว่ามีวจนะที่สุดยอดเหล่านี้ มีคำพาดพิงที่แน่ใจได้เหล่านี้ ที่ถูกเปิดเผยไว้ใน ?การเปิดเผยพระธรรมที่มีน้ำหนักที่สุด ??มีพระผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าฝากฝังไว้ในหมู่มนุษย์ และทั้งๆ ที่มีคำพยากรณ์ที่ประจักษ์เหล่านี้ ซึ่งแต่ละคำพยากรณ์เป็นที่เห็นชัดยิ่งกว่าวาทะที่ชัดแจ้งที่สุด ?ประชาชนก็ยังละเลยและไม่ยอมรับสัจธรรมของคำพยากรณ์เหล่านี้ แล้วยึดมั่นบางคำพยากรณ์ตามตัวอักษร ซึ่งพวกเขาพบว่าไม่ตรงกับความคาดหมายตามความเข้าใจของตน และพวกเขาก็ไม่เข้าใจความหมายของคำพยากรณ์เหล่านั้น ?ด้วยประการฉะนี้พวกเขาได้ทำลายความหวังทุกอย่าง และพรากตนเองจากอมฤตบริสุทธิ์ของพระผู้ทรงความรุ่งโรจน์ และน้ำใสที่ไม่มีเสื่อมคุณภาพของพระผู้ทรงความงามอมตะ

จงพิจารณาดูว่า ?แม้แต่ปีที่พระผู้เป็นสาระสวรรค์ของแสงสว่างนี้จะถูกแสดงให้เห็นชัด ?ก็ถูกบันทึกไว้อย่างเจาะจงในคำพยากรณ์ต่างๆ กระนั้นพวกเขาก็ยังไร้สำนึก ?ไม่หยุดไปตามกิเลสที่เห็นแก่ตัวของตนแม้ชั่วขณะ ตามคำพยากรณ์นั้นโมฟัดดัลถามอิหม่ามซาเดคว่า?:? ข้าแต่ท่านนายของข้าพเจ้า ?มีอะไรเกี่ยวกับสัญลักษณ์ของการปรากฏองค์ของพระองค์? ??เขาตอบว่า?:? ในปีหกสิบศาสนาของพระองค์จะถูกแสดงให้เห็นชัด ?และพระนามของพระองค์จะถูกประกาศ

ช่างแปลกเพียงไร!? แม้ว่ามีการกล่าวถึงไว้อย่างชัดแจ้งและเห็นชัดเหล่านี้ ?ประชาชนเหล่านี้ก็หลีกหนีสัจธรรม ตัวอย่างเช่น ความทุกข์โศก ?การถูกจองจำและความเดือดร้อนที่กระทำกับพระผู้เป็นสาระของคุณสวรรค์ ?ถูกกล่าวไว้ในคำพยากรณ์ต่างๆ เมื่อก่อน ใน ?เบฮาร์ ?มีการบันทึกไว้ว่า?:? ในอิหม่ามกาอิมของเราจะมีสี่สัญลักษณ์จากศาสนทูตสี่องค์คือ ?พระโมเสส พระเยซู โจเซฟและพระโมฮัมหมัด สัญลักษณ์จากพระโมเสสคือความกลัวและความคาดหวัง ?สัญลักษณ์จากพระเยซูคือสิ่งที่พูดไว้เกี่ยวกับพระองค์ สัญลักษณ์จากโจเซฟคือการถูกจองจำและการถูกล่อลวง ?สัญลักษณ์จากพระโมฮัมหมัดคือการเปิดเผยคัมภีร์ที่คล้ายกับคัมภีร์โกรอ่าน ?แม้ว่ามีคำพยากรณ์ที่แน่ชัดดังกล่าว ?ซึ่งคาดการณ์ด้วยภาษาที่แน่ใจได้ถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ก็ไม่พบใครเอาใจใส่คำพยากรณ์นี้ และเราคิดว่าจะไม่มีใครเอาใจใส่เช่นกันในอนาคต ?ยกเว้นผู้ที่พระผู้เป็นนายของเจ้าประสงค์ ?แท้จริงแล้วพระผู้เป็นเจ้าจะทำให้ผู้ที่พระองค์ประสงค์เงี่ยหูฟัง แต่เราจะไม่ทำให้ผู้ที่อยู่ในหลุมศพเงี่ยหูฟัง

