“ดูกร ผู้ที่เดินไปบนหนทางของพระผู้เป็นเจ้า จงรับส่วนของเจ้าจากมหาสมุทรแห่งพระกรุณาธิคุณของพระองค์ และจงอย่ายอมขาดเสียซึ่งสิ่งต่างๆ ?ที่ซ่อนเร้นอยู่ในความล้ำลึกนั้น จงเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่มีส่วนได้รับสมบัติจากห้วงสมุทรนั้น น้ำจากมหาสมุทรนี้เพียงเท่าหยดน้ำค้างหากกระเซ็นไปทั่วสวรรค์และแผ่นดินก็ยังเพียงพอที่จะอำนวยความอุดมแก่สิ่งเหล่านั้นด้วยพระกรุณาธิคุณของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้ทรงอำนาจ พระผู้ทรงตรัสรู้ พระผู้ทรงปรีชาญาณ และด้วยมือที่สละแล้วซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างทางโลก จงวักน้ำที่ประสาทชีวิตจากมหาสมุทรแห่งนั้นและพรมสรรพสิ่งทั้งปวง เพื่อว่าสิ่งเหล่านั้นจะถูกชำระล้างจากความจำกัดที่มนุษย์สร้างขึ้น และจะได้เข้าใกล้บัลลังก์อันทรงอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งก็คือที่อันศักดิ์สิทธิ์และสุกสกาว”

“ดูกร คนรับใช้ของเรา พระธรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกเปิดเผยโดยบัญชาจากสวรรค์ของเราเปรียบเสมือนมหาสมุทรอันล้ำลึก ?ซึ่งในห้วงลึกได้ซ่อนเร้นไข่มุกอันล้ำค่าที่ส่องประกายเจิดจ้าจำนวนมหาศาลไว้ เป็นหน้าที่ของผู้แสวงหาทุกคนที่จะต้องกระตุ้นเตือนตนเองและเพียรพยายามไปให้ถึงฝั่งของมหาสมุทรแห่งนี้ ?เพื่อว่าเขาจะได้รับส่วนจากประโยชน์ที่ได้ลิขิตไว้ล่วงหน้าในสาส์นอันซ่อนเร้นและทักท้วงมิได้ของพระผู้เป็นเจ้าตามสัดส่วนของความกระตือรือร้นที่จะแสวงหาและตามระดับความพากเพียรที่เขาทุ่มเทให้”

“ดูกร คนรับใช้ของเรา ?ขอพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเที่ยงแท้เพียงองค์เดียวจงเป็นพยาน มหาสมุทรอันยิ่งใหญ่ล้ำลึกสุดจะหยั่งได้และกำลังสาดซัดนี้อยู่ใกล้กับเจ้าอย่างน่าพิศวง ?จงดูซิ อยู่ใกล้เจ้ามากกว่าเส้นโลหิตที่หล่อเลี้ยงชีวิตของเจ้าเสียอีก หากเจ้าปรารถนาจะไปให้ถึงมหาสมุทรนี้เจ้าก็สามารถจะไปถึงได้ภายในชั่วพริบตา และรับความโปรดปรานที่ไม่มีวันโรยรา รับพระกรุณาธิคุณของพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงประทานมา รับของขวัญที่ไม่เสื่อมสลาย รับพระกรุณาธิคุณอันทรงพลานุภาพและทรงความเรืองรองสุดที่จะหาคำมาบรรยายได้”

พระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าอาจเปรียบได้กับไม้อ่อนซึ่งมีรากหยั่งลึกลงไปในหัวใจของมนุษย์ ?เป็นหน้าที่ของเจ้าที่จะต้องเฝ้าเลี้ยงดูการเจริญเติบโตของไม้ต้นนี้ด้วยน้ำอันสดชื่นแห่งภูมิปัญญา แห่งถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์และควรแก่การเคารพ เพื่อว่ารากของไม้นั้นจะยึดแน่นและกิ่งก้านสาขาจะขยายขึ้นสูงเทียมสวรรค์และภพที่เหนือกว่านั้น”

“โอ้ ข้าพเจ้าปรารถนาจะสามารถเดินทางไปยังดินแดนเหล่านี้ แม้จะต้องเดินทางด้วยเท้าและใช้ชีวิตอย่างยากจนที่สุด และร้องสรรเสริญ ?ยา บาฮา-อล-อับฮา? ไปในเมือง ?หมู่บ้าน ภูเขา ทะเลทราย มหาสมุทร เพื่อส่งเสริมคำสอนแห่งสวรรค์ แต่อนิจจา ข้าพเจ้าไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ ข้าพเจ้ารู้สึกเศร้าเสียใจอย่างเหลือเกิน ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดให้ท่านประสบความสำเร็จตามนี้ด้วยเถิด”

“ดูกร มนุษย์ผู้มีสองตา จงปิดตาหนึ่งและเปิดอีกตาหนึ่ง จงปิดตาที่มองโลกและทุกสรรพสิ่งในโลก และเปิดอีกตาหนึ่งเพื่อมองความงามอันวิสุทธิ์ของพระผู้เป็นที่รักยิ่ง”

“ดูกร สหาย ?จงอย่าละทิ้งความงามนิรันดร์เพื่อความงามที่จะต้องมลายไป และจงตัดเสน่หากับโลกแห่งธุลีนี้”

“ดูกร บุตรแห่งวาทะ ??จงหันหน้ามาหาเราและสละจากทุกสิ่งนอกจากเรา เพราะอาณาจักรของเรายั่งยืนและไม่รู้สิ้น หากเจ้าแสวงหาสิ่งอื่นใดนอกจากเรา ถึงค้นหาทั่วจักรวาลไปตลอดกาลก็ไร้ประโยชน์”

