การมาถึงของยุคของมนุษย์

พระบาฮาอุลลาห์ทรงลิขิตไว้ว่า “มนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสืบทอดอารยธรรมให้ก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง “ดังนั้นพระธรรมคำสอนของพระศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าได้นำทางให้องค์กรของสังคมไปสู่ความสามัคคีในระดับที่สูงขึ้น เรื่องของมนุษยชาติถูกเปิดเผยจากครอบครัวไปสู่ชนเผ่าผ่านเมืองแล่นไปสู่ประเทศ

การเดินทางดังกล่าวนั้นได้นำเราไปสู่ธรณีประตูของการรอคอยอันยาวนานของยุคแห่งมนุษยชาติ อย่างเช่น ในปัจจุบันนี้การผ่านระยะต่างๆ ที่ต่างกัน ทำให้เราผ่านสู่ความเป็นทารกและความเป็นผู้ใหญ่ของเราโดยรวมๆ ไปด้วยกัน โดยรอบโลก สังคมมนุษย์ถูกก่อร่างขึ้นมาใหม่และแนวโน้มสูงสุดชัดเจนขึ้น สิ่งที่เราประจักษ์นั้นคือองค์กรของสังคมนุษย์เหมือนอารยธรรมของโลกระยะสุดท้ายและสูงสุดในชีวิตโดยรวมของมนุษย์ชาติบนโลกนี้

เวลานับเป็นพันๆ ปี ผู้คนมีวิสัยทัศน์ของวันที่ยิ่งใหญ่เมื่อมีความเป็นพี่น้องจริงๆ บนพื้นโลก เมื่อ “พวกเขาสามารถตีไม้ลงไปบนคันไถ”?และเมื่อ “โลกเต็มไปด้วยความรู้ของพระผู้เป็นเจ้า”พระอับดุลบาฮาอธิบายความนี้ว่า “เป็นวันที่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมนุษยชาติจะถูกยกมาตรฐานและสันติภาพสากลขึ้นมา เหมือนดังยามเช้าตรู่สาดส่องแสงครอบคลุมไปทั่วโลก”

พระผู้เป็นเจ้ายังทรงกำหนดทิศทางของมนุษยชาติอย่างต่อเนื่องต่อไป พระผู้แสดงธรรมของพระผู้เป็นเจ้าแต่ละพระองค์เองก็ทรงกล่าวถึงการเปิดเผยพระธรรมของพระองค์ว่าเป็นการเปิดเผยสัจธรรมเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งถูกจำกัดด้วยศักยภาพของมนุษยชาติในแต่ละยุคนั้น ๆ ที่จะรับสัจธรรมเหล่านั้นเท่านั้น ถ้อยพระวจนะของพระเยซูคริสต์ที่ว่า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะตรัสกับเจ้า แต่เจ้าไม่สามารถรับสิ่งเหล่านั้นได้ในตอนนี้” ได้รับการสะท้อนอยู่ในพระคัมภีร์กุรอ่าน ซึ่งกล่าวว่าสัจธรรมแห่งสวรรค์นั้น ถูกส่งลงมา…ในระดับที่เหมาะสมและสามารถเป็นที่รับรู้ได้” ในคัมภีร์ภควัคคีตา เราจะได้พบพระวจนะต่อไปนี้ “เรามาแล้วจากไปและกลับมาอีก เมื่อความชอบธรรมเสื่อมคลาย ดูกร ภารตะ! เมื่อความชั่วร้ายเข้มแข็ง เราจะปรากฏขึ้นจากยุคสู่ยุคและจะอยู่ในรูปลักษณ์ที่สามารถมองเห็นได้และจะขับเคลื่อนมนุษย์ชาติด้วยมนุษย์ จะช่วยเหลือความดี ผลักไสความชั่วร้ายออกไปและนำคุณธรรมขึ้นสู่บัลลังก์ของเธออีกครั้งหนึ่ง” เป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้วที่ศาสนิกชนของทุกศาสนาต่างรอคอยการเปิดเผยในระดับที่เพิ่มมากขึ้นของการนำทางจากพระผู้เป็นเจ้าสู่โลก ความคาดหมายเหล่านั้นได้บรรลุผลแล้วด้วยข่าวสาสน์ของพระบาฮาอุลลาห์