เป็นที่ประจักษ์ต่อเจ้าว่า ?บรรดาวิหคแห่งสวรรค์และนกพิราบแห่งนิรันดรกาลพูดสองภาษา ?หนึ่งเป็นภาษาตามตัวอักษร ปราศจากการพาดพิง ไม่ถูกปกปิดหรือซ่อนเร้น ?เพื่อว่าภาษานี้จะเป็นตะเกียงและแสงสว่างส่องทางให้ผู้เดินทางไปถึงยอดแห่งความวิสุทธิ์ ?และให้ผู้แสวงหาเข้าไปในอาณาจักรแห่งการกลับมาอยู่ร่วมกันชั่วนิรันดร์ ภาษานี้คือคำสอนที่ไม่ซ่อนเร้นและวจนะที่ประจักษ์ที่กล่าวไว้แล้ว ?อีกภาษาหนึ่งซ่อนเร้นและถูกปกปิด เพื่อว่าอะไรก็ตามที่ซ่อนอยู่ในหัวใจของพวกมาดร้ายจะถูกแสดงให้เห็นชัด และชีวิตส่วนลึกที่สุดของพวกเขาจะถูกเปิดเผย ?ดังนี้อิหม่ามซาเดคผู้เป็นบุตรของพระโมฮัมหมัดได้กล่าวไว้ว่า?:? แท้จริงแล้วพระผู้เป็นเจ้าจะทดสอบและคัดกรองพวกเขา ??นี้คือมาตรฐานสวรรค์ นี้คือเกณฑ์ของพระผู้เป็นเจ้าที่พระองค์ใช้พิสูจน์คนรับใช้ทั้งหลายของพระองค์ ?ไม่มีใครเข้าใจความหมายของวาทะเหล่านี้ ยกเว้นผู้ที่หัวใจของเขาได้รับการยืนยัน วิญญาณของเขาเป็นที่โปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้า ?และจิตใจของเขาปล่อยวางจากทุกสิ่งนอกจากพระองค์ ในวาทะเหล่านี้ความหมายตามตัวอักษรตามที่ประชาชนเข้าใจกันทั่วไป ไม่ใช่ความหมายที่ตั้งใจไว้ ?ดังนี้เป็นที่บันทึกไว้ว่า?:? ความรู้ทุกอย่างมีเจ็ดสิบความหมาย ?ซึ่งหนึ่งในเจ็ดสิบความหมายเท่านั้นเป็นที่รู้ในหมู่ประชาชน ?และเมื่ออิหม่ามกาอิมปรากฏขึ้นมา พระองค์จะเปิดเผยทั้งหมดที่เหลือต่อมนุษย์ ??เขากล่าวไว้เช่นกันว่า?:? เราพูดวจนะเดียว ?แต่ด้วยวจนะนี้เราตั้งใจไว้เจ็ดสิบเอ็ดความหมาย ?แต่ละความหมายเหล่านี้เราอธิบายได้

เรากล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ก็เพียงเพื่อว่า ?ประชาชนจะไม่ยุ่งใจเพราะคำพยากรณ์และวาทะบางอย่างที่ไม่บรรลุตามตัวอักษร ?เพื่อว่าพวกเขาจะถือว่าความฉงนใจของตนมีเหตุมาจากความไม่เข้าใจของตนเอง มิใช่เพราะการไม่บรรลุคำสัญญาทั้งหลายที่มีอยู่ในคำพยากรณ์ ?เนื่องด้วยความหมายที่บรรดาอิหม่ามของศาสนาตั้งใจไว้ ชนชาตินี้ไม่รู้ ซึ่งหลักฐานของสิ่งนี้คือคำพยากรณ์นั้นเอง ดังนั้นประชาชนต้องไม่ยอมให้วาทะดังกล่าวมาพรากตนเองจากพระพรสวรรค์ ?แต่ควรแสวงหาความรู้แจ้งจากบรรดาผู้อรรถาธิบายวาทะเหล่านี้ผู้เป็นที่ยอมรับ เพื่อว่าความลึกลับต่างๆ ที่ซ่อนเร้นจะถูกคลี่คลายและแสดงให้เห็นชัดต่อพวกเขา

อย่างไรก็ตามเราไม่สังเกตเห็นใครในหมู่ประชาชนของโลกที่ปรารถนาสัจธรรมอย่างจริงใจ ?และแสวงหาการนำทางจากพระศาสดาทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ที่เข้าใจยากในศาสนาของตน ?ทุกคนเป็นผู้อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งการลืมตัว และล้วนเป็นสาวกของประชาชนแห่งความชั่วร้ายและการพยศ แท้จริงแล้วพระผู้เป็นเจ้าจะกระทำต่อพวกเขาด้วยสิ่งที่พวกเขาเองกำลังทำอยู่ ?และจะลืมพวกเขาดังที่พวกเขาละเลยการมาปรากฏองค์ของพระองค์ในยุคของพระองค์ ?ดังกล่าวคือประกาศิตของพระองค์สำหรับบรรดาผู้ที่ปฏิเสธพระองค์ ?และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธสัญลักษณ์ของพระองค์

เราขอจบการอภิปรายเหตุผลของเราด้วยวจนะของพระองค์ ?ขอความประเสริฐจงมีแด่พระองค์ ?และใครก็ตามที่ถอนตัวจากการระลึกถึงพระผู้ทรงปรานี ?เราจะล่ามโซ่ซาตานไว้กับเขา และเขาจะเป็นสหายที่แนบแน่นของซาตาน ?(โกรอ่าน 43:36)?? และใครก็ตามที่หันหนีไปจากการระลึกถึงเรา ?เขาจะมีชีวิตที่น่าเวทนาอย่างแท้จริง ?(โกรอ่าน 20:124)

ดังนี้เป็นที่เปิดเผยไว้เมื่อกาลก่อน ?หากเจ้าเข้าใจ

เปิดเผยโดย ?บา ?และ ?ฮา ?(หมายความว่าบาฮา)

สันติสุขจงมีแด่ผู้ที่เงี่ยหูฟังทำนองเพลงของวิหคลี้ลับที่ร้องเรียกมาจากซาดราตูร ?โมนทาฮา!

ขอความสดุดีจงมีแด่พระผู้เป็นนายของเรา ?พระผู้ทรงความสูงส่งที่สุด!