“ดูกร คนแปลกหน้าที่ได้มาเป็นเพื่อน ?เทียนในหัวใจของเจ้าถูกจุดขึ้นด้วยหัตถ์อันทรงอานุภาพของเรา ?จงอย่าดับเทียนนั้นด้วยวายุแห่งอัตตาและกิเลส ยารักษาโรคภัยทั้งหมดของเจ้าคือการระลึกถึงเรา ?จงอย่าลืมสิ่งนี้ จงให้ความรักของเราเป็นสมบัติล้ำค่าของเจ้า และถนอมเอาไว้ประหนึ่งเป็นสายตาและชีวิตของเจ้าเอง”

“ความไม่ผูกพันเปรียบเสมือนดังดวงอาทิตย์ซึ่งไม่ว่าจะส่องไปยังหัวใจดวงใดจะดับไฟแห่งความโลภและอัตตา ผู้ที่มีสายตาอันสว่างด้วยแสงแห่งความเข้าใจจะแยกตนเองจากโลกและสิ่งอันไร้ค่าในโลกอย่างแน่นอน จงอย่ายอมให้โลกและสิ่งอันไร้ค่านั้นทำให้เจ้าโศกเศร้า ความสุขจงมีแด่ผู้ซึ่งความร่ำรวยไม่เต็มไปด้วยความหยิ่งทะนง และความยากจนไม่เต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจ”

“ต้องตรากตรำถ้าเราจะแสวงหาพระองค์ ต้องกระตือรือร้นถ้าเราจะดื่มน้ำผึ้งแห่งการได้มาอยู่ร่วมกับพระองค์ และถ้าเราลิ้มรสถ้วยนี้แล้วเราก็จะไม่ใยดีกับโลกนี้”

“จงอย่าหยุดพัก จงอย่าแสวงหาความสงบนิ่ง จงอย่ายึดติดอยู่กับความหรูหราฟุ่มเฟือยของโลกอันไม่ยั่งยืนนี้ จงปลดตนให้เป็นอิสระจากความผูกพันทุกอย่างและเพียรพยายามด้วยหัวใจและวิญญาณที่จะตั้งอยู่อย่างมั่นคงในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า ?จงรับทรัพย์สมบัติอันเป็นของสวรรค์ ขอให้เจ้าได้รับความกระจ่างยิ่งๆ ขึ้นไปในแต่ละวัน ได้รับการดึงดูดให้เข้าใกล้ธรณีประตูแห่งความเป็นเอกภาพเข้าไปทุกขณะ”

“บุคคลจะถูกพรากไปจากความโปรดปราน และความกรุณาจนกว่าเขาจะก้าวสู่ระดับแห่งการเสียสละ ระดับแห่งการเสียสละนี้คืออาณาจักรแห่งการตายไปจากอัตตา เป็นที่ซึ่งรัศมีของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงดำรงอยู่จะฉายแสงออกมา”

“จงเตรียมความพยายามของเจ้าให้พร้อม ?เพื่อว่าบางทีเจ้าอาจจะนำเพื่อนบ้านมาสู่พระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้ทรงเมตตาสูงสุด ??แท้จริงแล้ว การกระทำเช่นนี้ดีเลิศเหนือกว่าการกระทำใดๆ ทั้งปวงในสายพระเนตรของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้ทรงครอบครองทุกอย่าง พระผู้ทรงสูงส่งที่สุด”

“ขอความเที่ยงธรรมของพระผู้เป็นเจ้าจงเป็นพยาน ในยุคนี้ผู้ใดก็ตามที่เปิดปากและกล่าวถึงพระนามของพระผู้เป็นนายของเขา เหล่าแรงดลบันดาลใจอันเป็นทิพย์จะหลั่งไหลลงมาสู่เขาจากสวรรค์แห่งพระนามของเรา พระผู้ทรงตรัสรู้ พระผู้ทรงปรีชาญาณเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง”

“ผู้ใดก็ตามที่ลุกขึ้นสอนศาสนาของเราจำจะต้องปลดตนเองให้หลุดพ้นจากสิ่งทั้งปวงทางโลก ?และให้ยึดถืออยู่เสมอว่าชัยชนะของศาสนาของเราเป็นเป้าหมายสูงสุดของเขา”

“จงเป็นผู้ไม่อาจถูกเหนี่ยวรั้งไว้ได้ดั่งสายลม ในขณะที่นำข่าวสารของพระองค์ผู้ทรงทำให้อรุโณทัยแห่งการนำทางสวรรค์เบิกโฉมออกมา”

“เมื่อชัยชนะมาถึง มนุษย์ทุกคนจะประกาศตนเป็นบาไฮ ?และจะรีบไปยังที่กำบังของศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า ความสุขจงมีแด่ผู้ที่มั่นคงอยู่ในศาสนาในยามที่ความทุกข์ยากรุมล้อมโลก และไม่ยอมหันเหไปจากสัจธรรมของศาสนานี้”

“ดูกร บุตรแห่งชีวิต ????จงกล่าวถึงเราบนโลก เพื่อว่าบนสวรรค์เราจะจดจำเจ้า ดังนี้แล้วเราและเจ้าจะได้พักหัวใจ”

?ดูกร ?บุตรแห่งมนุษย์ ??เรารักเจ้า เราจึงสร้างเจ้าขึ้นมา ?ดังนั้นจงรักเรา เพื่อว่าเราจะกล่าวถึงนามของเจ้า และประสาทพลังชีวิตให้แก่วิญญาณของเจ้า?

? ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ??ข้าพเจ้าขอเป็นสักขีพยานว่า พระองค์ทรงสร้างข้าพเจ้าขึ้นมาเพื่อให้รู้จักและบูชาพระองค์ ?บัดนี้ข้าพเจ้าขอยืนยันความไร้อำนาจของข้าพเจ้าและเดชานุภาพของพระองค์ ความยากไร้ของข้าพเจ้าและความมั่งคั่งของพระองค์ ?ไม่มีพระผู้เป็นเจ้าอื่นใดอีกนอกจากพระองค์ ?พระผู้ทรงช่วยเหลือในภยันตราย พระผู้ทรงดำรงอยู่ด้วยตนเอง?ฟ

“ยุคนี้เป็นยุคที่ความโปรดปรานอันวิศิษฏ์สุดของพระผู้เป็นเจ้าได้หลั่งไหลมาสู่มวลมนุษย์ ???เป็นยุคที่พระกรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์ได้ซึมซาบไปทั่วทุกสรรพสิ่ง เป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคนบนโลกที่จะปรองดองข้อขัดแย้งทั้งหลายและอาศัยอยู่ด้วยความสามัคคีและสันติภาพอันสมบูรณ์ภายใต้ร่มพฤกษาแห่งการดูแลเอาใจใส่และความเมตตารักใคร่ของพระองค์?