เมื่อพูดถึงศักยภาพของยุคนี้ในประวัติศาสตร์ พระบาฮาอุลลาห์ทรงแถลงว่า “นี่คือวันซึ่งเป็นความกรุณาที่วิเศษสุดที่สุดของพระผู้เป็นเจ้าที่พวยพุ่งออกมาสู่มนุษย์ เป็นวันที่ความสง่างามที่สูงส่งได้ถูกใส่ไว้ในทุกสรรพสิ่งสร้างสรรค์ “

ขั้นตอนแรกที่สำคัญสำหรับสันติภาพและความก้าวหน้าของมนุษยชาติ คือ การรวมกัน “ความผาสุกของมนุษย์สันติภาพและความปลอดภัยคือจะไม่สามารถบรรลุได้จนกว่าความสามัคคีจะถูกสถาปนาอย่างมั่นคงเสียก่อน”?โดยการผ่านความมีสติแต่เนิ่นๆ เท่านั้นที่เราจะรวมคนเผ่าพันธุ์เดียวกันจะสามารถหันออกมาจากการขัดแย้งที่มีผลต่อองค์กรในสังคมในอดีตและเริ่มเรียนรู้ที่จะประสานงานและร่วมมือกัน โครงสร้างทางสั่งคมใหม่จะถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อลดและขจัดความขัดแย้ง ด้วยความมุ่งมั่นกับหลักการของความมั่นคงปลอดภัยโดยรวม สถาบันของโลกจะทำงานด้วยกันเพื่อให้มีความมั่นใจได้ว่าทรัพยากรทั้งหลายจะต้องแบ่งกันอย่างเที่ยงธรรม อารยธรรมดังกล่าว การหยั่งรู้ทั้งในด้านวิทยาศาสตร์และศาสนาจะต้องได้ถูกประยุกต์ใช้กับการส่งเสริมความผาสุขของมนุษย์ “ศาสนาและวิทยาศาสตร์เป็นเสมือนปีกสองข้างที่เมื่อประกอบเข้ากับสติปัญญาของมนุษย์แล้วสามารถเหินขึ้นสู่ที่สูงได้และทำให้จิตวิญญาณของมนุษย์สามารถก้าวหน้าได้ “

ไม่มีส่วนหนึ่งสวนใดในพระธรรมลิขิตของพระบาฮาอุลลาห์ที่กระตุ้นให้เกิดมายาว่าความเปลี่ยนแปลงให้เกิดสิ่งที่สามารถเห็นได้จริงจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ทางนี้จะคลีออกมาในช่วงหลายชั่วอายุคน และไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องมีวิกฤติและอาจถอยหลังในหลายๆครั้ง

ถึงแม้ความสับสนอลหม่านนี้จะยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม แต่ช่วงเวลาที่มนุษยชาติเคลื่อนไปข้างหน้าจะเปิดออกสำหรับทุกคน ทุกสถาบันและทุกๆ ชุมชนจะมีโอกาสอย่างเป็นประวัติการณ์ที่จะมีบทบาทในการนำความสามารถพิเศษและศักยภาพของเขามาเพื่อก่อการก่อสร้างโลกซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์ของการพัฒนาของมนุษย์บนโลกนี้

“ศักยภาพโดยธรรมชาติในสถานะของมนุษย์ การวัดโชคชะตาของเขาบนโลกนี้ ธรรมชาติที่พิเศษสุดของความจริงทั้งหมดจะถูกแสดงให้ปรากฏในวันแห่งพันธะสัญญานี้ของพระผู้เป็นเจ้า”