“หน้าที่ประการแรกและสำคัญที่สุดที่บัญญัติไว้สำหรับมนุษย์ถัดจากการยอมรับพระผู้เป็นสัจธรรมนิรันดร์ คือความมั่นคงอยู่ในศาสนาของพระองค์ จงยึดถือสิ่งนี้และเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่มีจิตใจยึดมั่นอย่างมั่นคงในพระผู้เป็นเจ้า”

? พระผู้ทรงความงามมาแต่โบราณกาลทรงยอมถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน ?เพื่อว่ามนุษยชาติจะได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นทาส และทรงยอมตกเป็นนักโทษในป้อมปราการอันแข็งแกร่งนี้เพื่อว่าทั่วทั้งพิภพจะบรรลุสู่อิสรภาพอันแท้จริง ?พระองค์ทรงดื่มจนถึงก้นถ้วยของความทุกข์โศกเพื่อว่าประชาชาติทั้งปวงจะบรรลุสู่ความสุขหรรษาอันยืนนานและเต็มไปด้วยความยินดี นี่คือความปรานีของพระผู้เป็นนายของเจ้า พระผู้ทรงเห็นใจ พระผู้ทรงปรานีที่สุด ?ดูกร ผู้ที่เชื่อในเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้า เรายอมถูกหยามเกียรติเพื่อเจ้าจะได้รับการเชิดชู และยอมทนรับความทรมานนานับประการเพื่อให้เจ้าเจริญรุ่งเรืองและเฟื่องฟู ??จงดูเถิดว่า พวกเขาผู้ที่เคยอยู่เคียงข้างพระผู้เป็นเจ้าได้ทำเช่นใด เพื่อบังคับให้พระผู้เสด็จมาเพื่อสร้างสรรค์โลกใหม่อาศัยอยู่ในเมืองอันว่างเปล่าที่น่าหดหู่อย่างที่สุด ?

“โปรดทรงทำให้หัวใจของเราผ่องใส ??โปรดประทานดวงตาที่หยั่งเห็นและหูที่สดับฟังแก่เรา”

“ข้าแต่พระผู้เป็นนาย ?โปรดประทานการให้อันไม่มีที่สิ้นสุดของพระองค์แก่เรา ?และโปรดทรงให้แสงสว่างแห่งการนำทางของพระองค์สาดส่องมา”

“โปรดทรงไขบรรดาทวารแห่งความเข้าใจที่ถ่องแท้ออก ?และโปรดทรงให้แสงแห่งความศรัทธาส่องสว่างเจิดจ้าขึ้น”

“ข้าแต่พระผู้เป็นนาย ?โปรดทรงทำให้ใบหน้าของคนรับใช้ของพระองค์ผ่องใสขึ้น ?เพื่อว่าพวกเขาจะได้มองเห็นพระองค์”

“ข้าแต่พระผู้เป็นนายของเรา ?โปรดทรงดลให้เราหันหน้ามาหาพระพักตร์อันทรงความกรุณาของพระองค์…”

“บรรดาผู้เป็นที่รักยิ่งของพระผู้เป็นเจ้า ?ไม่ว่าจะชุมนุมกันอยู่ที่ใดหรือได้พบปะผู้ใดก็ตาม ?ในทัศนคติของเขาต่อพระผู้เป็นเจ้าและในกิริยาท่าทีในการสรรเสริญความรุ่งโรจน์ของพระองค์นั้น ต้องแสดงออกซึ่งความถ่อมตนและความยอมจำนนจนทุกอณูของธุลีใต้ฝ่าเท้าจะเป็นพยานต่อความอุทิศอันแรงกล้าของพวกเขา ?การสนทนาของดวงวิญญาณที่บริสุทธิ์เหล่านี้ควรเต็มไปด้วยอานุภาพดังกล่าวจนทำให้อณูของธุลีเดียวกันนี้สั่นไหว พวกเขาควรประพฤติตนด้วยกิริยาดังนี้เพื่อว่าพื้นพิภพที่พวกเขาเหยียบย่ำอยู่จะไม่มีสิทธิ์กล่าวแก่พวกเขาว่า ??ข้าควรเป็นที่โปรดปรานมากกว่าเจ้า เพราะดูเถิดว่าข้าอดทนเพียงใดในการแบกภาระที่ชาวนาสุมให้ ข้าคือเครื่องมือที่อำนวยพรให้แก่ทุกชีวิตอยู่เนืองนิตย์ตามที่พระผู้เป็นแหล่งกำเนิดกรุณาธิคุณทั้งปวงมอบหมายไว้ แม้ข้าจะได้รับเกียรติเช่นนี้และหลักฐานแห่งความมั่งคั่งของข้ามีนับไม่ถ้วน ซึ่งเป็นความมั่งคั่งที่จุนเจือทุกสรรพสิ่ง ?เจ้าจงดูระดับความถ่อมตนของข้า จงเป็นพยานต่อความจำนนโดยสิ้นเชิงที่ข้ายอมถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้ามนุษย์…..” ?

“ในยุคนี้ ไม่มีสิ่งใดเป็นภัยต่อศาสนานี้มากกว่าการพิพาทและทะเลาะเบาะแว้ง ?การต่อสู้ ?หมางเมิน และเย็นชาต่อกันในหมู่ผู้เป็นที่รักของพระผู้เป็นเจ้า ?จงหลีกหนีสิ่งเหล่านี้โดยอาศัยอานุภาพและความช่วยเหลืออันทรงอำนาจสูงสุดจากพระผู้เป็นเจ้า และพยายามผูกหัวใจของมนุษย์เข้าด้วยกันในนามของพระองค์ พระผู้ทรงประสานสามัคคี พระผู้ทรงรอบรู้ พระผู้ทรงอัจฉริยภาพ”

“จงสามัคคีกันอย่างพร้อมเพรียง ?อย่าได้โกรธกันและกัน…. จงรักเพื่อนมนุษย์เพื่อเห็นแก่พระผู้เป็นเจ้า มิใช่เพื่อมนุษย์เอง ท่านจะไม่มีวันโกรธหรือหมดความอดทน หากท่านรักพวกเขาเพื่อเห็นแก่พระผู้เป็นเจ้า ??มนุษย์นั้นไม่สมบูรณ์ มนุษย์ทุกคนมีข้อบกพร่อง และท่านจะไม่มีความสุขหากท่านมองที่ประชาชน แต่ถ้าหากท่านมองไปที่พระผู้เป็นเจ้า ท่านจะรักและมีเมตตาต่อพวกเขา เพราะภพของพระผู้เป็นเจ้าคือภพที่ดีพร้อมและมีความปรานีอันไพบูลย์”

“ข้าพเจ้ามอบหมายแก่ท่านทั้งหลายว่า ?แต่ละท่านจงสำรวมความคิดทั้งหลายแห่งหัวใจของท่านให้อยู่ที่ความรักและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ?เมื่อความคิดแห่งสงครามเกิดขึ้น จงต่อต้านด้วยความคิดแห่งสันติภาพที่เหนือกว่า ?ความคิดแห่งความเกลียดชังจะต้องถูกทำลายลงด้วยความคิดแห่งความรักซึ่งมีอำนาจเหนือกว่า ???ความคิดแห่งสงครามนำมาซึ่งการทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น ความกลมเกลียว ความเป็นอยู่ที่ดี ความสงบสุข และความพึงพอใจ ?ความคิดแห่งความรักเสริมสร้างภราดรภาพ สันติภาพ มิตรภาพและความผาสุก”

หากมีความขัดแย้งใดๆ ?เกิดขึ้นระหว่างพวกเจ้า จงมองเห็นเรากำลังยืนอยู่ต่อหน้า และมองข้ามความบกพร่องของกันและกันเพื่อเห็นแก่นามของเรา และประหนึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักของเจ้าต่อศาสนาที่ประจักษ์แจ้งแสนอำไพของเรา”

“ตาที่บกพร่องมองเห็นสิ่งที่บกพร่อง ?ตาที่ปกปิดข้อบกพร่องมองที่พระผู้สร้างวิญญาณทั้งหลาย ??พระองค์ทรงสร้างพวกเขา อบรมและจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับพวกเขา ประสาทพวกเขาด้วยความสามารถและชีวิต ?ด้วยสายตาและการได้ยิน ดังนั้นพวกเขาคือสัญลักษณ์แห่งความโอฬารของพระองค์ ท่านต้องรักและเมตตาต่อทุกคน เอาใจใส่ต่อผู้ยากไร้ ปกป้องผู้อ่อนแอ รักษาผู้เจ็บไข้ สอนและให้การศึกษาแก่ผู้ไร้วิชา”

“ดูกร สหายแห่งบัลลังก์ของเรา ??อย่าได้ฟังหรือมองสิ่งชั่วร้าย อย่าทำตนเองให้ตกต่ำ ?อย่าถอนหายใจหรือร่ำไห้ จงอย่าพูดสิ่งชั่วร้าย เพื่อว่าผู้อื่นจะไม่พูดสิ่งชั่วร้ายกับเจ้า ?และอย่าขยายข้อบกพร่องของผู้อื่น เพื่อว่าข้อบกพร่องของเจ้าเองจะไม่ใหญ่ขึ้น อย่าปรารถนาความตกต่ำให้แก่ผู้อื่น เพื่อว่าความตกต่ำของเจ้าเองจะไม่ถูกเผย ??วันเวลาของเจ้าคงอยู่เพียงชั่วแล่น ดังนั้นจงดำเนินชีวิตด้วยจิตใจที่ไม่ด่างพร้อย ด้วยหัวใจที่ไร้มลทิน ด้วยความคิดและอุปนิสัยที่วิสุทธิ์ เพื่อว่าเจ้าจะเป็นอิสระและพอใจที่จะละร่างกายนี้ไปสู่สวรรค์อันเร้นลับ และอาศัยอยู่ในอาณาจักรอนันต์ไปชั่วนิรันดร์”

“สรรพสิ่งสร้างสรรค์แห่งการดำรงอยู่บางอย่างสามารถมีชีวิตอยู่ได้เองโดยลำพัง ?ยกตัวอย่างเช่น ต้นไม้อาจมีชีวิตอยู่ได้เองโดยไม่ต้องอาศัยการช่วยเหลือหรือความร่วมมือจากต้นอื่นๆ ?สัตว์บางชนิดอยู่อย่างโดดเดี่ยวและใช้ชีวิตอยู่ห่างจากพวกพ้องของมัน แต่นี่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ ?ความร่วมมือและการคบหาสมาคมเป็นสิ่งสำคัญในการมีชีวิตและดำรงอยู่ของมนุษย์ เราพบความสุขและการพัฒนาทั้งของส่วนบุคคลและส่วนรวมโดยอาศัยการคบหาสมาคมและการพบปะกัน “

“….เมื่อมาร่วมชุมนุมกัน ?พวกเขาต้องตั้งจิตสู่อาณาจักรเบื้องบนและขอความช่วยเหลือจากอาณาจักรแห่งความรุ่งโรจน์ ?จากนั้นพวกเขาต้องดำเนินการประชุมด้วยความอุทิศ มารยาท เกียรติ ความรอบคอบ และความพอประมาณในการแสดงทัศนะของตน ?พวกเขาต้องแสวงหาความจริงในทุกเรื่อง มิใช่ยืนกรานในความคิดเห็นของตน เพราะความดื้อดึงขืนอยู่ในทัศนะของตนจะนำไปสู่ความร้าวฉานและการวิวาทกันในที่สุด ?และความจริงจะยังคงซ่อนเร้นอยู่ สมาชิกผู้ทรงเกียรติทั้งหลายต้องแสดงความคิดเห็นของเขาโดยอิสระอย่างแท้จริง และไม่เป็นที่อนุญาตที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะดูแคลนความคิดของผู้อื่น ?ยิ่งไปกว่านั้น เขาต้องกล่าวความจริงด้วยความพอประมาณ และหากมีความแตกต่างในความคิดเห็นเกิดขึ้น ต้องถือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ และทุกคนต้องเชื่อฟังและยอมจำนนต่อเสียงส่วนใหญ่นั้น”

“สิ่งจำเป็นสูงสุดของมนุษยชาติคือ การร่วมมือและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ?????ยิ่งพันธะแห่งมิตรภาพและความร่วมมือร่วมใจระหว่างมนุษย์แข็งแรงขึ้นเพียงใด พลังแห่งการสร้างสรรค์และความสำเร็จในทุกกิจกรรมของมนุษยชาติก็ยิ่งมีมากขึ้นเพียงนั้น”

“เรายืนยันด้วยชีวิตและศาสนาของเรา ?ไม่ว่าสถานที่ใดที่บรรดาสหายของพระผู้เป็นเจ้าจะย่างเข้าไป และเป็นที่ซึ่งพวกเขาจะร้องสรรเสริญและประกาศพระเกียรติคุณของพระผู้เป็นนาย ??เหล่าเทพธิดาผู้เป็นที่โปรดปรานจะห้อมล้อมจิตวิญญาณของศาสนิกชนที่แท้เหล่านั้น?

“การชุมนุมทุกครั้งที่จัดขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์แห่งความสามัคคีและความกลมเกลียวกัน จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนจากคนแปลกหน้าเป็นมิตร ศัตรูเป็นผู้ร่วมงาน และพระอับดุลบาฮาจะอยู่ร่วมในการชุมนุมนั้นด้วยจิตวิญญาณของท่าน?

“เราได้ยินว่า ท่านคิดที่จะตกแต่งบ้านของท่านเป็นครั้งคราวด้วยการชุมนุมบาไฮ ซึ่งพวกเขาจะสดุดีพระผู้เป็นนายผู้ทรงความรุ่งโรจน์ …. จงรู้ไว้ว่า หากท่านจัดให้มีการชุมนุมของบาไฮที่บ้านของท่าน แม้จะอยู่บนพิภพบ้านนั้นก็จะเป็นเสมือนอยู่ในสวรรค์ และอาคารหินนั้นจะกลายเป็นที่ประชุมทางธรรม”

“เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมิตรสหายที่จะมาร่วมชุมนุมกันในการประชุมต่างๆ ?ไม่ว่าจะอยู่ในท้องถิ่นใด และในที่ชุมนุมนั้นพวกเขาต้องกล่าวด้วยอัจฉริยภาพและวาจาที่จับใจ และอ่านพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า ?เพราะพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าจุดเพลิงแห่งความรักและทำให้เพลิงนั้นลุกโชติช่วง”

“จงจัดการชุมนุม อ่านและสวดคำสอนแห่งสวรรค์ ?เพื่อว่าเมืองนั้นจะถูกทำให้สว่างไสวด้วยแสงแห่งสัจจะ ?และประเทศนั้นจะกลายเป็นสวรรค์อันแท้จริงโดยพลังของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ??เพราะวัฏจักรนี้เป็นวัฏจักรแห่งพระผู้เป็นนายผู้ทรงความรุ่งโรจน์ และท่วงทำนองแห่งเอกภาพและความสามัคคีของโลกแห่งมนุษยชาติจะต้องดังไปถึงหูของทุกคนทั้งในซีกตะวันออกและตะวันตก”

“ในยุคนี้ เป็นสิ่งจำเป็นที่แต่ละบุคคลและทุกคนจะละเว้นการกล่าวถึงสิ่งอื่นทั้งหมด และมองข้ามทุกสิ่ง…….ขอให้พวกเขาทุ่มเทความคิดทั้งหมดและวาจาทั้งหมดของพวกเขาในการสอนและในการแผ่ขยายศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า ?และจูงใจทุกคนให้ประพฤติตนตามคุณลักษณะแห่งพระผู้เป็นเจ้า ขอให้พวกเขาทุ่มเทในการรักมนุษยชาติ ในการเป็นผู้บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ในทุกสิ่ง และเป็นผู้ปราศจากมลทินในการใช้ชีวิตส่วนตนและชีวิตทางสังคมของพวกเขา ??ขอให้พวกเขาทุ่มเทในการเป็นคนซื่อตรง ไม่ผูกพัน และมีศรัทธาอย่างแท้จริงและแรงกล้า”

“แท้จริงแล้ว เจ้าได้รับบัญชาให้จัดงานฉลองบุญเดือนละครั้ง ?แม้ว่าจะบริการเพียงด้วยน้ำเปล่าก็ตาม เพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์จะเชื่อมหัวใจทั้งหลายเข้าด้วยกัน ?แม้จะต้องใช้ทั้งวิธีการทางโลกและสวรรค์”

“ดูกร บรรดาคนรับใช้ผู้ภักดีแห่งพระผู้ทรงความงามมาแต่โบราณกาล ?งานฉลองเป็นที่รักและโปรดปรานในทุกวัฏจักรและทุกยุคศาสนา และการปูโต๊ะเพื่อบรรดาคนรักของพระผู้เป็นเจ้าได้รับการพิจารณาว่าเป็นการกระทำที่น่าสรรเสริญ ?โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้ ในยุคศาสนาที่ไม่มียุคใดเปรียบปรานได้และเป็นยุคที่โอบอ้อมอารีที่สุดนี้ ซึ่งงานฉลองได้รับการต้อนรับอย่างยินดียิ่ง เพราะได้รับการพิจารณาว่าเป็นการชุมนุมที่จัดขึ้นเพื่อบูชาและสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า ?ในงานนี้มีการสวดพระวจนะศักดิ์สิทธิ์ บทกลอนและคำสดุดีแห่งสวรรค์ และหัวใจได้รับการปลุกให้ตื่นขึ้นและถูกนำพาไปจากตนเอง”

การให้และความเอื้อเฟื้อคือคุณลักษณะของเรา ??ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ผู้ที่ประดับตนเองด้วยคุณธรรมของเรา”

ความลึกลับของความเสียสละคือการที่มนุษย์ต้องสละสภาวะทุกอย่างของตนเพื่อสถานะแห่งสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า ??สถานะของพระผู้เป็นเจ้าคือ ความปรานี ความเมตตา การให้อภัย ความเสียสละ การสนับสนุน ความกรุณา และการให้ชีวิตแก่จิตวิญญาณ และการจุดเพลิงแห่งความรักของพระองค์ในหัวใจและเส้นโลหิต”

“สิ่งซึ่งพระองค์ทรงสำรองไว้สำหรับพระองค์เองคือนครแห่งหัวใจของมนุษย์ ?เพื่อว่าพระองค์จะทรงชำระหัวใจเหล่านั้นให้สะอาดจากมลทินทางโลก และให้สามารถเข้าไปใกล้ตำแหน่งอันศักดิ์สิทธิ์ที่เงื้อมมือของผู้ที่ไร้ศรัทธาไม่สามารถทำลายได้ ดูกร ประชาชน จงเปิดนครแห่งหัวใจมนุษย์ออกด้วยลูกกุญแจแห่งถ้อยคำของเจ้า ?ด้วยประการฉะนี้ เราได้บัญญัติหน้าที่แก่เจ้าตามเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า”

ทุกวจนะที่เปล่งออกจากโอษฐ์ของพระผู้เป็นเจ้าถูกประสิทธิ์ประสาทด้วยอานุภาพที่สามารถซึมซาบชีวิตใหม่ให้แก่ทุกร่างกายมนุษย์ ?หากเจ้าจะเป็นหนึ่งในบรรดาผู้เข้าใจสัจธรรมนี้”

?พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดหน้าที่ในการสอนศาสนาของพระองค์แก่ทุกคน ?ผู้ใดก็ตามที่ลุกขึ้นปฏิบัติหน้าที่นี้ จำเป็นจะต้องตกแต่งตนเองด้วยอลงกรณ์แห่งบุคลิกภาพที่ซื่อตรงและน่าสรรเสริญ ก่อนที่เขาจะประกาศข่าวสารของพระองค์ ?เพื่อว่าถ้อยคำของเขาจะดึงดูดหัวใจของผู้ที่ตอบสนองต่อการร้องเรียกของเขา?

?ข้าพเจ้ากำลังคาดหวังในผลของการพบกันครั้งนี้ว่า ?ข้าพเจ้าจะได้เห็นท่านถูกจุดให้สว่างขึ้นดังเช่นเทียน ??และเผาไหม้ตัวท่านเองดุจดังผีเสื้อกลางคืนที่อยู่ในเพลิงแห่งความรักของพระผู้เป็นเจ้า ??ร่ำไห้ดังเช่นเมฆฝนร่ำไห้เพราะความยิ่งใหญ่แห่งความรักและแรงดึงดูด หัวเราะดังเช่นทุ่งหญ้า ??และสั่นไหวด้วยความรื่นเริงยินดีดังเช่นต้นไม้อ่อนสั่นไหวโดยการพัดผ่านของสายลมจากสวรรค์แห่งอับฮา?

“จงเป็นผู้ไม่อาจถูกเหนี่ยวรั้งไว้ได้ดั่งสายลม ?ในขณะที่นำข่าวสารของพระองค์ผู้ทรงทำให้อรุโณทัยแห่งการนำทางสวรรค์เบิกโฉมออกมา ??จงพิจารณาดูว่าสายลมนั้นเชื่อฟังสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญญัติเพียงใด มันโบกพัดไปทั่วทุกภูมิภาคบนโลกไม่ว่าจะเป็นถิ่นที่มีผู้อาศัยอยู่หรือรกร้าง ??ภาพแห่งความรกร้างหรือความเจริญรุ่งเรืองต่างก็มิอาจทำให้มันเจ็บปวดหรือพึงพอใจ สายลมพัดไปทุกทิศทางดังที่บัญชาไว้โดยพระผู้ทรงสร้างสรรค์ ดังนั้นทุกคนที่อ้างตนว่าเป็นคนรักของพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงองค์เดียวจงเป็นเช่นนั้น ??เป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องเพ่งสายตาไปยังหลักการอันเป็นมูลฐานของศาสนาของพระองค์ และตรากตรำอย่างขยันขันแข็งเพื่อการแพร่กระจายของหลักการเหล่านั้น เขาควรประกาศข่าวสารของพระผู้เป็นเจ้าเพียงเพื่อพระองค์เท่านั้น และด้วยดวงจิตเดียวกันนี้ ?เขาควรยอมรับในการตอบสนองใดก็ตามที่อาจจะเกิดจากผู้ฟังของเขา เขาผู้ซึ่งยอมรับและเชื่อฟังจะได้รับรางวัล และผู้ที่หันจากไปจะมิได้รับสิ่งใดนอกจากการลงโทษของเขาเอง”

เมื่อท่านเรียกหาความปรานีของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งคอยที่จะหนุนกำลังท่านแล้ว กำลังของท่านจะเพิ่มขึ้นอีกสิบเท่า โปรดมองดูข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ ??แม้กระนั้น ข้าพเจ้าก็ยังได้รับกำลังวังชาที่จะมาอยู่ท่ามกลางท่านทั้งหลายได้ ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ที่ยากไร้ของพระผู้เป็นเจ้าที่ได้รับความสามารถที่จะมอบข่าวสารนี้แก่ท่าน ?ข้าพเจ้าจะอยู่กับท่านไม่นาน บุคคลจะต้องไม่พิจารณาถึงความมีกำลังน้อยของตน แต่กำลังแห่งความรักของพระวิญญาณบริสุทธิ์ต่างหากที่ให้พลังในการสอนศาสนา การคิดถึงความอ่อนแอของเราเองจะนำมาแต่ความสิ้นหวัง เราต้องมองไปให้สูงกว่าความคิดทางโลกทั้งหมด ?ปลดตนเองออกจากความคิดทางวัตถุทุกอย่าง ปรารถนาในสิ่งทางธรรม จรดสายตาไปยังความปรานีแห่งพระผู้ทรงอานุภาพผู้จะทรงเติมจิตวิญญาณของเราด้วยความยินดีแห่งการรับใช้อันน่าชื่นชมต่อพระบัญชาของพระองค์ที่ว่า ?จงรักซึ่งกันและกัน

?ดังนั้น จงพูดและจงพูดด้วยความกล้าหาญในที่ประชุมทุกแห่ง ก่อนที่ท่านจะเริ่มกล่าวคำพูดของท่านนั้น ลำดับแรกจงหันไปหาพระบาฮาอุลลาห์ แล้วขอการรับรองจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ จากนั้นจึงเอ่ยปากแล้วกล่าวสิ่งที่ผุดขึ้นในใจของท่าน ??อย่างไรก็ดี การพูดนี้ต้องทำด้วยความกล้าหาญ เกียรติและความเชื่อมั่นอย่างที่สุด?

“ชื่อของข้าพเจ้าคืออับดุลบาฮา คุณวุฒิของข้าพเจ้าคืออับดุลบาฮา ?สภาวะของข้าพเจ้าคืออับดุลบาฮา คำสดุดีของข้าพเจ้าคืออับดุลบาฮา ??การเป็นทาสของพระผู้ทรงความสมบูรณ์พรคือมงกุฏที่รุ่งโรจน์โชติช่วงของข้าพเจ้า ?และการเป็นทาสรับใช้มวลมนุษยชาติคือศาสนาที่ไม่มีสิ้นสุดของข้าพเจ้า…..ไม่มีชื่อ ไม่มีบรรดาศักดิ์ ไม่มีคำชมเชย ไม่มีคำสรรเสริญอื่นใดสำหรับข้าพเจ้านอกจากอับดุลบาฮา ?นี่คือความต้องการของข้าพเจ้า คือความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าพเจ้า นี่คือชีวิตนิรันดร์และความรุ่งโรจน์อนันต์ของข้าพเจ้า”

“มนุษย์ทุกคนถูกสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อพัฒนาอารยธรรมที่ก้าวหน้าไปตลอดเวลา”

“ขอความสูงส่งจงมีแด่ความรุ่งโรจน์ของพระองค์ ?จุดประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงองค์เดียวในการเปิดเผยพระองค์ต่อมนุษย์ คือ การเผยเหล่ามณีที่ซ่อนเร้นอยู่ในเหมืองแห่งสาระอันแท้จริงภายในของมนุษย์”

“จุดประสงค์ที่พระผู้เป็นเจ้าส่งพระศาสดามายังมนุษย์มีสองประการ ?ประการแรกคือ เพื่อปลดปล่อยบุตรแห่งมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความมืดมนแห่งความเขลา และนำทางพวกเขาไปสู่แสงสว่างแห่งความเข้าใจที่แท้จริง ?ประการที่สองคือ เพื่อรับประกันสันติภาพและความสงบของมนุษยชาติ และจัดหาวิธีการทั้งหมดไว้ให้สำหรับการสถาปนาสิ่งเหล่านี้”

“ทุกเวลาและทุกสภาพการณ์ ?มนุษย์จำเป็นต้องมีผู้ที่คอยแนะนำ ?ชี้แนะ สั่งสอน และให้ความรู้”

“ไม่มีข้อสงสัยว่า ประชาชนบนโลกไม่ว่าเชื้อชาติใดหรือศาสนาใด ล้วนได้รับแรงดลใจจากแหล่งกำเนิดแห่งสวรรค์แหล่งเดียวกัน และอยู่ภายใต้พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน”

“จงคบหากับศาสนิกชนทุกศาสนาด้วยไมตรีจิตมิตรภาพ”

“เจตนามูลฐานที่ขับเคลื่อนศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าคือ การปกป้องประโยชน์และส่งเสริมเอกภาพของมนุษยชาติ…..”

“ศาสนาของพระผู้เป็นเจ้านั้นเพื่อความรักและความสามัคคี อย่าทำให้ศาสนาเป็นเหตุแห่งความร้าวฉานและการเป็นศัตรูกัน”

“ความรู้ของพระองค์ พระผู้ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง และการบรรลุถึงที่ประทับของพระองค์เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ?นอกจากจะผ่านทางความรู้และการเข้าสู่ที่ประทับของบรรดาผู้ทรงความเรืองรองเหล่านี้ ผู้มาจากดวงอาทิตย์แห่งสัจธรรม”

“มนุษย์ ไม่ว่าจะมีปัญญาเฉียบแหลมเพียงใดก็ไม่สามารถบรรลุถึงระดับแห่งปัญญาและความเข้าใจของนายแพทย์สวรรค์ได้”

“ศาสนทูตแต่ละพระองค์เป็นผู้แทนองค์และผู้ประกาศพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ?โดยแท้แล้ว พระองค์เป็นวันใหม่ของพระฉายาอันเป็นเลิศทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้า และเป็นอรุโณทัยสถานของบรรดาพระนามอันสูงส่งของพระผู้เป็นเจ้า”

“ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าจงวางใจได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับพระองค์และสิ่งใดที่จะทรงแสดงให้ปรากฏในอนาคต ?ผลงานและการกระทำของพระศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าแต่ละพระองค์ ล้วนแล้วแต่ได้ถูกบัญญัติไว้โดยพระผู้เป็นเจ้าและคือการสะท้อนพระประสงค์และเจตนาของพระองค์”

“สัจธรรมนิรันดร์ได้มาถึงแล้ว ?พระองค์ได้ทรงยกธงแห่งอานุภาพขึ้น ?และทรงกำลังสาดส่องรัศมีเจิดจ้าอันไม่ถูกบดบังของศาสนาของพระองค์มายังโลก”

“พระองค์นี่เอง คือพระผู้เป็นศาสนทูตของพระผู้ไม่อาจเป็นที่หยั่งรู้ได้ พระผู้ไม่อาจเป็นที่มองเห็นได้ ?หากเจ้าจะสามารถเข้าใจสิ่งนี้”

“ยุคนี้คือยุคที่พระผู้ทรงปรานีเสด็จลงมาในเมฆาแห่งความรู้ ?พร้อมด้วยอธิปไตยอันประจักษ์แจ้ง”

“แต่ละยุคมีปัญหาของตนเอง ?และวิญญาณแต่ละดวงมีความใฝ่ฝันของตนเอง ?การรักษาที่โลกต้องการสำหรับความทนทุกข์ทรมานในปัจจุบันจะไม่เหมือนกับการรักษาที่ยุคต่อไปต้องการ”

“จงเอาใจใส่ต่อความต้องการของยุคที่เจ้ามีชีวิตอยู่ ?และหารือกันเกี่ยวกับสิ่งที่จำเป็นและเร่งด่วน”

“ในยุคนี้ ?ชีวิตใหม่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายในประชาชนทุกคนบนโลก ?แต่กระนั้นยังไม่มีผู้ใดค้นพบสาเหตุหรือเข้าใจเจตนาของชีวิตใหม่นี้”

“ศาสนา ?โดยแท้แล้วเป็นเครื่องมือหลักสำหรับการสถาปนาระเบียบของโลกและความสงบสุขในหมู่พลเมืองของโลก”

“ความผาสุกของมนุษยชาติ ?สันติภาพ และความปลอดภัย ?ไม่สามารถเป็นที่บรรลุได้ นอกเสียจากว่าความสามัคคีของมนุษยชาติจะได้รับการสถาปนาอย่างมั่นคง”

“สักการะสถานแห่งเอกภาพได้ถูกสถาปนาขึ้นแล้ว ?จงอย่าถือกันและกันเป็นคนแปลกหน้า พวกเจ้าเป็นผลของไม้ต้นเดียวกันและเป็นใบไม้บนกิ่งเดียวกัน”

“แสงแห่งความสามัคคีนั้นมีอานุภาพมากจนสามารถส่องทั่วพิภพให้สว่างไสว”

“จงหันหน้าไปสู่ความสามัคคี ?และให้ความโชติช่วงของแสงแห่งความสามัคคีสาดส่องมายังเจ้า ??จงรวมตัวกัน และเพื่อเห็นแก่พระผู้เป็นเจ้า จงมุ่งมั่นที่จะขจัดรากเหง้าของการต่อสู้ในหมู่พวกเจ้าเอง”

“เป็นสิ่งจำเป็นที่มนุษย์จะต้องยึดเหนี่ยวอยู่อย่างมั่นคงในสิ่งที่จะส่งเสริมมิตรภาพ ความเมตตา และความสามัคคี”

“แสงสว่างของมนุษย์คือความยุติธรรม ?จงอย่าดับแสงนี้ด้วยวายุแห่งการกดขี่และการใช้อำนาจบาตรใหญ่ ?จุดประสงค์ของความยุติธรรมคือการบังเกิดขึ้นของเอกภาพในหมู่มนุษย์”

“ไม่มีความโชติช่วงใดจะเทียบเท่าความโชติช่วงของความยุติธรรม ?ความเป็นระเบียบของโลกและความผาสุกของมนุษยชาติขึ้นอยู่กับความยุติธรรม”

“สิ่งที่อบรมโลกคือความยุติธรรม เพราะความยุติธรรมได้รับการค้ำจุนโดยสองเสาหลัก นั่นคือ รางวัลและการลงโทษ ?สองเสาหลักนี้คือบ่อเกิดชีวิตของโลก”

“สตรีและบุรุษนั้นเท่าเทียมกันมาโดยตลอดและจะคงเท่าเทียมกันเสมอในสายพระเนตรของพระผู้เป็นเจ้า”

“เจ้าไม่รู้หรือว่าทำไมเราสร้างพวกเจ้าทั้งหมดขึ้นมาจากธุลีเดียวกัน ?ก็เพื่อว่าจะไม่มีใครยกตนข่มผู้อื่น”

“ในยุคนี้ ?พระหัตถ์แห่งกรุณาธิคุณสวรรค์ได้ขจัดความแตกต่างทั้งมวลออกไป ??บรรดาคนรับใช้และหญิงรับใช้ทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้าต่างมีฐานะเท่าเทียมกัน”

“เป็นสิ่งไม่พึงปรารถนาที่มนุษย์จะถูกทิ้งให้ขาดความรู้หรือความชำนาญ ??เพราะเขาจะเป็นดังเช่นต้นไม้ที่ไร้ผล”

“จงใฝ่ใจและความมุ่งหวังของเจ้าในการให้การศึกษาแก่ประชาชาติและพี่น้องบนโลก…”

“ศิลปะ หัตถการ และวิทยาศาสตร์ช่วยยกระดับโลกแห่งการดำรงอยู่ ?และนำมาซึ่งความสูงส่งของโลก ความรู้เป็นดั่งปีกของชีวิตมนุษย์และบันไดสำหรับการพัฒนาของเขา”

“โดยแท้แล้ว ?ความรู้เป็นสมบัติอันแท้จริงของมนุษย์ ?และเป็นแหล่งกำเนิดแห่งความรุ่งโรจน์ กรุณาธิคุณ ?ความหรรษา ความสูงส่ง ความเบิกบาน และความยินดีแก่เขา”